#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๓๑
??
#ถาม : ช่วยอธิบายคำว่า อุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นหน่อยนะ ครับ คือผมสงสัยว่า มียึดมั่นไม่ดี แล้วมียึดมั่นดี ไหมครับ?
#ตอบ : ถ้าเป็นภาษาไทย คำว่า “ยึดมั่น” ที่มีความหมายในทางที่ดีก็มีนะ เช่น ยึดมั่นในชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์, ยึดมั่นในคุณงามความดี เป็นต้น
แต่ถ้าใช้คำว่า “อุปาทาน” จะเป็นความยึดมั่นที่ไม่ดี เพราะหมายถึงความยึดมั่นด้วยอำนาจกิเลส เป็นความยึดติดอันเนื่องมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
อุปาทาน มี ๔ ได้แก่
๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ
๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฏฐิ คือ ความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ
๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ ถือว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่าทำสืบๆกันมา ทำอย่างงมงาย โดยไม่เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์ของเหตุและผล
๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือสำคัญหมายว่ามีตัวตน ที่จะได้ จะมี จะเป็น จะสูญสลาย หรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆได้
ตามหลักปฏิจจสมุปบาท อุปาทานเป็นกิเลสที่สืบเนื่องมาจากตัณหา ต่อจากอุปาทานก็มีกระบวนการต่อไปถึงมีภพ ชาติ ชรามรณะ ความโศกเศร้า คร่ำครวญ มีทุกข์นานัปการ อุปาทานจึงเป็นสภาวะที่ควรรู้จักและละไปเสีย
อุปาทานก็เกิดสืบเนื่องมาจากอวิชชา ที่ไม่รู้จักสิ่งต่างๆตามสภาวะที่แท้จริง จึงเปิดโอกาสให้เกิดตัณหา อยากได้อยากเอามาเสพมาครอบครอง และด้วยมีความเห็นผิดว่ามีตัวตนแฝงอยู่ ก็เอาตัวตนเข้ามาผูกพันถือมั่น อยากได้มาก็เพื่อตัวตนที่ยึดมั่นอยู่นั้น พาให้ทำกรรมประการต่างๆ ตามมาอีกมากมาย
บางท่านอาจกล่าวว่า “อย่าไปยึดมั่นเสียเท่านั้น ก็หมดเรื่อง” ก็ง่ายดี แต่จะทำได้จริงหรือ? เพราะการที่จะทำได้จริงมันต้องมีการฝึกให้ถูกต้องตามกระบวนธรรม หากเอาแต่พูดย้ำอยู่แค่นี้ อาจจะหลายเป็น “ความยึดมั่น ในความไม่ยึดมั่น” ไปเสีย
กระบวนธรรมที่ว่า ก็คือ ในเมื่อมีอุปาทานยึดมั่นกายใจนี้ว่าเป็นตัวตนเป็นเรา ก็มาเจริญสติเรียนรู้กายใจนี้ไปตามสภาวะที่มันเป็น ก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เคยยึดมั่นนั้นตามความเป็นจริง เห็นโทษเห็นภัย เห็นไตรลักษณ์ เห็นข้อเสียข้อบกพร่องของกายและใจ ก็เกิดนิพพิทาคือความหน่าย หมดความความเพลิดเพลินติดใจ อุปาทานจึงจะหมดไปได้จริง
เช่น สมมุติว่า นายดำกับนายแดงไปเที่ยวงานวัด ผ่านซุ้มการเล่นซุ้มหนึ่ง มีคนตะโกนเชิญชวนว่า “เชิญครับ! จิ้มห้าล้างสิบครับ จิ้มห้าล้างสิบ!”
นายดำอยากเข้าไปดู เพราะเชื่ออย่างสนิทใจว่ามันต้องเป็นของพิเศษที่หาดูยาก แต่นายแดงก็บอกว่า “ไม่เอาน่า เสียเวลา มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก มันแค่จะหลอกเอาเงินเราเท่านั้นแหละ”
นายดำเห็นด้วยว่ามันน่าจะหลอกเอาเงินเรา ก็เดินผ่านซุ้มนั้นไปแบบเหมือนจะไม่สนใจแล้ว แต่ในใจยังมีอุปาทานอยู่ว่ามันน่าจะเป็นของดี ก็ยังตัดใจไม่ได้ แม้จะพยายามข่มใจเพียงใดก็ตาม
จนกว่าเขาจะเข้าไปลองเสียเงิน ๕ บาทจิ้มดู
พอรู้ว่าเป็น”ขี้หมา” ก็ต้องเสียเงินอีก ๑๐ บาทเพื่อล้างมือ
จากนั้น ถึงใครจะให้จิ้มฟรี นายดำก็ไม่เอาด้วยแล้ว เพราะได้รู้แน่ประจักษ์แก่ใจแล้วว่าไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย อยากจะพ้นไปทันที ใจไม่เกาะเกี่ยวกับ”ขี้หมา”นั้นอีกต่อไป
๑๔ กันยายน ๒๕๖๑