Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #คนเสียสละช่วยงานกับคนนั่งสมาธิ #ถาม: ได้ฟังหลวงพ่อ…ท่านสอนว่า.. “คนที่เสียสละช่วยงาน ก็ไม่ต้องน้อยใจว่า.. ไม่ได้นั่งสมาธิ เพราะผลก็ได้ เท่ากับคนที่นั่งสมาธิ..” โยมค้านในใจว่า.. น่าจะผลไม่เท่ากัน! เพราะส่วนตัวโยม การทำงานเสียสละนั้นมีผลน้อยกว่าการนั่งสมาธิ คำถามคือ ความคิดค้านในใจของโยมที่มีต่อหลวงพ่อ (ที่ลูกศิษย์ต่างบอกว่า เป็นพระอรหันต์แล้ว) ความค้านนั้น.. จะบาปหรือไม่? # ตอบ : ถ้าเพียงแค่ “ค้าน” คือไม่เห็นด้วย! ความรู้สึกไม่เห็นด้วย..แค่ไม่เห็นด้วยเนี่ย..ยังไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดโทสะ ..อันนี้ชักมีปัญหา !! ไม่ว่าท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือเปล่านี่นะ มันขึ้นอยู่กับว่า.. เรามีกิเลสหรือเปล่าในการมีความคิดเห็นนั้นๆ? เช่นว่า ไม่เห็นด้วย! แต่ลองทำความเข้าใจท่านดูสิว่า.. ที่ท่านว่า “คนเสียสละช่วยงานไม่ต้องน้อยใจ” เจตนาในการพูดของท่านคืออะไร? แล้วก็ความหมายจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริง หรือเป็นจริงได้ไหม? ถ้าเราจะลองทำความเข้าใจ มองภาพผ่านๆ ทั่วๆไปเนี่ย คนเสียสละไปช่วยงาน ไม่ได้นั่งสมาธิไปกับเขา.. สมมุติว่า.. ระหว่างที่เขานั่งสมาธิกันอยู่ เราเป็นผู้เสียสละมาช่วยในด้านอื่น ในด้านการงาน แล้วท่านว่า.. “เราผลได้เท่ากับคนนั่งสมาธิ” ทีนี้ถ้าจะทำความเข้าใจ ก็คือ ในความรู้สึกของเรา จะรู้สึกว่า..” ไม่เท่า” ใช่ไหม? คนทั่วไปก็ว่า.. น่าจะไม่เท่า! “คนนั่งสมาธิ”กับ”คนช่วยงาน” ไม่น่าจะได้เท่าใช่ไหม? ซึ่งก็เป็นไปได้สำหรับคนทั่วๆไป คนนั่งสมาธิกับคนช่วยงาน ผลน่าจะได้ไม่เท่ากัน แต่ถ้ามันจะได้ผลด้วย บางทีไม่เท่ากันในแง่ที่ว่า.. บางทีนะ ถ้าคนช่วยงานเขาทำการช่วยงานด้วยใจที่เป็นกุศล ไม่ได้คิดอยากได้อะไร เสียสละจริงๆ อยากให้คนที่นั่งสมาธินั้น ได้มีโอกาสภาวนา เขาเองขอเสียสละ ใช้แรงกายแรงใจ ไม่มีเวลาไปนั่งนิ่งๆ อย่างเขา ที่ว่าได้ไม่เท่ากันน่ะ! บางที่คนช่วยงานได้มากกว่า ถ้าหากคนที่นั่งนิ่ง ๆ นั่นน่ะ.. ยังไม่รู้หลัก! แต่คนที่ช่วยงานเนี่ย ใจเสียสละ อย่างน้อยเขา”ได้บุญ” เขาได้บุญในแง่ที่ว่า”เวยยาวัจจมัย” เป็นบุญในการขวนขวายช่วยเหลือ เอาแรงกาย แรงใจเข้าไปช่วยเหลือ นั่งนิ่งเนี่ย บางทีก็นั่งเครียดก็มีนะ เป็นไปได้ไหม? คือมันบอกไม่ได้ คือเหมารวมไม่ได้ เอาอย่างนี้ดีกว่า เหมารวมไม่ได้ว่า”คนที่นั่งสมาธินิ่งๆ” กันน่ะ กับ “คนที่ช่วยงาน” ใครจะได้บุญมากกว่ากัน? มันพูดเหมารวมไม่ได้ !! มันต้องไปดูเป็นกรณีๆไป คนช่วยงาน ถ้าเขาเดินไปเดินมาได้อย่างรู้สึกตัว ใจก็เสียสละอยู่แล้ว และแถมมีสติรู้สึกตัว ไม่หลับแน่ๆ คนช่วยงานไม่หลับแน่ๆ เนี่ยนะ ช่วยงานอยู่แถมมีสติรู้สึกตัว เกิดกิเลสขึ้นมา..ก็รู้ทัน! ถ้ามีสติรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง มีความรู้สึกตัวอย่างดีนี่นะ ดีไม่ดี..ได้มากกว่าคนที่นั่ง ด้วยใจที่เสียสละนั่นแหละ บารมีก็ได้ กรรมฐานก็ได้ แต่ถ้า”คนที่จะเอา” คิดจะเอาบุญไม่ต้องการเสียสละ คิดจะเอา!! ฉันจะไปนั่งสมาธิ ใครให้ไปช่วยอะไร..ไม่เอา! ฉันจะนั่ง..อย่างนี้นะ มันเห็นแก่ตัวไหม? ถ้าคิดเห็นแก่ตัว ก็คงได้น้อยกว่าคนเสียสละใช่ไหม? ​ที่ท่านบอกว่า “อย่าไปน้อยใจ” คือถ้าคนที่ทำงานเหนื่อยก็เหนื่อย แล้วแถมยังน้อยใจด้วย อันนี้ก็.. เสียเปรียบ! เหนื่อยก็เหนื่อย แล้วก็แถมน้อยใจ.. ไอ้ตัวน้อยใจนั่นแหละ ที่ทำให้เสียเปรียบ !! แต่ถ้าไม่น้อยใจ.. ดีใจที่เราเสียสละ ให้โอกาสคนที่เขานานๆ มาทีหนึ่ง ให้เขาไปนั่ง เราอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ไว้ใจ ให้ช่วยงาน ดีใจที่ได้ช่วย ดีใจที่คนได้มาฝึก มาเรียนรู้กับครูบาอาจารย์ ช่วยบริการ ช่วยเสียสละ.. บุญก็ได้ ! บารมีก็ได้ !! สติก็มี !!! แล้วการบรรลุมรรคผลนั้น มันไม่จำเป็นว่า.. ต้องอยู่ในท่านั่ง มันอยู่ในอิริยาบถปกตินี้ก็ได้ อยู่ในชีวิตประจำวันนี้ก็ได้ และส่วนใหญ่เท่าที่ได้ยินมา.. จะอยู่ในชีวิตประจำวันนี่แหละ เกิดกระทบกันมีกิเลส รู้ทันกิเลส แต่ถ้านั่งแล้วเขาซึม, หลับ, เคลิ้ม หรือเครียดอย่างนี้นะ มันอาจจะได้ไม่เท่ากับคนเสียสละก็ได้ อันนี้ท่านก็ให้กำลังใจกับคนที่เสียสละว่า.. ก็ได้ผล อันนี้โยมอาจจะได้ยินมาว่า ท่านบอกว่า “ได้ผลเท่ากัน เท่ากับคนที่นั่ง สมาธิ” อันนี้อาจเท่ากันก็ได้ หรืออาจจะมากกว่าก็ได้ ! อาจจะน้อยกว่าก็ได้ ! มันแล้วแต่คน ถ้าคนที่นั่งสมาธิ.. ทุกคนคิดว่า.. ‘ฉันจะนั่งสมาธิ’! ไม่มีใครเสียสละมาทำงานส่วนรวม มันจะไปได้ไหม? จะมีงานนี้เกิดขึ้นได้ไหม? สมมุตินะ! สมมุติว่า.. งานนี้ อาตมามานั่งอยู่ตรงนี้ ทุกคนอยากฟังทั้งหมด ไม่มีคนเสียสละมาเป็นทีมงานเลย ทั้งที่สวนธรรมฯ และที่วัดสังฆทาน คิดว่าโยมจะได้เห็นภาพไหม? จะได้ยินไหม? รายการนี้จะเกิดขึ้นได้ไหม? นึกออกไหม? ถ้าไม่มีคนเสียสละแล้ว ไม่ใช่ว่าคนเสียสละนั้นจะไม่ได้ยินได้ฟังอะไรด้วย เขาก็ได้ฟัง และก็ได้ยินได้ฟังอยู่ทุกครั้งเลย ความเสียสละนั่นเองได้บารมี และการที่ฟังไปเรื่อยๆ บางทีครูบาอาจารย์พูดมา “มันสะกิดใจ!” บางทีเกิดความเข้าใจเลยว่า ‘อือ..ใช่! อย่างนี้นี่เอง’ ประมาณนี้ งานก็ทำ ธรรมะก็ได้ ​ดังนั้น “คนที่เสียสละ” ถ้าเสียสละเป็น เขาจะได้สองทาง เขาจะได้สองทางเลย.. 