มารคาถา..ตอน อภิสังขารมาร

วรรคทอง..วรรคธรรม #๔๐

มารคาถา..ตอน อภิสังขารมาร

..มารอีกตัวหนึ่งนะ!..เห็นยาก..คือ “อภิสังขารมาร”
อภิสังขาร เป็นความปรุงแต่งแห่งการกระทำ
อภิสังขารมาร..เป็นมารเพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม
ย้อนไปที่บอกว่า ขันธมารนี่..ดูยาก
ขันธ์ ๕ นี่นะ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ..ถ้าดูยาก
ท่านก็หยิบเอามาตัวหนึ่ง
คือตัวหลักๆ เลย ที่ว่าเป็นตัวทำให้มีปัญหามากๆ ก็คือ..สังขาร
แล้วท่านก็ใส่ยศให้มันอีกหน่อยหนึ่ง เป็น “อภิสังขาร”
อภิสังขารที่เป็นมารในที่นี้ คือ ปรุงแต่งเป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง หรือปรุงแต่งแบบที่ทำให้เกิดฌาน
ก็เป็นปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร
พอฟังคำศัพท์แล้วยากมั้ย ?
“ปุญญาภิสังขาร” คือ สภาพปรุงแต่งที่เป็นบุญ เวลาเราคิดจะทำบุญ จะมีตัวปรุงแต่งขึ้นมาในใจก่อน
“อปุญญาภิสังขาร” คือ ปรุงที่ไม่เป็นบุญ
ปรุงแบบบาป คิดจะทำร้ายเขา คิดจะเบียดเบียนเขา คิดจะโกหก คิดจะขโมย นี่คือคิดเป็นบาป เป็นอปุญญาภิสังขาร
ส่วนคนที่จะทำฌาน ทำสมาธิ
มันปรุงเหนือจากบุญทั่วๆ ไป
บุญทั่วๆ ไปยังหวังที่จะได้กาม
ได้ความสุขจากการเห็น จากการฟัง
จากการดม จากการกิน จากการสัมผัส แต่คนบางกลุ่มเบื่อ!..เห็นว่าสิ่งเหล่านี้
มันต้องแย่งกัน
ได้มาแล้วก็สุขนิดเดียว มีภาระมาก
แต่งงานแล้วก็สุขนิดเดียว เดี๋ยวก็โดนซ้อมแล้ว มีภาระ แล้วก็มีทุกข์ด้วย
มีรถแล้วก็ถูกเอาไป โอ้..ลำบาก! เลยไม่สนใจเรื่องกาม
มาสนใจเรื่องการทำสมาธิ ทำฌาน หมายเอาภาวะที่จิตมั่นคงแน่วแน่ของฌานที่สี
ถ้าทำได้ก็เป็นการปรุงแต่งอีกแบบหนึ่ง เขาเรียกว่า “อเนญชาภิสังขาร”
อภิสังขาร คือสภาพที่ปรุงแต่ง #มีเจตนาเป็นประธาน
พูดย่อๆ ก็คือ ปรุงเป็นบุญ ปรุงเป็นบาป และปรุงเป็นฌาน ทำฌานที่สี่
ทำไมจึงเป็นมาร?
รู้มั้ย? บอกได้มั้ย?
ช่วยกันเสนอหน่อย ทำไมจึงเป็นมาร?
คำตอบคือ
#เพราะทุกครั้งที่ทำอะไรก็ตาม ใน ๓ อย่างนี้นะ #เป็นการทำกรรมทั้งสิ้น!
ทำกรรมก็คือสร้างภพ
ดีมั้ย..สร้างภพดีมั้ย?
พอสร้างภพแล้วคือต้องไปเกิด
ไอ้ตัวนี้..อภิสังขารนี่..จึงเป็นตัวขวางไม่ให้ไปนิพพาน
บรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้ เพราะมัววุ่นอยู่กับการคิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้าง
คิดบังคับเอาไว้อยู่กับที่บ้าง ที่เราทำสมาธิกันทั่วๆ ไป
คนทั่วไปที่ไม่เคยฟังธรรมนี่นะ! พอคิดจะทำสมาธิ..ก็ทำแบบบังคับเอาไว้
ทำอเนญชาภิสังขาร ก็ไม่พ้นจากภพ คือต้องไปเกิด
เกิดที่ไหนล่ะ? เกิดเป็นพรหมบ้าง อรูปพรหมบ้าง ไม่พ้นจริง
ตัวปรุงแต่งต่างๆ จึงเป็นตัวขวาง เป็นมาร..!
โอ้..ลำบากมั้ย?
แล้วจะพ้นได้ยังไง?
รู้มัน.. #รู้จักมัน!
คิดดี..ก็รู้
คิดไม่ดี..ก็รู้
คิดบังคับมันให้นิ่งๆ..ก็รู้
พอคิดบังคับนิ่งๆ เนี่ยนะ!
