สัมมาทิฐิ

ถาม : การย่นย่อมรรคมีองค์ ๘ เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่น่าจะตรงนัก ที่ว่า สัมมาทิฐิ เท่ากับปัญญา นั้น เท่ากันได้เฉพาะพระอริยะเท่านั้น
คือพระอริยะมีสัมมาทิฐิในการเห็นอริยสัจ ๔ เปรียบเหมือนท่านเดินทางถึงกรุงราชคฤห์ซึ่งมองเห็นแล้ว แต่ผู้ที่กำลังอยู่ระหว่างทาง สัมมาทิฐิคือ เชื่อว่าการกระทำมีผล, พ่อแม่มีบุญคุณ,
เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น นี่คือศรัทธา ยังไม่เป็นปัญญา

ตอบ : คำจำกัดความของ สัมมาทิฐิ มีหลายแบบ

แบบแรก พบบ่อย คือ ความรู้ในอริยสัจ ๔ เช่นในมหาสติปัฏฐานสูตร มีพุทธพจน์ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิ คืออะไร ? ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่าสัมมาทิฐิ”

นอกจากนี้ ยังมีคำจำกัดความแบบอื่นอีก เช่น

– เห็นไตรลักษณ์
ดังมีพุทธพจน์ ว่า “ภิกษุเห็นรูป.. เวทนา.. สัญญา.. สังขาร.. วิญญาณ ซึ่งเป็นของไม่เที่ยง ว่าไม่เที่ยง ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฐิ เมื่อเห็นชอบ ก็ย่อมหน่าย เพราะสิ้นเพลิน
ก็สิ้นการย้อมติด เพราะสิ้นการย้อมติด ก็สิ้นเพลิน เพราะสิ้นเพลินและย้อมติด จิตจึงหลุดพ้น เรียกว่า พ้นเด็ดขาดแล้ว”

– รู้อกุศลและอกุศลมูล กับ กุศลและกุศลมูล
ดังมีพุทธพจน์ ว่า “เมื่อใด อริยสาวกรู้ชัด ซึ่งอกุศล.. อกุศลมูล.. กุศล.. และกุศลมูล ด้วยเหตุเพียงนี้ เธอชื่อว่ามีสัมมาทิฐิ มีความเห็นตรง ประกอบด้วยความเลื่อมใสแน่วแน่ในธรรม
เข้าถึงสัทธรรมนี้แล้ว”

– เห็นปฏิจจสมุปบาท

บางแห่ง พระองค์ก็อยากความหมายของสัมมาทิฐิเป็น ๒ ระดับ คือ
๑. ระดับที่ยังมีอาสวะ คือ เห็นว่าให้ทานมีผล, การบูชามีผล, ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว, พ่อกับแม่มี, ผู้ปฏิบัติชอบมี, โลกนี้มี โลกหน้ามี, โอปปาติกะมี, พระพุทธเจ้ามี
๒. ระดับไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตระ คือองค์มรรคของสัมมาทิฐิ..

ฉะนั้น ที่ผู้ถามกล่าวว่า “สัมมาทิฐิคือ เชื่อว่าการกระทำมีผล, พ่อแม่มีบุญคุณ, เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น นี่คือศรัทธา ยังไม่เป็นปัญญา” นั้น
ที่จริงก็คือ เป็นปัญญาในระดับที่ยังมีอาสวะ นั่นเอง

๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