1. งานเสียสละคือได้อยู่แล้ว คือได้เสียสละ 2. ธรรมะก็ได้ ถ้ารู้หลักในการภาวนา ทำด้วยความรู้สึกตัว กิเลสอาจจะเกิดขึ้น ยิ่งทำงานกับคนมาก เนื้องานมีมากปัญหามาเยอะนี่นะ ยิ่งได้สร้างบารมีมาก และมีการกระทบกระทั่งกัน หรือมีกิเลสเกิดขึ้นมาในระหว่างทำงาน กิเลสเกิดขึ้น ก็เจริญสติ ปัญหามา มีปัญญาเข้าไปแก้ด้วยปัญญาก็ได้เจริญ แม้จะเป็นปัญญาทางโลกก็ยังดี บางทีก็ได้ปัญญาในทางวิปัสสนาด้วย คือเห็นว่ามันเกิด-มันดับ เห็นกิเลสในใจตัวเองน่ะเกิด-ดับ เกิด-ดับ ​ฉะนั้น ‘ความคิดค้านในใจ’ ถ้าเป็นความคิดค้านในใจเฉยๆ ในแง่ที่ว่า.. ‘อือ ไม่แน่นะ หลวงพ่อนะ บางทีคนที่เสียสละเนี่ย บางทีได้มากกว่านะ บางทีก็อาจจะได้น้อยกว่า หรือบางทีอาจได้เสมอกันก็ได้ มันไม่แน่’ แล้วเราก็คิดในแง่แบบนี้ ก็ไม่ได้เป็นอะไร เราก็ไม่ได้ไปปรามาสท่าน แล้วก็ไม่ได้ไปคิดน้อยใจ ว่าเราเสียสละแล้วท่านมาพูดอย่างนี้ เพื่อหลอกเราให้ทำงาน อะไรอย่างนี้นะ ถ้าคิดว่า.. ท่านหลอกเราให้ทำงาน ก็อาจเป็นอกุศล แต่ถ้าคิดค้านในแง่นี้ ‘ก็ไม่แน่นะ บางทีคนเสียสละอาจได้มากกว่า หรืออาจจะได้น้อยกว่า มันแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัยของคนที่ทำงานนนั้น มีความเข้าใจในการภาวนาแค่ไหน’ การภาวนาไม่ใช่ว่าต้องมานั่งนิ่งๆ หรือว่ามาเดินจงกรมเสมอไป ไม่จำเป็น! แต่ถ้ามีเวลา.. มีโอกาสก็ทำในรูปแบบ แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มคนทำงาน ทำงานจริงๆเลย คือ ทำงานบริษัท หรือกับหน่วยงานต่างๆ เราจะมานั่งสมาธิในโต๊ะทำงาน ก็ผิดเวลาใช่ไหม? เราก็ทำงานไปเจริญสติไป ระหว่างที่คุยงานกับลูกค้า ลูกค้าพูดดี..เราดีใจ.. ดีใจ..รู้ทันว่าดีใจ ลูกค้างี่เง่า..เราไม่ชอบใจ..รู้ทันว่าไม่ชอบใจ อย่างนี้ได้บุญ ได้บุญในแง่ของการภาวนา เดินไปเข้าห้องน้ำ เห็นกายเดิน เห็นความทุกข์ในร่างกายบีบคั้น พอเข้าห้องน้ำรู้สึกเกิดสุขขึ้นมา ได้ระบายเอาของเสียออกไป อย่างนี้ได้เจริญสติ แล้ว ไม่ต้องทำในรูปแบบ เขาจ้างให้เราไปทำงาน ไม่ได้จ้างให้เราไปนั่งสมาธิ ไม่ได้จ้างให้เราไปเดินจงกรม อย่างนี้ แม้ไม่ได้ทำในรูปแบบ ถามว่า.. ได้ผลไหม?.. ได้ผล! แล้วไอ้คนที่นั่งอยู่ในที่ทำงาน แล้วไปนั่งสมาธิ.. ไอ้นั่น..กลับกลายเป็นว่าทำผิดเวลา นึกออกไหม? การนั่งนิ่งๆ ถ้านั่งผิดที่ผิดเวลา แทนที่จะได้บุญ กลับไม่ได้บุญ ฉะนั้นไอ้คนที่นั่งสมาธิ กับ คนที่ช่วยงาน มันไม่ได้แปลว่า.. คนที่นั่งสมาธิได้บุญมากกว่า หรือคนทำงานจะได้บุญน้อยกว่า หรือมากกว่า มันขึ้นอยู่กับว่า.. ทำเป็นหรือเปล่า?! ทำเป็นไหม?!! แต่คนเสียสละเนี่ย.. ได้อยู่แล้ว! ถ้าเขาคิดเสียสละ!! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ 650817 ออกอากาศวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๕ นาทีที่ 53.58-1.06.11 คลิกลิงค์วีดีโอ 650817_ธรรมะสว่างใจ.mp4 https://youtu.be/rGNtxlhiZ3c

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ก่อนตายจิตเศร้าหมอง #ถาม: ถ้าเราถือศีล ทำบุญสม่ำเสมอ (ตอนมีชีวิต) แต่โชคร้าย ก่อนตายจิตเศร้าหมอง ถูกฆ่า หรือ อุบัติเหตุ ไม่มีญาติทำบุญให้นี้ บุญที่เราทำมาจะช่วยให้เราพ้นจากอบายด้วยตนเองไหมค่ะ? #ตอบ : คำสำคัญอยู่ที่ว่า “ก่อนตายจิตเศร้าหมอง” มีพุทธพจน์อยู่ว่า.. “จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงดขา” จิตเศร้าหมองแล้วอบายคือ”ทุคติ” เป็นอันหวังได้ “จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา” ถ้าจิตไม่เศร้าหมอง “สุคติ”เป็นอันหวังได้ อันนี้โยมกำกับเงื่อนไขเอาไว้ว่า “ก่อนตายจิตเศร้าหมอง!” แล้วแถมมีคำว่า “โชคร้าย!!” ด้วย โชคร้าย.. ก่อนตายจิตเศร้าหมอง จะถูกฆ่าหรืออุบัติเหตุก็ตาม ก็คือไปอบาย ทีนี้บุญที่เราทำอย่างสม่ำเสมอ หรือ ถือศีลมาอย่างสม่ำเสมอ แต่เศร้าหมองตอนใกล้ตาย จิตก่อนตาย มันทำให้เป็นตัวตัดสินว่า จะไป”สุคติ”หรือไป”ทุคติ” “อาสันนกรรม” เป็นกรรมในตอนใกล้ตาย เป็นตัวที่ชี้ว่าจะไปอบาย หรือจะไปสุคติ จิตเศร้าหมองก็จะไปที่ที่เรียกว่า”ทุคติ” ทุคตินี่ก็มีตั้งแต่ เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย และสัตว์นรก ทีนี้มีเงื่อนไขอีกว่า.. “ไม่มีญาติทำบุญให้” แหม.. รู้สึกว่าปิดกั้นหมดเลยนะ!! ไม่มีญาติทำบุญให้ บุญของเราที่ทำมาจะช่วยให้เราพ้นจากอบายด้วยตนเองได้ไหม? ปกติแล้วเนี่ย.. ถ้าบุญที่เราทำสม่ำเสมอนั้น เป็นบุญเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นตัวกระตุ้นอะไรมากเนี่ยนะ มันก็ไม่ถึงกับว่าจะช่วยให้พ้นอบายได้ไวนัก ไม่ถึงขนาดที่ว่าไม่รอให้ถึงอายุขัย ก็อยู่ไปตามอายุขัยของสัตว์ในอบายนั้น แต่อาจจะดีกว่าสัตว์อื่น เช่น สมมติว่ามาเกิดเป็นสุนัข แต่ในอดีตเคยถือศีลไว้ดี ก็กลายเป็นสุนัขสวย น่ารัก ใครๆ ก็อยากเลี้ยง ไปอยู่บ้านเศรษฐี หรืออยู่บ้านไหนเขาก็เลี้ยงดูอย่างดี เอาไปนอนบนเตียงด้วย เรียกเป็นลูก หรือเป็นทาสก็ได้ อาจจะเป็นแมว แล้วคนยอมเป็นทาส อย่างนี้เรียกว่า.. มีบุญจากการถือศีล หรือให้ทานในสมัยยังเป็นมนุษย์ให้ผล แม้ตนจะเกิดในอบายภูมิ ก็บุญนั่นแหละ บุญที่ทำไว้เองนั่นแหละ ช่วยให้สบายในอบาย ทีนี้ถ้าจะให้พ้นอบายอย่างเร็ว บุญที่ทำตอนเป็นมนุษย์ต้องบุญใหญ่สักหน่อย ประมาณว่าช่วยกระตุ้นเตือนตนเองได้ในอบาย คือบุญต้องรุนแรง กุศลนั้นต้องรุนแรง มีน้ำหนักมากพอ เช่น เรื่องพระนางมัลลิกา พระนางมัลลิกาก่อนตายใจเศร้าหมอง เพราะว่าไปประพฤติไม่ดี แล้วก็โกหกพระเจ้าปเสนทิโกศลไว้ ก่อนตายก็คิดถึงกรรมที่ตัวเองทำอันนั้น จิตเศร้าหมอง ก็ไปอบาย ตกนรกอเวจี ตกนรกไปแล้วเนี่ย ก็นึกถึงตัวเองว่า ‘เราก็ทำบุญเยอะนะ’ โดยเฉพาะบุญที่ไม่มีใครชนะได้ ไม่มีใครสามารถทำเทียมเท่าได้อีก เรียกว่า “อสมิสทาน” คือทำบุญแข่งกับชาวเมือง แล้วก็ตนเองหาอุบายช่วยพระเจ้าปเสนทิโกศลทำบุญในลักษณะที่ว่าชาวเมืองไม่สามารถสู้ได้ เป็นบุญใหญ่มาก แล้วก็เป็นที่โจษขานของชาวเมือง พอตกอบาย ไปนึกถึงบุญอันนั้นที่ทำ ก็พ้นจากอบายทันทีเลย คือตกไปเพียง ๗ วัน ก็พ้นจากอบายไป ขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิตเลย เรื่องนี้เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบคำถามของพระเจ้าปเสนทิโกศล คือไม่ประสงค์จะตอบ คือพระเจ้าปเสนทิโกศลเนี่ย พอพระนางมัลลิกาสิ้นพระชนม์ ก็อยากจะรู้ว่าพระนางมัลลิกานั้นไปเกิดที่ไหน? ทีนี้ถ้าจะมาถามพระพุทธเจ้าตอนที่พระนางมัลลิกายังอยู่ในนรกเนี่ย จะบอกว่าไปนรก หรือตกนรกเนี่ย จะทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลหมดศรัทธา และกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิเลย