#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๒๕
??
#ถาม : การฝึก”รู้” ในขณะที่เรามีความโกรธ แต่ความโกรธก็ไม่ยอมดับไป ดังนั้นควรทำอย่างไรดีคะ
1.เราควรจะดูความโกรธไปสักระยะ จนมันดับไป(แบบนี้มีข้อควรระวังอะไรบ้างคะ)
หรือ
2.ทิ้งความโกรธไปเลย โดยใช้วิธีอื่นๆ เช่น นึกบริกรรมว่า พุทโธ หรือพยายามเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นๆแทน (ถ้าใช้วิธีนี้ ความโกรธมันจะกลายไปเป็นความเก็บกดในจิตใต้สำนึกหรือไม่คะ และจะกระทบต่ออนุสัยจิตหรือไม่คะ)?
#ตอบ : ที่รู้โกรธ แล้วโกรธไม่ดับ มีทางเป็นไปได้ว่า
๑. โกรธตัวเองที่ไปเผลอโกรธเมื่อกี้นี้ กลายเป็นโกรธตัวใหม่ แต่รู้ไม่ทันว่าเป็นตัวใหม่ เห็นว่าโกรธเหมือนกัน ก็นึกว่าโกรธตัวเดิม ที่จริงเปลี่ยนอารมณ์ไปแล้ว
(อารมณ์ ในที่นี้หมายถึง สิ่งที่ถูกจิตรู้ หรือสิ่งที่ถูกรับรู้)
๒. จิตถลำไปดูไปจ้องความโกรธ!
…
คือเวลาฝึกดูจิต ทีแรกก็เห็นกิเลสเป็นตัวๆ เช่นในกรณีนี้ก็เห็นว่าความโกรธมันเป็นอย่างนี้ๆ คือเห็นลักษณะเฉพาะตัวของสภาวะ(ในที่นี้คือความโกรธ) เรียกอีกอย่างว่า เห็น”วิเสสลักษณะ”
วิเสสลักษณะ เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของสภาวธรรมนั้นๆ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละสภาวะ ทำให้แยกได้บอกถูก ว่านี่คือความโลภ นี่คือความโกรธ เป็นต้น
ที่ว่ามีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวนั้น ถ้าว่าโดยละเอียด ก็จะมีจุดให้ดูความแตกต่างกันอยู่ ๔ ประการ คือ
๑. ลักษณะ คือ สภาพเฉพาะตัวที่มีอยู่ในสภาวธรรมนั้นๆ เช่นในกรณีของความโกรธ ก็มี ความหยาบกระด้าง เป็นลักษณะ
๒. รสะ คือ หน้าที่ของสภาวธรรมนั้นๆ เช่น แสงมีหน้าที่ให้ความสว่าง ในกรณีของความโกรธ ก็มี การทำให้จิตตนและผู้อื่นหม่นไหม้ เป็นรสะ คือทำหน้าที่เผาลนจิตใจนั่นเอง
๓. ปัจจุปัฏฐาน คือ การปรากฏ หมายถึงผลที่เกิดขึ้นจากการทำหน้าที่ของสภาวธรรมนั้นๆ เช่นในกรณีของความโกรธ ก็มี การประทุษร้าย การทำลาย เป็นปัจจุปัฏฐาน คือนอกจากจะทำลายจิตเองแล้ว ยังจะไปทำลายอารมณ์ที่รับรู้นั้นด้วย
๔. ปทัฏฐาน คือ เหตุใกล้ให้เกิด หมายถึงปัจจัยโดยตรงที่เป็นตัวการให้เกิดสภาวธรรมนั้นๆ ในกรณีของความโกรธ ก็มี อาฆาตวัตถุ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
อาฆาตวัตถุ ได้แก่ :-
– อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา ได้เคยทำความเสื่อมเสียให้แก่เรา หรือกำลังทำ หรือแม้จะทำในอนาคตด้วย
– อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา ได้เคยทำความเสื่อมเสียให้แก่ผู้ที่เรารัก หรือกำลังทำ หรือแม้จะทำในอนาคตด้วย
– อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา ได้เคยทำคุณประโยชน์ให้แก่ผู้ที่เราเกลียด หรือกำลังทำ หรือแม้จะทำในอนาคตด้วย
– ความอาฆาตที่เกิดขึ้นในฐานะอันไม่สมควร เช่น เดินชนประตู สะดุดพื้นทางเดินที่ขรุขระ เป็นต้น
พูดถึงวิเสสลักษณะเสียยาว ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องเห็นละเอียดอย่างที่บรรยายมานี้ก็ได้นะ อันนี้ถือว่าเป็นวิชาการ
เห็นวิเสสลักษณะแล้ว ส่วนมากก็ยังไม่เห็น “สามัญญลักษณะ” คือไม่เห็นอารมณ์นั้นเกิดดับ เพราะจิตไปถลำจมแช่กับอารมณ์ คือไปดูไปจ้องความโกรธ
สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะธรรมดาที่สภาวธรรมทั้งหลายมีเหมือนๆกัน เป็นลักษณะร่วมของทุกสภาวะที่จะต้องเป็นไป มี ๓ อย่าง ได้แก่ ลักษณะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ซึ่งรวมเรียกว่า”ไตรลักษณ์”
จะเห็นไตรลักษณ์ได้ ใจก็ต้องถอยมาเป็นผู้รู้ผู้ดู
เช่น ถ้าเราโกรธ แล้วจิตก็ไหลไปอยู่กับความโกรธ จ้องอยู่ที่ความโกรธ พอจ้อง.. จิตก็ถลำไปดู จะไม่เห็นความโกรธแสดงไตรลักษณ์
แต่ถ้าจิตตั้งมั่น จิตจะถอยออกมาจากอารมณ์คือสภาวะความโกรธนั้น ก็จะเห็นว่าความโกรธเป็นส่วนหนึ่ง จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ดูก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง อย่างนี้.. ความโกรธจะแสดงไตรลักษณ์ให้ดู
อย่าให้จิตเข้าไปคลุกกับอารมณ์ตลอดเวลา ให้มันแยกออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดูบ้าง ก็จะเห็นไตรลักษณ์ได้ง่าย
เวลาเห็นไตรลักษณ์ มันก็ไม่พูดเป็นภาษาออกมาหรอกนะ ไม่ต้องไปบรรยายในใจว่า ‘โกรธเกิดขึ้น โกรธตั้งอยู่ โกรธดับไปแล้ว’ ไม่ต้องนะ มันเป็นปัญญาเข้าใจอยู่ข้างใน
สรุปคือ ลองไปดูจิตที่ไหลไปจมแช่อยู่ในอารมณ์นะ
ดูบ่อยๆ
ถึงเวลาเข้าใจ.. มันก็จะเข้าใจของจิตเอง
๘ สิงหาคม ๒๕๖๑