หลักประกันชีวิต

วรรคทอง…วรรคธรรม #๑๙
หลักประกันชีวิต

วันนี้..อาตมามาบอกว่า เป้าหมายชีวิตที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือ
๑. ทำอย่างไร ให้ชาตินี้มีกินมีใช้
๒. ทำอย่างไร ให้มีหลักประกันว่า ชาติหน้าสบายด้วย

แล้วไม่ใช่ว่าถึงตรงนี้แล้วกลายเป็น”เป้าหมายลวง”นะ
เคยเจอเป้าหมายลวงมั้ย?
เขาบอกว่า ทนๆไป ถึงตำแหน่งนั้นแล้วจะพบความสุข
เราก็บากบั่นไป.. เคี่ยวเข็ญตัวเองจนเหน็ดเหนื่อยนะ
แล้วพอไปถึงเป้าหมายตรงนั้นแล้ว..มันไม่สุขจริง
ไปถามคนถึงเป้าหมายตรงนั้นแล้วดูสิ..”มันสุขจริงรึปล่าว?”
แต่บางทีไปถามนะ เขาอาจจะบอกว่า”ฉันสุขดี”
เพื่อจะหลอกเราให้ถึงเป้าหมายตรงนั้นบ้าง
ตัวหลอกอย่างนี้นี่นะ..มันจะมีทุกที่แหละ
คือหลอกว่าจะได้ลาภ หลอกว่าจะได้ยศ หลอกว่าจะได้ตำแหน่ง

แต่ลาภ/ยศ/สรรเสริญเหล่านี้..พระพุทธเจ้าตรัสว่า..มันเป็น“โลกธรรม”
มีลาภ..ก็เสื่อมลาภได้ มียศ..ก็เสื่อมยศได้
มีสุข..ก็มีทุกข์ได้ มีสรรเสริญ..ก็มีนินทาได้

อยากได้โลกธรรมฝ่ายดี แต่เราไปทำไม่ดี เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้น
อย่างนี้แสดงว่า เราถูกเป้าหมายแห่งโลกธรรมเหล่านี้หลอก
พอเราเจอโลกธรรมฝ่ายเสื่อม แล้วเอาแต่ทุกข์ระทมทับถมตน
อย่างนี้ก็แสดงว่า เราถูกเป้าหมายแห่งโลกธรรมเหล่านี้หลอก

แต่ถ้าเห็นว่า มันมีได้ก็เสื่อมได้ มันไม่เที่ยง
มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนี้นะ
แล้วมาสะกิดใจตัวเองว่า..
ทำอย่างไรเราจะมี “หลักประกันชีวิต”..ที่จะต้องมาอยู่กับสิ่งเสื่อมๆ เหล่านี้
โดยที่เราไม่ถลำตัวไปทำไม่ชั่ว หรือปรุงทุกข์ทับถมตัว
ก็หาหลักประกันให้ตัวเอง..ก็คือ

หลักประกันสำหรับชีวิตชาตินี้ มีหลักประกันก็คือ “อุ-อา-กะ-สะ”
อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น
อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการักษา
กัลยาณมิตตตา มีเพื่อนดี
สมชีวิตา เลี้ยงชีวิตให้พอเหมาะ
ชีวิตนี้ก็มีทรัพย์มีเกียรติ

หลักประกันสำหรับชีวิตข้างหน้า..ชาติหน้า
เพราะเราคงไม่ใช่มีชีวิตอมตะ..เราต้องตายใช่ไหม?
แล้วถ้ายังไม่ใช่เข้านิพพาน..เราก็ต้องเกิดอีก
เพราะฉะนั้น ทำอย่างไรที่จะให้เกิดในชาติหน้าอย่างมีหลักประกันว่า..ไปดี
ก็ให้มีศรัทธา, มีศีล, มีการบริจาค เฉลี่ยสุขให้ผู้อื่นบ้าง, แล้วก็มีปัญญา

ถ้าไม่อยากเกิดแล้วนะ.. ให้เจริญสติ เห็นความจริงในใจ คือเห็นกิเลสในใจ
มีราคะให้รู้ทันราคะ มีโทสะให้รู้ทันโทสะ มีโมหะให้รู้ทันความหลงความเหม่อ
ไม่ต้องไปห้ามมัน..เพียงแต่อย่าผิดศีล
ให้รู้ทัน !!
อย่าไปด่าเขา อย่าไปตบเขา อย่าไปตีเขา
ให้รู้ทันว่า..ตอนนี้มี”สิ่งหนึ่ง”เกิดขึ้นในใจ
เบื้องต้นนะ..ให้เห็นสภาวะที่เกิดขึ้นในใจตัวเองก่อน
จะเป็นราคะ โทสะ หรือโมหะ ..อะไรก็ได้ ที่มันเกิดขึ้นน่ะ
พอรู้ทัน ขณะรู้ก็เกิดสติ กิเลสก็ดับ
กิเลสเหล่านั้นก็จะแสดงความจริงออกมาว่า “มันไม่เที่ยง”

ไม่ใช่ห้ามมันไม่ให้เกิดนะ ..ห้ามไม่ได้ !!
ถ้าห้ามได้นะ..แสดงว่าเราบังคับตัวเองได้
หรือจะบังคับใจให้เป็นพระอรหันต์ได้ ..ไม่ได้ใช่ไหม?
คราวนี้ที่มันห้ามไม่ได้ เพราะมันมีเหตุ
เหตุคืออะไร ?
เห็นหน้า”ไอ้นั่น” ..ดูหน้า”นังนั่น” ..อะไรอย่างนี้นะ
มันมีเหตุไง..เพราะมันมีเหตุอย่างนี้ โทสะก็เกิด
ก็รู้ทันโทสะที่เกิดขึ้นในใจ โทสะก็ดับ
โทสะดับ ก็เพราะมีเหตุ
เหตุคือ ..ดู”ใจ” !!

ธรรมบรรยายโดย พระกฤช นิมฺมโล
เทศน์ ณ บริษัท ไทยประกันชีวิต ศรีราชา
วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๘