ในความรู้สึกของพระเจ้าปเสนทิโกศลมีแต่ภาพดีๆ ของพระนางมัลลิกา ไอ้ที่พระนางมัลลิกาทำอะไรไม่ดีเนี่ยนะพระองค์ไม่รู้ แล้วที่พระนางมัลลิกาโกหกไว้ก็เชื่อพระนางมัลลิกาไปแล้ว ไม่มีภาพจำ ไม่มีความจำอะไรเกี่ยวกับพระนางมัลลิกาในแง่ไม่ดีเลย แต่พระนางมัลลิการู้ดีว่าตัวเองโกหกและทำไม่ดีเอาไว้ แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ประสงค์จะมาแฉไอ้ความไม่ดีตรงนี้ ที่จะไปบอกว่าพระนางมัลลิกานะตกนรกเพราะว่าทำไม่ดีอย่างงี้ ซึ่งจะยิ่งไปใหญ่ จะทำให้ใจของพระเจ้าปเสนทิโกศลยิ่งแย่ไปใหญ่ ก็ทรงเลือกที่จะไม่ตอบ วิธีที่จะไม่ตอบ ก็คือว่า พอพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จมา พระองค์ก็บันดาลให้ลืม พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จมาถึงพระพุทธเจ้า ก็ตรัสถามเรื่องนู้นเรื่องนี้ คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ แล้วก็..’เอ๊ะ!..จะถามอะไรนะ? ลืมไป ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวกลับไปก่อน’ กลับถึงวังก็นึกได้ว่า.. จะถามพระนางมัลลิกาสิ้นพระชนม์แล้วไปเกิดที่ไหน? วันรุ่งขึ้นไปถามอีก พอเข้าเขตวัดก็ลืม ไปคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ ‘เอ..เราจะถามอะไรนะ? ลืมไปแล้ว ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้มาถาม’ เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน จนพระพุทธเจ้าเห็นว่า พระนางมัลลิกาขึ้นสวรรค์แล้ว วันนี้พระเจ้าปเสนทิโกศลมา พระองค์ไม่ใช้ฤทธิ์บันดาลให้ลืมแล้ว มาถึงพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ตรัสกับพระพุทธเจ้าว่า “เนี่ย.. กระหม่อมฉันว่าจะมาถามอยู่เรื่องนี้ มาทีไรลืมทุกที วันนี้ไม่ลืม จะถามว่า.. พระนางมัลลิกาสิ้นพระชนม์แล้ว ตอนนี้ไปอยู่ไหน?” พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “อยู่ขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิต” พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ “ว่าแล้วเลย พระนางมัลลิกาเนี่ยเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ใจบุญ ช่วยกระหม่อมฉันทำบุญเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง เป็นผู้ออกความคิดอะไรต่างๆ นานา ช่วยกระหม่อมฉันทุกๆ อย่าง สมควรแล้วที่พระนางจะไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต” มีความปลื้มใจปีติใจ เกิดศรัทธาในบุญมากยิ่งขึ้น มีกำลังใจในการประพฤติปฎิบัติมากยิ่งขึ้น เหมือนเป็นคำตรัสรับรองของพระพุทธเจ้าว่าพระนางอยู่บนสวรรค์อะไรประมาณนี้ ฉะนั้น.. ถ้าจิตเศร้าหมองแล้วไปนรกเนี่ยนะ ก็ต้องมีบุญเก่าๆ ที่ทำแล้วสามารถที่จะระลึกขึ้นมาเองได้ ในนรกนั้น แล้วจึงจะพ้นนรกขึ้นมา โดยไม่ต้องรอให้ครบอายุขัยของสัตว์นรกนั้น อันนี้เรียกว่า “บุญที่เราทำมานั้นช่วยให้พ้นจากอบายได้ด้วยตนเอง” ก็มี พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://youtu.be/IaZuA5EEnhc?t=5407 (นาทีที่ 1:30:07 – 1:39:23)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #รักษาศีลถือพรหมจรรย์ #เกิดกามราคะ #อันตรายต่อพรหมจรรย์ #ถาม: เป็นฆราวาส ตั้งใจจะถือ”พรหมจรรย์” ช่วงเข้าพรรษานี้ ครับ.. เมื่อมีกามราคะเกิดขึ้น ควรทำอย่างไรดีครับ? #ตอบ: มีกามราคะเกิดขึ้นให้รู้ทัน.. แล้วอย่าไปคิดต่อ! “อย่าไปต่อเรื่องกับมัน” กามราคะเนี่ย.. ที่มันจะเกิดขึ้นนี่ มันมีเหตุ ก็คือ มันไปคิดถึง.. ‘สิ่งน่าใคร่’ คิดถึง.. ‘บุคคลน่าใคร่’ คิดถึง.. ‘เหตุการณ์น่าใคร่’ ประมาณนี้นะ! “กามราคะ” คิดถึงสิ่งที่น่าพอใจเป็น “กามวิตก” ภาษบาลีจะชัดเจน “กามวิตก” คิดถึงกาม เราก็อย่าไปคิดต่อ! มันคิดแล้ว.. เกิดกามราคะ รู้ทันกามราคะ แล้วอย่าไปคิดต่อ!! อย่าไปอาลัยอาวรณ์ อย่าไปเสียดาย เราคล้ายๆ ตั้งใจ “ถือพรหมจรรย์” แล้วเนี่ยนะ ไอ้การคิดถึงกามราคะเนี่ย “เป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์” ที่เราคิดถืออยู่นี่ ที่เราตั้งใจถืออยู่! ก็หางานทำ หาอะไรทำ อย่าอยู่นิ่งๆ และคิดถึงกามยาวนาน แล้วก็ตั้งใจไว้ให้ดี ตัวกามราคะ มันมีเหตุจากกามวิตกนี่แหละ! คือ อย่าปล่อยให้คิดถึงกามนาน แล้วก็.. หมั่นทำสมถะบ่อยๆ นะ! ให้มันมีความสุข จากการทำสมถะ มาทดแทนการคิดอาลัยอาวรณ์ในสุขของกาม ที่มันคิดถึงกามบ่อยๆ เพราะมันคิดถึงสุขนั้นเอง คิดถึง “สุขในกาม” แต่ “สุข” มันไม่ได้มีแค่เรื่องของกาม! “กามสุข” มันเป็นเรื่องของคนทั่วไป ที่คิดถึง แต่คนที่ภาวนา ทำสมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนาเนี่ย มีสุขที่เหนือกว่า !! ที่จะทำให้ไม่อาลัยอาวรณ์กับสุขในกาม ก็ทำสมถะให้เกิด ทำสมถะแล้ว ก็ทำวิปัสสนาให้เกิดด้วย ทำวิปัสสนาให้เกิด ก็จะมีสุขที่เหนือกว่าสมถะอีก คือ “สุข.. เวลาได้บรรลุมรรคผล” สุขในการเห็นว่า.. แค่เห็นว่า.. “กายไม่ใช่เรา” นี่ก็สุขมากแล้วนะ! บางทีเห็นว่า.. กายไม่ใช่เรา แล้วเห็นจิต เกิด-ดับ เปลี่ยนแปลง เจริญวิปัสสนา ก็เริ่มมีความสุขในการภาวนามากขึ้นๆ จะสุขอีกทีอย่างมากๆ เลย ตอนบรรลุมรรคผล ก็จะทำให้ค่อยๆ คลาย จากความสุขในกามนั้นได้ แต่ยังไม่หมดอยู่ดีนะ! จะหมดอีกทีตอนเป็น”พระอนาคามี” นั่นแหละ แต่ว่า.. อย่างน้อยๆ ให้มีสุขอื่นมาเทียบบ้าง จะได้ตัดใจได้ง่าย คือ เห็นความอาลัยอาวรณ์ในกามนั้น.. ตัด! จะตัดไปได้โดยง่ายๆ ก็ต้องมีสุขอื่นมาเทียบ นั่นคือ.. “สุขจากการทำสมถะ” เรียกว่า”สมาธิสุข” และสุขจากการบรรลุมรรคผล เรียกว่า “นิพพานสุข” ต้องมีสุขอีกสองอย่างมาเทียบ ถึงจะพออุ่นใจนะ! แล้วก็ทำให้การภาวนาของเราราบรื่นขึ้น อย่างน้อยๆ ในพรรษานี้.. “หมั่นทำสมถะบ่อยๆ!” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕ นาทีที่ 1:05:05 – 1:08:48 URL : https://youtu.be/IaZuA5EEnhc