มันเป็นบุญก็จริง แต่ยังต้องไปเกิดอีก ถ้าพอใจแค่ว่าทำสมาธิสำเร็จ คือสงบ
“วันนี้ฉันนั่งสงบมา ๑ ชั่วโมง”.. ดีใจ ออกจากสมาธิมา..มีกิเลสต่อ
พระพุทธเจ้า..ตอนที่พระองค์เป็นนักบวช
ก่อนจะมาตรัสรู้นี่นะ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชแล้วนะ!
ไปเรียนกับอาฬารดาบส กับ อุททกดาบส ไปเรียนทำฌาน
พระองค์ทำฌานจนได้ฌานที่ ๗ และฌานที่ ๘ ตามลำดับ
ก็คือไปเรียนทำอเนญชาภิสังขาร แล้วท่านก็ออกจากฌานมา..ก็ดู
ออกจากสมาธิแล้วก็ยังมีการปรุงแต่ง ยังมีกิเลสอยู่
ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้จริง…ยังเกิด!
นี่ความละเอียดของพระองค์นะ
ถ้าเป็นเราละก็..โอ๋ย..พอใจ! ได้แค่นั้นก็เจ๋งมากแล้วนะ
แต่พระองค์เห็นว่า..มันยังเกิดอยู่ ที่พระองค์ออกมาบวช เพราะว่าไปเห็นคนแก่
คนเจ็บ คนตาย แล้วก็นักบวช ตอนเห็นคนแก่คนเจ็บคนตายเนี่ย พระองค์ดำริว่า..
“ทำอย่างไรเราจะพ้นจากแก่เจ็บและตาย แล้วก็จะพาคนอื่นพ้นด้วย”
แต่ถ้าไปทำฌานนะ ตายมั้ย? .. ตาย! ตายแล้วเกิดมั้ย? .. เกิด!
ไม่พ้น
ถ้าเกิดแล้วยังต้องตายอีก แสดงว่าทางนี้ไม่ใช่! ทางที่ไปทำฌานยังไม่ใช่
เอ๊ะ! ทำยังไงต่อ?
สมัยนั้นก็นิยมที่จะทรมานตัวเอง และเชื่อว่าถ้าทรมานร่างกายจนถึงระดับหนึ่ง..ตัณหาจะหมด
อ้าว! ถ้าตัณหาหมดไม่เกิดแน่..
พระองค์ก็ไปลองทรมานตัวเอง ทรมานไปจนถึงที่สุดแล้วเนี่ย!
ไม่มีใครอื่นจะทรมานตนได้ขนาดนั้นแล้ว
พระองค์ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะหมดกิเลสยังไงเลย ได้แต่ลำบาก
แล้วก็จิตใจพอ..จิตใจกับกายนี่มันยังสัมพันธ์กันอยู่
พอกายหมดแรง จิตก็ชักจะหมดแรงไปด้วย
พระองค์ก็พิจารณาเห็นว่า..
อดอาหารจนกระทั่งลูบท้องไป ไปโดนกระดูกสันหลังนี่นะ..
(อาตมาลูบแล้วไม่เจอซักที เจอแต่ไขมัน!)
พระองค์อดอาหารจนลูบหน้าท้องแล้วจะไปเจอกระดูกสันหลังเลย ลูบแขนแล้วขนจะหลุดไปเลย
ไม่มีใครจะอดอาหารแล้วทนได้..และมีชีวิตอยู่ขนาดนี้
ส่วนใหญ่อดอาหารแล้วก็ตาย หรือว่าทนไม่ได้ต้องมา..กลับมากิน
แต่พระองค์อดจนขนาดนั้นนะ ก็ไม่เห็นตัณหามันจะหายไปไหน
ตัณหามี ๓ อย่าง กามตัณหา..อยากได้กาม
ภวตัณหา..อยากเป็น อยากให้คงอยู่ แล้วก็
วิภวตัณหา..ไม่อยากเป็น อยากทำลาย อยากให้ดับสูญ
ก็ยังมีตัณหา ๓ อย่างนี้อยู่
อดอาหารจนจะแห้ง จะสิ้นชีวิตอยู่แล้วนี่นะ
ตัณหาเหล่านี้ก็ยังมีอยู่
พระองค์เห็นว่าไม่ใช่ทาง
เพราะฉะนั้น นั้นร่างกายต้องมีความสมบูรณ์พอสมควร
จิตใจจึงจะมีความพร้อมพอที่จะเกิดปัญญาได้
พระองค์ก็ตัดสินใจกลับมาบริโภคอาหาร บริโภคอาหารแล้ว ถึงวันตรัสรู้..
พระองค์ก็มานึกถึงตอนที่เป็นเด็ก ตอนนั้นทำสมาธิอย่างหนึ่ง
ที่ไม่เหมือนกันกับอาฬารดาบส และอุททกดาบส ทำให้ตัดสินใจว่า เดี๋ยวจะทำอย่างนั้น

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากซีดีบ้านจิตสบาย ๕
มารคาถา..ตอน อภิสังขารมาร
เทศน์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