#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๐๖
???
#ถาม : ที่เราเล่นเฟสบุ๊คในสมัยนี้ ทำให้เราออกนอกเส้นทางการปฏิบัติไหมคะ? พระอาจารย์ช่วยเมตตาแนะนำด้วยค่ะ บางทีโยมอยากเลิกดู เลิกโพสต์เหมือนกัน บางทีก็อยากเล่นอีก
#ตอบ : พูดรวมไปถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ทั่วไปก็แล้วกันนะ
คือมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีคือ มันเป็นตัวเชื่อมต่อที่ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารรวดเร็วมากยิ่งขึ้น สื่อสารกันได้สะดวก ง่ายดาย และประหยัดเวลา นอกจากนี้ยังทำให้หลายคนต่างก็มีสังคมที่กว้างขึ้น รู้จักกันเพิ่มมากขึ้น
บางคนยังนำมาทำธุรกิจได้อีกด้วย
ส่วนข้อเสียก็มีมาก กล่าวเฉพาะพวกเรานักภาวนา ก็คือ
๑. เราใช้เวลากับมันนาน
๒. เก็บข้อมูลมาฟุ้งซ่าน
(นี่ยังไม่นับพวกที่ใช้เพื่อยั่ว/เสริมกิเลสหยาบๆ นะ)
๓. ลืมกายลืมใจ
เพราะมันสะดวก แค่คลิ๊กก็ไป ทีแรกก็เจอเรื่องที่เราอยากรู้เรื่องหนึ่ง แล้วมันก็ชวนให้อยากรู้อีกเรื่องหนึ่ง ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนหมดเวลาไปกับมันหลายชั่วโมง
แล้วเรื่องราวที่เราอุตส่าห์เสียเวลาให้ ส่วนมากก็เป็นข้อมูลรกสมอง
มีนักภาวนาท่านหนึ่ง นั่งสนทนากับทีมงานที่ช่วยกันทำคอร์สปฏิบัติธรรม ระหว่างที่ทีมงานคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน นักภาวนาท่านนี้นำข้อมูลที่ตนได้รับในไลน์กลุ่มมาพูดเสริม ซึ่งก็มีหลายเรื่อง เพราะเพื่อนส่งมาเยอะ อาจารย์ประสานนั่งฟังอยู่ด้วยก็พูดขึ้นมาว่า “โอ้.. พี่รู้เยอะจัง!”
คำทักของอาจารย์ประสาน ทำให้นักภาวนาท่านนั้นสะเทือนเข้าไปถึงใจ จนน้ำตาไหลออกมา เพราะมันพูดในใจต่อไปว่า
“รู้เยอะแล้วยังไง?
รู้แต่เรื่องของคนอื่น แต่ไม่รู้เรื่องกายใจตัวเองเลย จะมีประโยชน์อะไร
ที่รู้มากมาย มันใช่สาระของชีวิตแล้วหรือ?”
ค่ำวันนั้น นักภาวนาท่านนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดไลน์ เพื่อจะออกจากไลน์กลุ่มต่างๆ มีอยู่หลายกลุ่มมาก (เว้นไว้แต่กลุ่มที่ทำงานจริงๆ) พอจะกดออก.. ก็คิดเกรงใจคนในกลุ่ม เพราะว่าพวกเขาต้องทราบ และอาจจะมองเราในแง่ไม่ดี พอถึงตอนนี้ ท่านก็มีสติเห็น”ความรักตัวตน”ขึ้นมา
ท่านก็ถามใจตัวเองต่อเลยว่า “จะเสียดายกิเลส จะรักกิเลส หรือจะรักธรรมะ รักพระพุทธเจ้า?”
คำตอบก็ออกมาว่า “รักธรรมะ รักพระพุทธเจ้า!”
ท่านก็ตัดสินใจใช้นิ้วคลิ๊กปุ่มเพื่อออกจากกลุ่ม ท่านเล่าว่า พอคลิ๊กปุ๊บ! จิตมันโล่งขึ้นมาทันที!
จากนั้นไม่นาน ท่านก็ได้รับผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ และครูบาอาจารย์มอบหมายเป็นผู้ช่วยสอนกรรมฐานเมื่อเร็วๆนี้
เรื่องของนักภาวนาท่านนี้ ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้ถาม รวมทั้งพวกเราทุกคน
ก็ต้องยอมรับว่าโลกปัจจุบันมันมีสิ่งนี้ และเราก็กำลังอยู่กับมัน ถ้าเราแยกแยะได้ว่า
– อะไรเป็นประโยชน์-อะไรไม่เป็นประโยชน์
– อันนี้เรื่องงาน-อันนี้เรื่องฟุ้งซ่าน
– เรื่องนี้จำเป็น-เรื่องนี้ไม่จำเป็น
ก็ยังพอใช้มันต่อไปได้ โดยเลือกใช้ในส่วนที่ดีให้มากๆหน่อย
อย่างน้อยๆ การถาม-ตอบปัญหานี้ ก็อาศัยส่วนดีของมันมาใช้ด้วยเหมือนกัน
เพียงแต่อย่าเสียเวลาไปกับมัน จนทำให้ไม่ได้ภาวนา
เพราะในสายตาของท่านผู้รู้ งานพัฒนาจิตใจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เราก็ต้องจัดสรรเวลาในชีวิตเพื่อนสิ่งที่สำคัญที่สุดนี้ให้มากที่สุดด้วย
เรื่องการจัดสรรเวลาของชีวิตนี้ อาตมาชอบเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง
มีอาจารย์ท่านหนึ่งเดินเข้าห้องเรียนพร้อมด้วยของสองสามอย่างในกระเป๋า
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบเหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ลูกเทนนิสลงไปจนเต็ม แล้วถามนักศึกษาว่า
“พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?”
นักศึกษาแต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหน ก่อนจะตอบพร้อมกัน “เต็มแล้ว…”
อาจารย์ยิ้มไม่พูดอะไรต่อ หันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเทกรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก
“เหยือกเต็มหรือยัง?”
นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบว่า “เต็มแล้ว…”
อาจารย์ยังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง “เหยือกเต็มหรือยัง?”
นักศึกษาเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน
หลายคนเดินออกมาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น
“คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์”
“แน่ใจนะ”
“มันใส่อะไรไม่ได้อีกแล้วครับ”
คราวนี้อาจารย์หยิบน้ำสองขวดออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ น้ำก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่
– เหยือกใบนี้ ก็เหมือนชีวิตคนเรา
– ลูกเทนนิส เปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตคือการเจริญกุศลธรรมที่จำเป็นต่อการพ้นทุกข์ เป็นเรื่องที่ต้องสนใจจริงจัง เช่น สติปัฏฐาน วิปัสสนากรรมฐาน
– เม็ดกรวด เหมือนกุศลสำคัญรองลงมา เช่น ธรรมในหมวดคิหิปฏิบัติ
– ทราย ก็คือเรื่องธุระการงานอื่นๆ รวมทั้งการศึกษาเล่าเรียน
– น้ำ เป็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน จิปาถะ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของเรา ถ้าเราใส่น้ำลงไปก่อน มัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
ชีวิตก็เต็มแล้ว… เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน’
ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า
มันเป็นเรื่องของการจัดสรรเวลาในชีวิตของเราน่ะ
รวมทั้งการรู้แยกแยะได้ว่า..
อะไรเป็นสาระ อะไรไม่ใช่สาระ
อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่ใช่ประโยชน์
แล้วเลือกใช้เวลาในชีวิตไปกับเรื่องที่เป็นสาระและเป็นประโยชน์
๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