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ขึ้นวิปัสสนา #วิปัสสนูปกิเลส #ถาม : ผมปฎิบัติภาวนามาหลายปี เห็น “เกิด-ดับ” ของสภาวะธรรม แต่ไม่เคยเห็น “วิปัสสนูปกิเลส” เลย! คำถามคิอว่า.. ผมขึ้นวิปัสสนาแล้ว หรือยังครับ? #ตอบ : เห็นเกิดดับเหรอ? เวลาคนภาวนาในแง่การดูจิตเนี่ยนะ “วิปัสสนูปกิเลส” ที่คนดูจิตจะเกิด.. บางทีจะเป็น “โอภาส” คือเวลามีสติเห็นกิเลสแล้วเนี่ย พอกิเลสดับแล้วจะสว่าง! กิเลสเกิดขึ้นมา มีสติรู้ทันนะ!.. กิเลสดับ! ไอ้ตอนมีสติรู้เนี่ย มันจะสว่าง พอสว่างแล้วเนี่ย บางทีสว่างอยู่ข้างหน้าอย่างนี้ แล้วประคองความสว่างเอาไว้ แล้วคิดว่า..’ดี’ คิดว่า..’สว่างนี้..ดี’ อาจจะไม่คิดถึงขนาดว่า “เกิดมรรคผล” แต่เห็นว่าดี แล้วประคองไว้เนี่ยนะ อันนี้อยู่ในแนวที่จะเป็น”วิปัสสนูปกิเลส” วิปัสสนูปกิเลสเนี่ย จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราเจริญวิปัสสนาแล้ว! การที่เห็น.. เมื่อกี้มีกิเลส กิเลสดับไป แล้วสว่างเนี่ยนะ ก็คือ เจริญวิปัสสนาแล้วนะ เห็นว่า เมื่อกี้มี..แล้วดับไป..แล้วสว่าง ถ้ามันเป็นอย่างนี้นะ! แล้วส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้นะ คือ “สว่าง” แล้วชอบใจ พอใจ ประคองเอาไว้ แล้วคิดว่า.. ‘ใจฉัน ตอนนี้สว่างไสวดี ดีเหลือเกิน เหมือนไม่มีกิเลสเลย’ พอเหมือนไม่มีกิเลสเลยเนี่ยนะ มันคล้ายๆ กับว่า.. ถ้าโน้มน้อมในแง่ที่ว่า “เราคงจะได้มรรคผลขั้นใดขั้นหนึ่ง” อันนี้นะเต็มตัว!.. เป็นวิปัสสนูปกิเลสเต็มตัว แต่ถ้าประมาณว่า.. มัน “ดี” ก็อยู่ในแนวที่จะเป็นวิปัสสนูปกิเลสได้ คือ ตีความไปได้ว่า มันก็คือ.. เห็นว่า “ดี” ไม่เห็นว่า.. มันยังมีการประคองอยู่ ไม่เห็นว่า.. มีการแทรกแซงอยู่ คือ ไม่เห็นสภาวะต่อ ในแง่ที่ว่าจะไปเจริญปัญญาอะไร หรือว่า.. ไม่ก้าวหน้าไปในทางเกิดปัญญา กลายเป็นพอใจในความสว่างนั้น แล้วก็ประคองเอาไว้ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? แล้วลองไปสังเกตดู! ถ้าเกิดแล้วบางทีไม่รู้ตัวนะ บางทีไม่รู้หรอก แต่ประคองอยู่ สังเกตดูแล้วกัน!! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://youtu.be/IaZuA5EEnhc?t=3735 (นาทีที่ 1:02:15 – 1:04:55)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #รู้ตื่นเบิกบาน #จิตที่ควรแก่การเจริญปัญญา #ถาม : “รู้ ตื่น เบิกบาน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว ปราดเปรียว จิตสว่างไสว” ที่ครูบาอาจารย์มักกล่าวถึงเป็นอย่างไร? คนอื่นมองเห็น หรือ เรารู้สึกได้เอง แล้วจะรู้สึกอย่างไร หรือเจ้าคะ? #ตอบ : เป็นอย่างไร..!? ก็เป็น.. รู้ ตื่น เบิกบาน นุ่มนวล อย่างนั้นน่ะ จะเอามาให้ดูได้อย่างไรล่ะ? เป็นอย่างไร.. ก็ “จิตรู้-ก็รู้, จิตตื่น-ก็ตื่น เบิกบาน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว” เป็นกุศลที่เหมาะควร คือ ท่านจะอธิบาย จิตที่เหมาะควรที่จะเจริญปัญญา ก็จะประมาณอย่างนี้ ก็เป็นยังไง ก็เป็นอย่างนี้ อย่างที่บอกนั่นแหละ “รู้ ตื่น เบิกบาน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว ปราดเปรียว” (ถามว่า) คนอื่นมองเห็น หรือ เรารู้สึกได้เอง? (ตอบว่า) ทั้งผู้อื่นมองเห็นได้ และเราก็รู้สึกได้เอง แต่ทีนี้ คนอื่นที่เขาไม่มีญาณรู้ ไม่มีตาทิพย์ ก็มองไม่เห็น คนอื่นที่ว่ามองเห็นได้ ก็คือ คนอื่นที่เขามีญาณ หรือมีตาทิพย์ดู เรารู้สึกได้เอง ก็คือ เราก็ต้องมีสติรู้ทัน คือตอนที่รู้สึกเบิกบาน นุ่มนวล อย่างนี้นะ เราอาจจะไม่ทันได้สังเกต คือเจ้าตัวเป็นอยู่ เบิกบาน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว เนี่ย แต่ไม่ทันสังเกต ครูบาอาจารย์ก็จะชี้ให้ดู..ตอนนี้เป็นอย่างนี้ เราก็ “อ๋อ!.. สภาวะแบบนี้ ที่ว่า รู้ ตื่น เบิกบาน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว มันแค่นี้เอง!” ไม่ได้ตั้งใจทำ ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ประคองด้วย มันแค่รู้ “มันง่ายแค่นี้เองเหรอ?” ประมาณนี้นะ มันต้องรู้เอง! ที่ถามว่า.. ‘เรารู้สึกเองได้ไหม’ เนี่ย? มันต้องรู้เองนะ มันอาจจะมีสภาวะนี้ขึ้นมาแล้วไม่ทันสังเกต ถ้าอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะชี้ให้ดู หมายถึงครูบาอาจารย์ที่ท่านเห็นนะ ท่านก็จะชี้ให้ดู เพื่อให้เราสังเกตได้ว่า “นี่..เป็นสภาวะอย่างนี้นะ” ถามว่า.. เราอาจจะรู้สึกได้เองก็ได้ แต่รู้แค่ว่ามันสบายๆ ก็ได้ ท่านก็อาจจะมาบรรยายขยายความให้ดูว่า นี่แหละ คือ จิตที่รู้ ตื่น เบิกบาน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว .. ประมาณอย่างนี้ ก็คือมาช่วยชี้ให้ชัดขึ้น เพราะฉะนั้น.. “คนอื่นมองได้ เรารู้สึกได้ และควรจะรู้” พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://m.youtube.com/watch?v=I9ZFh08tKiE&feature=youtu.be (นาทีที่ 1:16:01- 1:19:24)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #กายป่วยใจไม่ป่วย #ติดโควิด #ทุกขเวทนา #ถาม: โยมติดโควิด! ช่วงที่อาการหนัก เกิดทุกขเวทนามาก ปวดหัว ปวดตัว ควรภาวนาอย่างไรเมื่อป่วยไข้? #ตอบ: กินยา.. มียาไหม? มียาแผนปัจจุบันก็กินยาได้นะ ถ้าโรงพยาบาลจ่ายยามา..ก็กินยาโรงพยาบาล ถ้าไม่ได้รับยาจากโรงพยาบาล ก็หายากินเอง .. เช่น ฟ้าทะลายโจร ทีนี้เมื่อกินยาแล้ว ทุกขเวทนาก็ยังไม่ดับทันที ใช่ไหม? เกิดทุกขเวทนา ก็ดูเวทนา เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็ได้ หรือถ้าทุกขเวทนามาก ดูไม่ไหว.. ก็ดูจิต “ถ้าดูทุกขเวทนาได้ ให้ดูทุกขเวทนา ถ้าดูไม่ไหวให้ดูจิต” ดูจิต..ก็ดูในแง่ที่ว่า.. เวลามีทุกขเวทนา ใจไม่ชอบ.. ให้รู้ “ความไม่ชอบ” มีทุกขเวทนา แล้วเกิดโทสะ ให้รู้ทัน”โทสะ” มีเวทนาแล้วกังวลว่า.. ‘ปอดเราจะไปถึงไหนแล้วเนี่ย!!’ ก็ให้รู้ทัน “ความกังวล” มันสามารถภาวนาได้ แล้วในที่สุดก็หาย ‘ถ้าเราป่วย.. อย่าให้ใจป่วย’ บอกกับตัวเองอย่างนี้นะ! “กายจะป่วย ใจอย่าป่วย” แล้วเราก็เจริญสติ ดูความจริงของมันต่อไป แล้วโรคมันก็แสดงไตรลักษณ์ให้ดูอยู่ดี มันมีแล้วก็ไม่มี มีแล้วก็หาย หายก็คือไม่มี มีแล้วก็หาย เพียงแต่ว่า.. ในระหว่างที่มันมีทุกขเวทนา อย่าให้ทุกขเวทนานั้นกลายเป็นทุกข์สองต่อ คือ มันเป็นทุกขเวทนาทางกาย แล้วอย่าให้ใจเป็นทุกข์ด้วย บอกกับตัวเองไว้ก่อนอย่างนี้ก็ได้ คอยเตือนตัวเองว่า “กายทุกข์แล้ว อย่าให้ใจทุกข์ด้วย” ประมาณว่า.. “แยกขันธ์” นั่นเอง! แยกขันธ์.. เวลาเห็นกายเป็นทุกข์ ใจไม่เป็นทุกข์ นี่ก็แยกขันธ์เลย เห็นทุกข์.. เป็นทุกข์ ตรงนี้เห็นเวทนา ตอนเห็นร่างกาย.. มีความเคลื่อนไหวของร่างกายเนี่ยนะ เราดูที่ความเคลื่อนไหว ไม่ได้มาเน้นตัวเวทนา เวทนาไม่เด่น ก็ดูร่างกายได้อยู่ หรือว่าทุกขเวทนามันเด่นขึ้นมา มันชวนให้จิตไปดู แล้วไปจมกับทุกข์ ก็กลายเป็นว่า.. แทนที่จะไปจมกับทุกข์ ให้มาดูจิตที่มันไม่ชอบ ดู“ความไม่ชอบ” ตอนดูเวทนาเนี่ย..เวทนาไม่ดับ ! แต่ดูความไม่ชอบ..ความไม่ชอบดับ !!ความไม่ชอบเป็นกิเลส เห็นความไม่ชอบ..ความไม่ชอบดับ เวทนาก็เกิดอีก เห็นเวทนา เวทนาไม่ดับ มีความรำคาญใจ รู้ทันความรำคาญใจ ความรำคาญใจดับ! ดูกายต่อไป เวทนามาอีกแล้ว รู้เวทนา เวทนาก็ไม่ดับ กังวลใจ รู้ทันความกังวล ความกังวลดับ! อาศัยเวทนานี่แหละ แล้วใจก็ไปอินกับเวทนาบ้าง หรือว่าไปรู้จิตบ้าง แล้วมันแสดงความจริง ตอนแสดงความจริงเนี่ย ดูจิตจะแสดงความจริงได้ง่าย เพราะว่าทุกครั้งที่มีเวทนามักจะมีกิเลส เป็นกิเลสในกลุ่มโทสะ เช่น ไม่ชอบใจ กังวล มีความหงุดหงิด อะไรอย่างนี้นะ รู้ทันมันไป! แล้วเวทนาเนี่ยนะ กลายเป็น back ground (เบื้องหลัง) ไม่มีผลอะไรมาก กลายเป็นว่า.. ไอ้กิเลสต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเนี่ย แสดงไตรลักษณ์ทุกครั้งเลย ถ้าเราดูด้วยใจที่เป็นกลาง ฉะนั้น เมื่อป่วยไข้ อย่าไปดูที่ทุกขเวทนา แบบประสงค์จะให้มันดับ ดูทุกขเวทนาก็เป็นแค่เวทนา ถ้าดูได้ก็ดูไปก่อน ถ้ามันดูไม่ได้ จิตหงุดหงิดขึ้นมา ก็ให้ดูความหงุดหงิดที่เกิดขึ้น ดูกิเลสที่จิต ดูจิตนี่แหละ แล้วกิเลสในจิตมันแสดงไตรลักษณ์ให้ดู แบบนี้ง่ายกว่า! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://m.youtube.com/watch?v=I9ZFh08tKiE&feature=youtu.be นาที 1:39:01 – 1:43:48″ ลิงค์ https://youtu.be/I9ZFh08tKiE

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #พิมพ์หนังสือธรรมะแจกเป็นธรรมะทาน #แจกธรรมะ #ถาม : กราบเรียนสอบถามพระอาจารย์ “พิมพ์หนังสือธรรมะแจกถือเป็นการให้ทานข้อไหนคะ?” #ตอบ : เป็น “ธรรมทาน” ใช่ไหม? หมายถึงว่า.. “จะทำธรรมทาน” ใช่ไหม? แล้วก็ “พิมพ์หนังสือธรรมะแจก” ใช่ไหม? คือคนส่วนใหญ่ เวลาจะทำธรรมทานก็จะนึกถึง.. วิธีนี่แหละ! ก็คือ ใช้การแจกหนังสือธรรมะ แต่การแจกหนังสือธรรมะเนี่ย ยังไม่แน่ว่าจะเป็นธรรมทานหรือเปล่า? มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่ง คือ เราเห็นคุณค่าของหนังสือนั้นหรือยัง? หมายความว่า.. เราได้อ่านหนังสือนั้นหรือยัง? อ่านแล้ว.. ได้เห็นคุณค่านั้นด้วยหรือเปล่า? ..แล้วจึงแจก ไม่ใช่เห็นหนังสือแล้วก็แจก หรือไปสั่งโรงพิมพ์..พิมพ์แจก โดยที่ตัวเองยังไม่ได้อ่านเลย ไม่รู้ว่าเนื้อหาในหนังสือมีอะไรบ้าง อย่างนี้เท่ากับแจกกระดาษ อานิสงส์เท่ากับแจกวัตถุ ไม่ได้แจกธรรมะ “แจกธรรมะ” คือ เรารู้อยู่ว่าดี เห็นว่ามีประโยชน์ และควรที่จะให้คนอื่นรู้ด้วย คือตัวเองต้องรู้ก่อน จึงจะเรียกว่า “การให้ธรรมะเป็นทาน” เนื้อหาในหนังสือนั้น เราควรรู้ด้วย อาจจะไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง อาจจะไม่บรรลุมรรคผลจากการอ่านหนังสือธรรมะนั้น แต่เห็นประโยชน์ เห็นว่าหนังสือนั้นแสดงความจริง แสดงวิธีที่จะบรรลุความจริงนั้น หรือแก้ไขมิจฉาทิฏฐิ หรือความเข้าใจผิดของคนได้ ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ “เห็นประโยชน์” คือ เราไม่สามารถจะสอนได้อย่างนี้ มีครูบาอาจารย์สอนไว้แล้ว พิมพ์เป็นหนังสือไว้แล้ว แล้วเราเห็นประประโยชน์..ก็แจกหนังสือนั้น อย่างนี้จึงจะมีอานิสงส์จากการแจกนั้นเป็น “ธรรมทาน” “ให้ความรู้จริงๆ” คือ เราต้องรู้ด้วย !ไม่ใช่เพียงเห็นเป็นหนังสือธรรมะ..แล้วก็แจก คำว่า “หนังสือธรรมะ” ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาในหนังสือธรรมะนั้นดีหรือเปล่า? อาจจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ สอนอะไรผิดๆ ก็ได้ อาจจะทำให้คนหลงทางก็ได้ ถ้าเราไม่ได้ตรวจสอบ หรือดูด้วตนเอง ก็เสี่ยง.. ต้องมั่นใจว่า เนื้อหาในหนังสือนั้นเป็นธรรมะ ไม่ใช่เป็น “อธรรม” !! เพราะฉะนั้น “พิมพ์หนังสือธรรมะแจกเป็นธรรมทาน” ต้องมั่นใจว่า.. เนื้อหาของหนังสือนั้นเป็นธรรมะจริง ถ้าไม่มั่นใจ ก็ปรึกษาครูบาอาจารย์ก่อนว่า หนังสือนี้สมควรไหม.. ที่จะพิมพ์แจก? ไม่ใช่ไปสั่งโรงพิมพ์มา ถึงวัดก็เอาหนังสือไปตั้งไว้เลย ก็เป็นปัญหากับวัดนั้นว่า.. หนังสือนี้เอาไปทำอะไรต่อดี! เปิดดูแล้วเนื้อหาก็ไม่ได้เรื่อง เอามาทำให้คนหลงผิด ก็ชั่งกิโลขายเท่านั้นเอง! เป็นเอากระดาษให้วัดไปช่างกิโลขาย คือ เจ้าตัวต้องอ่านแล้วเห็นประโยชน์กับหนังสือนั้นก่อน แล้วจึงเอาไปแจก ไม่ใช่เพียงแค่ “เขาว่า.. เป็นหนังสือธรรมะ” แล้วเราก็เอาหนังสือที่ “เขาว่าเป็นหนังสือธรรมะ” ไปแจก ตัวเองก็เป็นเพียงแค่ตัวส่งผ่าน จะไปต่างอะไรกับคนที่แจกโบรชัวส์ตามสะพานลอย กระดาษนั้น เขาก็เอาไปทิ้งนั่นเอง! ดูให้แน่นอนว่า.. เนื้อหาเป็นอย่างไร? ส่งเสริมให้เกิดสัมมาทิฏฐิไหม? บอกสอนความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไหม? บอกวิธีปฏิบัติ เพื่อให้ถึงความจริงที่พระพุทธเจ้าแสดงนั้นไหม? ส่งเสริมให้เกิดสัมมาทิฏฐิ หรือเปล่า? ขอฝากให้ตรวจสอบก่อน ถ้าไม่มีภูมิที่จะตรวจสอบเอง ก็ถามที่ครูบาอาจารย์ก่อน หรือมั่นใจในครูบาอาจารย์ท่านไหน เราก็เอาธรรมะของครูบาอาจารย์ท่านนั้นมาแจกได้เลย คือ เจ้าตัวต้องอ่านก่อน แล้วเห็นประโยชน์ของสิ่งที่จะแจกนั้นก่อน ไม่ใช่ว่า “สักแต่ว่าแจก” ขอฝากไว้ตรงนี้ด้วย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ 15 กรกฎาคม ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=qVf33M3gwGQ&t=1498s (นาทีที่ 24.52 – 29.55)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ จะทำบุญอุทิศให้ผู้ล่วงลับอย่างไรดีคะ? แบบเมื่อเขาอนุโมทนาแล้ว เขาจะได้อยู่สุขสบายในภพนั้น #ตอบ : จะมีหลักประกันอะไร?!? เอาอย่างนี้นะ.. สมมติว่าเขาอยู่ในภพที่ไม่ดี เช่น อบาย .. สมมติว่าเขาเป็นเปรตนะ .. เราทำบุญอุทิศให้เขา เราอย่าไปบอกว่า “ให้เขาอยู่สบายในภพเดิม” เปรตยังไงก็ไม่น่าอยู่นะ !! มันควรจะบอกว่า “ถ้าเขาอยู่อบายภูมิ ให้เขา ‘เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไปสู่สุคติ’ สิ” ที่ว่าให้สุขสบายในภพนั้นน่ะ .. ก็คือเป็นเทวา ก็เป็นเทวดาต่อไป อย่างนี้..