#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ก่อนตายจิตเศร้าหมอง #ถาม: ถ้าเราถือศีล ทำบุญสม่ำเสมอ (ตอนมีชีวิต) แต่โชคร้าย ก่อนตายจิตเศร้าหมอง ถูกฆ่า หรือ อุบัติเหตุ ไม่มีญาติทำบุญให้นี้ บุญที่เราทำมาจะช่วยให้เราพ้นจากอบายด้วยตนเองไหมค่ะ? #ตอบ : คำสำคัญอยู่ที่ว่า “ก่อนตายจิตเศร้าหมอง” มีพุทธพจน์อยู่ว่า.. “จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงดขา” จิตเศร้าหมองแล้วอบายคือ”ทุคติ” เป็นอันหวังได้ “จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา” ถ้าจิตไม่เศร้าหมอง “สุคติ”เป็นอันหวังได้ อันนี้โยมกำกับเงื่อนไขเอาไว้ว่า “ก่อนตายจิตเศร้าหมอง!” แล้วแถมมีคำว่า “โชคร้าย!!” ด้วย โชคร้าย.. ก่อนตายจิตเศร้าหมอง จะถูกฆ่าหรืออุบัติเหตุก็ตาม ก็คือไปอบาย ทีนี้บุญที่เราทำอย่างสม่ำเสมอ หรือ ถือศีลมาอย่างสม่ำเสมอ แต่เศร้าหมองตอนใกล้ตาย จิตก่อนตาย มันทำให้เป็นตัวตัดสินว่า จะไป”สุคติ”หรือไป”ทุคติ” “อาสันนกรรม” เป็นกรรมในตอนใกล้ตาย เป็นตัวที่ชี้ว่าจะไปอบาย หรือจะไปสุคติ จิตเศร้าหมองก็จะไปที่ที่เรียกว่า”ทุคติ” ทุคตินี่ก็มีตั้งแต่ เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย และสัตว์นรก ทีนี้มีเงื่อนไขอีกว่า.. “ไม่มีญาติทำบุญให้” แหม.. รู้สึกว่าปิดกั้นหมดเลยนะ!! ไม่มีญาติทำบุญให้ บุญของเราที่ทำมาจะช่วยให้เราพ้นจากอบายด้วยตนเองได้ไหม? ปกติแล้วเนี่ย.. ถ้าบุญที่เราทำสม่ำเสมอนั้น เป็นบุญเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นตัวกระตุ้นอะไรมากเนี่ยนะ มันก็ไม่ถึงกับว่าจะช่วยให้พ้นอบายได้ไวนัก ไม่ถึงขนาดที่ว่าไม่รอให้ถึงอายุขัย ก็อยู่ไปตามอายุขัยของสัตว์ในอบายนั้น แต่อาจจะดีกว่าสัตว์อื่น เช่น สมมติว่ามาเกิดเป็นสุนัข แต่ในอดีตเคยถือศีลไว้ดี ก็กลายเป็นสุนัขสวย น่ารัก ใครๆ ก็อยากเลี้ยง ไปอยู่บ้านเศรษฐี หรืออยู่บ้านไหนเขาก็เลี้ยงดูอย่างดี เอาไปนอนบนเตียงด้วย เรียกเป็นลูก หรือเป็นทาสก็ได้ อาจจะเป็นแมว แล้วคนยอมเป็นทาส อย่างนี้เรียกว่า.. มีบุญจากการถือศีล หรือให้ทานในสมัยยังเป็นมนุษย์ให้ผล แม้ตนจะเกิดในอบายภูมิ ก็บุญนั่นแหละ บุญที่ทำไว้เองนั่นแหละ ช่วยให้สบายในอบาย ทีนี้ถ้าจะให้พ้นอบายอย่างเร็ว บุญที่ทำตอนเป็นมนุษย์ต้องบุญใหญ่สักหน่อย ประมาณว่าช่วยกระตุ้นเตือนตนเองได้ในอบาย คือบุญต้องรุนแรง กุศลนั้นต้องรุนแรง มีน้ำหนักมากพอ เช่น เรื่องพระนางมัลลิกา พระนางมัลลิกาก่อนตายใจเศร้าหมอง เพราะว่าไปประพฤติไม่ดี แล้วก็โกหกพระเจ้าปเสนทิโกศลไว้ ก่อนตายก็คิดถึงกรรมที่ตัวเองทำอันนั้น จิตเศร้าหมอง ก็ไปอบาย ตกนรกอเวจี ตกนรกไปแล้วเนี่ย ก็นึกถึงตัวเองว่า ‘เราก็ทำบุญเยอะนะ’ โดยเฉพาะบุญที่ไม่มีใครชนะได้ ไม่มีใครสามารถทำเทียมเท่าได้อีก เรียกว่า “อสมิสทาน” คือทำบุญแข่งกับชาวเมือง แล้วก็ตนเองหาอุบายช่วยพระเจ้าปเสนทิโกศลทำบุญในลักษณะที่ว่าชาวเมืองไม่สามารถสู้ได้ เป็นบุญใหญ่มาก แล้วก็เป็นที่โจษขานของชาวเมือง พอตกอบาย ไปนึกถึงบุญอันนั้นที่ทำ ก็พ้นจากอบายทันทีเลย คือตกไปเพียง ๗ วัน ก็พ้นจากอบายไป ขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิตเลย เรื่องนี้เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบคำถามของพระเจ้าปเสนทิโกศล คือไม่ประสงค์จะตอบ คือพระเจ้าปเสนทิโกศลเนี่ย พอพระนางมัลลิกาสิ้นพระชนม์ ก็อยากจะรู้ว่าพระนางมัลลิกานั้นไปเกิดที่ไหน? ทีนี้ถ้าจะมาถามพระพุทธเจ้าตอนที่พระนางมัลลิกายังอยู่ในนรกเนี่ย จะบอกว่าไปนรก หรือตกนรกเนี่ย จะทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลหมดศรัทธา และกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิเลย ในความรู้สึกของพระเจ้าปเสนทิโกศลมีแต่ภาพดีๆ ของพระนางมัลลิกา ไอ้ที่พระนางมัลลิกาทำอะไรไม่ดีเนี่ยนะพระองค์ไม่รู้ แล้วที่พระนางมัลลิกาโกหกไว้ก็เชื่อพระนางมัลลิกาไปแล้ว ไม่มีภาพจำ ไม่มีความจำอะไรเกี่ยวกับพระนางมัลลิกาในแง่ไม่ดีเลย แต่พระนางมัลลิการู้ดีว่าตัวเองโกหกและทำไม่ดีเอาไว้ แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ประสงค์จะมาแฉไอ้ความไม่ดีตรงนี้ ที่จะไปบอกว่าพระนางมัลลิกานะตกนรกเพราะว่าทำไม่ดีอย่างงี้ ซึ่งจะยิ่งไปใหญ่ จะทำให้ใจของพระเจ้าปเสนทิโกศลยิ่งแย่ไปใหญ่ ก็ทรงเลือกที่จะไม่ตอบ วิธีที่จะไม่ตอบ ก็คือว่า พอพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จมา พระองค์ก็บันดาลให้ลืม พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จมาถึงพระพุทธเจ้า ก็ตรัสถามเรื่องนู้นเรื่องนี้ คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ แล้วก็..’เอ๊ะ!..จะถามอะไรนะ? ลืมไป ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวกลับไปก่อน’ กลับถึงวังก็นึกได้ว่า.. จะถามพระนางมัลลิกาสิ้นพระชนม์แล้วไปเกิดที่ไหน? วันรุ่งขึ้นไปถามอีก พอเข้าเขตวัดก็ลืม ไปคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ ‘เอ..เราจะถามอะไรนะ? ลืมไปแล้ว ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้มาถาม’ เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน จนพระพุทธเจ้าเห็นว่า พระนางมัลลิกาขึ้นสวรรค์แล้ว วันนี้พระเจ้าปเสนทิโกศลมา พระองค์ไม่ใช้ฤทธิ์บันดาลให้ลืมแล้ว มาถึงพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ตรัสกับพระพุทธเจ้าว่า “เนี่ย.. กระหม่อมฉันว่าจะมาถามอยู่เรื่องนี้ มาทีไรลืมทุกที วันนี้ไม่ลืม จะถามว่า.. พระนางมัลลิกาสิ้นพระชนม์แล้ว ตอนนี้ไปอยู่ไหน?” พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “อยู่ขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิต” พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ “ว่าแล้วเลย พระนางมัลลิกาเนี่ยเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ใจบุญ ช่วยกระหม่อมฉันทำบุญเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง เป็นผู้ออกความคิดอะไรต่างๆ นานา ช่วยกระหม่อมฉันทุกๆ อย่าง สมควรแล้วที่พระนางจะไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต” มีความปลื้มใจปีติใจ เกิดศรัทธาในบุญมากยิ่งขึ้น มีกำลังใจในการประพฤติปฎิบัติมากยิ่งขึ้น เหมือนเป็นคำตรัสรับรองของพระพุทธเจ้าว่าพระนางอยู่บนสวรรค์อะไรประมาณนี้ ฉะนั้น.. ถ้าจิตเศร้าหมองแล้วไปนรกเนี่ยนะ ก็ต้องมีบุญเก่าๆ ที่ทำแล้วสามารถที่จะระลึกขึ้นมาเองได้ ในนรกนั้น แล้วจึงจะพ้นนรกขึ้นมา โดยไม่ต้องรอให้ครบอายุขัยของสัตว์นรกนั้น อันนี้เรียกว่า “บุญที่เราทำมานั้นช่วยให้พ้นจากอบายได้ด้วยตนเอง” ก็มี พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://youtu.be/IaZuA5EEnhc?t=5407 (นาทีที่ 1:30:07 – 1:39:23)

อ่านต่อ