ได้ ใช่ไหม? หรือบอกว่า “ให้เขาได้สุข แล้วถ้าอยู่ในภพภูมิที่เป็นทุกข์ ก็ขอให้เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไปสู่สุคติ” มันต้องว่าอย่างนี้ ไม่ใช่ว่า “อยู่ที่เดิมนะ แล้วให้มีสุข” ..มันไม่สุขหรอก! แล้วก็จะทำบุญอย่างไร? ให้เขาอนุโมทนา แล้วจะได้สุขนะ ก็คือ ทำบุญที่มันเป็นความจำเป็นในการดำรงชีพพื้นฐานเลย คือ ปัจจัย ๔ ทำบุญด้วยอาหาร ด้วยเครื่องนุ่งห่ม ด้วยยารักษาโรค ด้วยที่อยู่อาศัย คือ ถ้าเขาเป็นทุกข์เนี่ยนะ เขาจะเป็นทุกข์ในเรื่อง ๔ เรื่องนี้ เช่น เปรตบางตน ไม่ได้กินอาหาร ไม่ได้กินน้ำ ก็ทำบุญด้วยข้าว ด้วยอาหาร ด้วยน้ำ แล้วอุทิศให้ เปรตบางตนเนี่ย ได้ข้าวได้น้ำแล้ว ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ก็ต้องทำบุญด้วยเครื่องนุ่งห่ม เปรตบางตนก็ดูขี้โรค ก็ทำบุญด้วยยารักษาโรค เปรตบางตนไม่มีที่อยู่ที่อาศัย ก็ทำบุญเกี่ยวกับที่อยู่ที่อาศัย ถ้าได้ปัจจัย ๔ อย่างนี้ เรียบร้อยแล้วเนี่ยนะ เช่น ได้วิมานแล้ว มีเสื้อผ้าที่เป็นทิพย์ที่สวยงามแล้ว มีอาหารทิพย์แล้ว อย่างนี้นะ ก็คือ เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ จากเปรตเป็นเทวดาทันที ไม่มีบุญอะไรที่จะให้ผล ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ไวเท่ากับการที่ทำบุญด้วยปัจจัย ๔ นี้ เพราะเวลาเขาเหล่านั้นเป็นทุกข์ ก็คือ ไม่มีปัจจัยในการดำรงชีพ ไม่มีปัจจัยในการดำรงชีพ ปัจจัย ๔ อย่างเนี่ย เป็นของจำเป็นสำหรับสรรพสัตว์ เพราะฉะนั้น ถ้าเขาเป็นทุกข์ ก็เป็นทุกข์ในเรื่องเหล่านี้แหละ ไม่ใช่ว่าเป็นทุกข์ว่า ไม่มียศ ไม่มีตำแหน่ง เขาไม่ทุกข์หรอก ทุกข์ประจำสัตว์ทั้งหลายเลยคือ ไม่มีกิน ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย ประมาณอย่างนี้แหละ ที่จำเป็นมาก ๆ เลย คือ อาหาร กับเครื่องนุ่งห่ม ขอให้ทำบุญด้วยปัจจัย ๔ เท่านั้นเอง แล้วอุทิศให้ ถ้าเขามีสุขอยู่แล้ว ก็สุขในภพนั้นไม่เป็นไร แต่เขาอยู่ในภพที่ไม่ดี ให้เขาเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ ไม่ใช่ว่า อยู่ภพตรงนั้นแหละ แล้วให้เป็นสุข มันไม่สุขหรอก ต้องบอกว่า ให้เขาได้อนุโมทนา แล้วก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไปสู่สุคติ ถ้าเขาอยู่ในที่ ๆ ไม่สบายให้เขาเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไป แต่ถ้าเขาอยู่ดีอยู่แล้ว เช่น เป็นเทวดาอยู่แล้ว ก็ขอให้อยู่ตรงนั้นล่ะ เป็นเทวดาอย่างนั้นล่ะ แล้วเราก็ไม่ต้องเป็นห่วงเขาแล้ว ถ้าเขาเป็นเทวดานะ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=bd0goHUPz4o&t=2114s (นาทีที่ 1:27:30 – 1:31:43)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #การกรวดน้ำ #ถาม : ทำบุญตักบาตร แล้ว “กรวดน้ำแห้ง” ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว จะได้รับบุญไหมเจ้าคะ? #ตอบ : ได้.. สามารถรับได้ คำว่า “กรวดน้ำ” เนี่ยนะ จริง ๆ แล้ว ความหมายก็คือ “อุทิศบุญกุศล” อันนี้เป็นประเพณีที่เราสืบกันมาว่า เวลาอุทิศบุญกุศล เราจะใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ ว่าน้ำที่หลั่งลงไปนี้.. น้ำจากภาชนะหนึ่ง เทลงสู่ภาชนะหนึ่ง.. น้ำจากภาชนะนี้ที่เต็มอยู่ก่อน แล้วก็ลงไปสู่ภาชนะอีกภาชนะหนึ่ง.. ให้เต็มได้ ฉันใด บุญที่เราทำนี้ ก็ขออุทิศให้กับบุคคลอื่น ให้เหมือนกับว่า “เรามีบุญเต็ม ๆ นี้ ขอให้ท่านได้รับเต็ม ๆ” แล้วก็ให้แบบ one way (ทางเดียว) คือ ไม่เอาคืน คือ แสดงความจริงใจว่า “ขออุทิศให้” ..อุทิศให้ได้นะ เราไม่มีอุปกรณ์การกรวดน้ำในขณะนั้น เราก็ตั้งใจอุทิศได้เลย “การกรวดน้ำ” เป็นเพียงการแสดงออก เป็นสัญลักษณ์ ให้รู้ว่า “เราอุทิศให้” เหมือนน้ำได้ถ่ายเท ..จากภาชนะหนึ่ง ..ไปสู่ภาชนะหนึ่ง ถ้าเรา “ไม่มีอุปกรณ์การกรวดน้ำ” เราก็ “ใช้ใจ” ของเรานี้ ระลึกถึงบุญที่เราทำ เรามีความปลื้มใจปีติใจในบุญนั้น ก็อุทิศได้เลย อุทิศในขณะที่กำลังมีบุญอยู่นั่นนะ คือ กำลังดีใจ กำลังปลื้มใจ กำลังปีติใจ ..อุทิศขณะนั้นได้เลย และ ควรอุทิศขณะที่กำลังปลื้มใจนั้น ทำได้เลยนะ แต่ถ้า “มีอุปกรณ์การกรวดน้ำ” จะใช้กรวดน้ำไปด้วย ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น คือ คล้าย ๆ กับว่า การมีอุปกรณ์นี้ มันจะเป็นอุบาย ในการที่จะทำให้เรามีสมาธิในการทำสิ่งนี้ คือ ในการที่จะอุทิศบุญกุศล แล้วก็เป็นข้อดีสำหรับญาติเรา หรือว่าคนที่เราจะอุทิศให้ ถ้าเขาติดในเรื่องของพิธีกรรม ว่า “ต้องกรวดน้ำนะ! ฉันถึงจะดีใจ” ประมาณอย่างนี้ เผื่อไว้ว่าเขาจะเป็นพวกอนุรักษ์นิยม – conservative ต้องเห็นว่าเรากรวดน้ำ จึงจะดีใจ ถ้าไม่กรวดน้ำ แล้วรู้สึก ‘ทำไม่ครบ’ อะไรแบบนี้ แล้วไม่ดีใจ ..เผื่อ ๆ ไว้ก็ได้นะ นี้ในกรณีที่ว่า ถ้าบริเวณนั้นหรือว่าสถานที่นั้น เราไม่ได้เตรียมอุปกรณ์ในการกรวดน้ำ ..เราอุทิศได้เลยนะ โดยหลักใหญ่ก็คือว่า เราทำบุญ แล้วอุทิศบุญ ..อย่างนี้ได้..ได้เลย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่า “ห้ามกรวดน้ำ” ไม่ได้ปฏิเสธอย่างนั้นนะ กรวดน้ำได้ ก็กรวดน้ำ เป็นผลดีเหมือนกัน สำหรับเผื่อญาติของเรา จะเป็นลักษณะที่ว่ายึดถือในเรื่องของพิธีกรรม พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=bd0goHUPz4o&t=2114s (นาทีที่ 31:48-35:13)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #การอุทิศบุญให้สัตว์ที่เสียชีวิต #ถาม : วัวควายที่ตายเป็นโรคระบาด แล้วตายเป็นหมู่ เป็นร้อย เราจะทำบุญ แผ่บุญส่วนกุศล ให้ได้อย่างไร? #ตอบ : ก็ทำบุญ บุญก็มีทั้ง – ให้ทาน – รักษาศีล – เจริญภาวนา แต่บุญที่จะอุทิศให้ในกรณีอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของ “การให้ทาน” “ทาน” ก็ควรจะให้ครบทั้ง “ปัจจัย ๔” (๑) เน้นไปที่อาหารก่อน “อาหาร” (๒) ถ้าได้.. มี “เครื่องนุ่งห่ม” ด้วยก็ดี (๓) ถ้ามี “ยารักษาโรค” ด้วยก็ยิ่งดี (๔) ส่วน “ที่อยู่อาศัย” เราอาจจะเป็นประเภทสมทบทุน ไปสร้างกุฏิ สร้างศาลา อะไรประมาณอย่างนี้ ก็ได้อยู่ สรุปแล้วคือ ทำบุญ ..แล้วอุทิศให้ คำว่า “อุทิศให้” เราคงไม่ได้ระบุชื่อใช่ไหม? วัวควายเป็นฝูง ใช่ไหม? วัวควายที่เป็นโรคระบาด ตายเป็นหมู่ เป็นฝูง เป็นร้อย เราก็อุทิศให้ “กลุ่มนั้น” “วัวควาย กลุ่มนั้น ฝูงนั้น ที่ตายไป ถ้ารับรู้ จงมาอนุโทนาในบุญที่เราตั้งใจอุทิศให้” บางคนเลี้ยงวัวควาย อาจจะด้วยความรัก ตั้งชื่อให้ด้วย ก็ระบุชื่อได้ แต่ถ้าเป็นร้อย คงไม่ได้ตั้งชื่อ หรือถ้ามีชื่ออยู่บ้าง ก็ระบุชื่อในตอนอุทิศด้วยก็ดี “เจ้าด่าง เจ้าอ้วน เจ้าดำ อะไรอย่างนี้ก็ระบุไป ..และเพื่อน ๆ” (สมมติว่าตัวอื่นไม่ได้ตั้งชื่อ ก็บอกไป) ส่วนใหญ่น่าจะไม่ได้ตั้งชื่อ ก็บอกกลุ่มไปเลยก็ได้ “วัวควายกลุ่มนี้” ระบุได้ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๐ เม.ย. ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=hD-_3ogWYRQ&t=3523s (นาทีที่ 1:08:25 – 1:10:22)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #จาคานุสติ #ถาม : การที่เรานึกถึงบุญที่ทำบุญตลอดเวลา เช่น บริจาคที่ดิน บริจาคเงิน บริจาคทอง แบบนี้เรียกว่า “ยึดติด” หรือไม่? #ตอบ : ทำบุญแล้วคิดซ้ำ ไม่ผิดนะ สามารถคิดได้ เขาเรียกว่า “จาคานุสสติ” คิดในสิ่งที่เราได้เคยบริจาคออกไป แล้วก็มีความปลื้มใจปีติใจ คิดซ้ำ แล้วก็มีความปลื้มใจ เช่นว่า เราได้ไปถวายผ้ากฐิน ได้ถวายผ้าไตรจีวรครบท่ามกลางหมู่สงฆ์ ปลื้มใจ..ปลื้มใจ.. แม้ว่าเหตุการณ์นั้นผ่านมาแล้ว วันนี้.. เดือนนี้.. ผ่านมาเป็นเดือน.. หลายเดือนแล้ว.. แต่พอมาหวนคิดอีกที ก็ยังปลื้มใจอยู่ คิดแล้วก็มีความปลื้มใจ ใจที่มีความปลื้มใจนั้นเป็นกุศล ถ้าคิดถึงความที่เราได้ทำบุญ ได้บริจาค คิดแล้วใจไม่วอกแวกไปไหน คิดแต่เรื่องราวเรื่องนี้ กลายเป็นทำกรรมฐานตัวหนึ่งด้วยซ้ำไป เรียกว่า “จาคานุสติ” พอเราได้บริจาคอะไรไปแล้ว พอมาหวนคิดแล้วมีความสุข อย่างนี้มันจะมีกำลังใจที่จะบริจาคอีก อาจจะไม่บริจาคแบบเดิมก็ได้ อาจจะรู้สึกว่า ‘เนี่ยเราให้ แล้วมีความสุข’ ก็เลยมีความรู้สึกว่า เมื่อก่อนนี้.. เราคิดว่า ‘ต้องได้มาเท่านั้น จึงจะมีความสุข’ แต่ตอนนี้.. ‘การให้ การบริจาค ดูภาพรวมแล้ว มันเหมือนกับการที่เราเสียวัตถุ เสียสิ่งของ เสียทรัพย์ แต่พอมาคิดภายหลัง แล้วมันมีความสุขอย่างนี้’ มีความสุขตรงที่ว่า ผู้รับได้ประโยชน์ ผู้รับได้รับวัตถุจากเราไปแล้ว นำมาใช้ประโยชน์ต่อ ความรู้สึกที่เราได้ให้ ให้กับผู้รับที่เป็นเนื้อนาบุญที่ดี แล้วเราก็มีความปลื้มใจ เราศรัทธากับผู้รับ ศรัทธาในวิธีการสร้างบุญอย่างนี้ เราก็คิดว่า ถ้ามีโอกาสเราจะทำอีก ทำกับเนื้อนาบุญท่านอื่นก็ได้ กับที่อื่นก็ได้ แต่รู้ว่าการที่จะมีความสุขในแง่ของวัตถุนี้ มันไม่ใช่ว่าต้องรับเข้ามาอย่างเดียว การสละออกไปกับผู้รับที่ดี ก็กลายเป็นว่ามีความสุขได้เช่นกัน เหมือนกับแม่ แม่ให้กับลูก แม่มีความสุข แม่ดูแลลูก ให้เสื้อผ้า ให้อาหาร ให้ที่อยู่อาศัย ให้โอกาสต่าง ๆ กับลูก แม่มีความสุข พ่อก็เช่นเดียวกัน ประมาณอย่างนี้ การให้แล้วมีความสุข มันเกิดขึ้นจริง มีอยู่จริง มันไม่ได้มีความรู้สึกว่าเสียของไป หรือสูญเปล่า มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อเราทำการให้ทาน ทำการบริจาค แล้วมีความสุขใจ ปลื้มปีติใจ สามารถนึกทวนย้อนหลังได้ แต่คงไม่ใช่ตลอดเวลา คงไม่มีใครคิดอะไร ซ้ำเรื่องเดิมได้ตลอดเวลา เพราะเราต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ที่ถามมาว่า “คิดอยู่ตลอดเวลา” คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่คิดซ้ำ ๆ ได้ ..นั่งแล้วคิดถึงเหตุการณ์ที่เราเคยทำบุญ ที่ผ่านมา ตอนที่คิดอยู่ใจมีความสุข อย่างนี้ได้ แต่ต้องเป็นตัวหนุนให้เรามีความเชื่อมั่นศรัทธาในการทำบุญ ในการบริจาคทานต่อไปด้วย แล้วก็เห็นว่า การทำบุญมีหลายรูปแบบ มีทั้งการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา การขวนขวายช่วยเหลือคนอื่น ดูเหมือนเสียแรงงานนะ แต่พอช่วยเขาแล้วเนี่ย เรารู้สึกมีความสุขใจ เขากำลังทำดีแล้วเราช่วยเหลือเขา หรือเขากำลังมีทุกข์แล้วเราช่วยให้เขาพ้นจากทุกข์ด้วยแรงกาย อย่างนี้นะ มันเห็นว่า ‘การทำบุญมีได้หลากหลายวิธี’ การทำให้ใจนี้มีความสุข ทำได้หลายวิธี สรุปแล้วก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน โดยสรุปรวบยอดก็คือ บุญที่ได้จากการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา ทำแล้วก็สามารถมานึกย้อนหลัง แล้วก็กลายเป็นว่าได้ทำกรรมฐานด้วย บุญจากการให้ทาน เมื่อมานึกทีหลัง ก็กลายเป็น “จาคานุสติ” บุญจากการรักษาศีล ที่รักษาศีลได้ มีอะไรมายั่วยวนให้เราผิดศีล แต่เราสามารถที่จะระงับไม่ให้ไปทำตามสิ่งที่ยั่วยวนนั้น การที่ยับยั้งตัวเองได้ ไม่แสดงออกทางกายวาจา ไปละเมิดชีวิตใคร ทรัพย์สินใคร คนรักของใคร ไม่พูดร้าย มานึกถึงการที่เรารักษาศีลได้ นึกย้อนหลัง กลายเป็น “สีลานุสติ” จาคานุสติ สีลานุสติ คือ สิ่งที่เราทำแล้ว และประสบความสำเร็จในการทำ นึกย้อนหลังแล้วก็มีความปลื้มใจ ปีติใจ เช่นเดียวกันที่โยมถามมาก็คือ เป็นเรื่องของการให้ทาน มานึกย้อนหลังก็เกิดความปลื้มใจ ปีติใจได้ แล้วก็ไม่ใช่มัวแต่ปลื้มอย่างเดียวนะ มันก็ควรจะส่งผลถึง อย่างที่ (๑) คือ มีกำลังใจที่จะบริจาคต่อ (๒) เห็นว่าทางแห่งการทำดี หรือทางแห่งการสร้างกุศล มีมากมายหลายอย่าง เราควรจะศึกษาวิธีการสร้างกุศล หรือสร้างบุญให้เกิดขึ้น ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้หลากหลายวิธี เราทำเรื่องเดียวนึกย้อนหลังยังมีสุขขนาดนี้ เรื่องอื่น ๆ ที่เราควรจะทำ ควรจะศึกษา ควรจะเรียนรู้ ฝึกฝนให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรายังมีอีกเยอะเลย ต้องไปศึกษา ต้องไปศึกษาดู บุญกิริยาวัตถุ ๓ ก็ดี บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ก็ดี ศึกษาแล้วเอาไปปฏิบัติให้เกิดขึ้น แล้วนึกย้อนหลัง ก็ยังมีความสุข เช่นเดียวกับที่ บริจาคไปแล้ว นึกย้อนหลังแล้วมีความสุข แบบนั้นเช่นเดียวกัน ก็ขอเป็นกำลังใจให้โยม ว่าทำไปแล้วนึกย้อนหลังเนี่ย ทำได้ สามารถนึกได้ แล้วต้องให้เกิด ๒ เรื่องนี้ด้วย คือ ๑. ให้เกิดกำลังใจที่จะบริจาคต่อ ๒. เป็นแรงกระตุ้นให้เราหันไปสร้างบุญได้หลากหลายวิธีขึ้น อย่างน้อย ๆ ได้ ๒ อย่างนี้ จึงจะเป็นการดี พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=Zkxh5aCG39g (นาทีที่ 17:58 – 25:15)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #รดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ #ถาม : “การรดน้ำมนต์ – การสะเดาะเคราะห์” ถ้าจะทำให้ได้ผลควรทำอย่างไร? #ตอบ : ควรไปแก้ที่การกระทำของเรา การรดน้ำมนต์ หรือ การสะเดาะห์เคราะห์ มันเป็นพิธีกรรมที่ให้กำลังใจ สมมติว่า.. เรา “ต้องการชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง ไม่ตกต่ำ” ก็ต้องไปรักษาศีล “ต้องการร่ำรวย” ก็ต้องไปสร้างเหตุแห่งความรวย ก็คือ 1. ขยันหา 2. หามาได้แล้วก็รักษาให้ดี 3. มีกัลยาณมิตร แล้วก็ 4. เลี้ยงชีวิตสมควรแก่ฐานะของตนเอง หัวใจเศรษฐี..อุ-อา-กะ-สะ นึกออกไหม? ไม่ใช่ว่ารดน้ำมนต์แล้วจะรวย หรือรดน้ำมนต์แล้วจะหายเคราะห์ จะ “หายเคราะห์” ก็คือว่า.. มีกิเลส..แล้วรู้ทัน ! ไม่ไปสร้างกรรมอันใหม่ที่เป็นอกุศล เพราะที่รับทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ให้เชื่อไว้ว่า มันเป็นเหตุมาจากที่ทำบาปอกุศลเอาไว้ในอดีต อย่าไปชี้ว่า ‘คนนั้นคนนี้ทำเรา’ ไอ้อย่างนี้เขาเรียกว่า “หาแพะ” เรานั่นล่ะ ! จริง ๆ แล้วนะ..พูดอย่างภาษาชาวบ้าน คือ เรานั่นล่ะทำเอาไว้ในอดีต ทำไม่ดีเอาไว้ในอดีต จึงเป็นเหตุให้ต้องรับวิบาก อันเป็นทุกข์เป็นร้อน เดือดร้อนในปัจจุบัน ..ให้เชื่ออย่างนี้! “การรดน้ำมนต์ – การสะเดาะเคราะห์” คือพิธีกรรมที่คนทำกันมานี้ เป็นเพียงให้สบายใจ เอาแค่นี้พอนะ มันเป็นเพียงให้สบายใจ รดน้ำมนต์ไปแล้ว ทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์ไปแล้ว ..ทำไม่ดี !! ถ้าทำไม่ดีเหมือนเดิมนะ..ชีวิตก็ไม่ดี “ศีล” เดิมยังไม่มี ก็ยังไม่มีเหมือนเดิม ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น ไม่มีอะไรเป็นเครื่องป้องกันอบายเลย “ทาน” ที่เคยให้ ยังงกเหมือนเดิมนะ ก็ไม่มีใครรัก ไม่มีพวก ไม่มีบริวาร ไม่มีมิตรที่จะมาคบหาด้วย เห็นแก่ตัวอย่างนี้ใครจะไปเอาด้วย อย่างนี้นะ “พฤติกรรมไม่เปลี่ยน! ..จะเอาชีวิตเปลี่ยนได้อย่างไร?” พฤติกรรมที่ไม่ดี ..ก็ไม่รู้เลย อย่างนี้นะ ก็แสดงว่ามองไม่เห็นความไม่ดีของตัวเอง ทำความไม่ดี ชีวิตก็ตกต่ำไป เพราะว่าสร้างเหตุแห่งความไม่ดีเอาไว้ ก็ต้องพิจารณาตัวเอง มองเห็นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง หรือ ความดีที่ยังไม่ได้ทำ.. ความดีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ ก็ขวนขวายหาทางทำ ทำแล้วก็ต้องทำให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำทีเดียว ทำทีเดียวแล้วมาอ้างบอกว่า “ทำแล้ว” อย่างนี้ไม่พอ ! ทำทีเดียวยังไม่พอ ทำอีกทำซ้ำ ทำจนเป็น “อาจิณณกรรม” ก็คือทำซ้ำ ๆ ทำจนเป็นนิสัย ทำจนเป็นปกติของเรา เป็นอย่างนี้ จนคนมองว่า.. ‘อ้อ! คนนี้เขาเปลี่ยนแปลง’ ให้เขาเชื่อ! ไม่ใช่ว่าเราเคยเป็นอย่างไร ..ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีความเปลี่ยนแปลง ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม มันต้องมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่เป็นไปในทางที่เลวลง ต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มีความเปลี่ยนแปลง!! แล้วจริง ๆ แล้วเนี่ย พอทำความเปลี่ยนแปลง ในด้านพฤติกรรมของเราให้เกิดขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปสะเดาะห์เคราะห์ที่ไหนเลย!! ไม่จำเป็นต้องไปรดน้ำมนต์ที่ไหนเลย!! เราเองนี้ล่ะเป็นผู้สะเดาะห์เคราะห์ได้ด้วยตัวเอง เราเอาความมืดมัวออกไปจากชีวิต ด้วยการที่เราเจริญกุศลขึ้นมา มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำให้ครบวงจร โดยเฉพาะในเรื่องภาวนา “ภาวนา” ก็ให้ทำทั้งสมถะและวิปัสสนา ภาวนาในเรื่องสมถะก็คือ เจริญในเรื่องของกุศลให้เกิดขึ้นกับจิต จิตไม่เคยสงบให้ทำความสงบ จิตไม่เคยเจริญเมตตา..ให้เจริญเมตตา ไม่เคยกรุณา มุทิตา..ให้เจริญกรุณา มุทิตา ประมาณอย่างนี้ กุศลอะไรที่ไม่เคยทำ กุศลอะไรที่ไม่เคยมี ก็ให้มีขึ้นมา ศรัทธามีไหม? ศรัทธาในอะไร? ศรัทธาใน “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” โดยเฉพาะในเรื่องของ ”พระพุทธเจ้า” ก็คือศรัทธาว่า พระองค์ตรัสรู้จริง “ธรรมะ” ที่พระองค์ทรงแสดงมา เป็นธรรมะเพื่อให้คนฝึก ไปให้ถึงความพ้นทุกข์ได้จริง “พระสงฆ์” ก็คือผู้ที่ได้ฟังธรรม ไม่ได้ฟังอย่างเดียว ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วจนได้ผลของการปฏิบัติ ..มีจริง!! แล้วก็ไม่ได้มีคนเดียว ไม่ได้มีท่านเดียว มีมามากมาย เขาเรียกว่า “เป็นหมู่สงฆ์” แล้วมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้ ให้เชื่ออย่างนี้ด้วย คือต้องมีความเชื่อ โยงมาถึงตัวเองด้วย โยงมาถึงขนาดที่ว่า ‘เราเองก็สามารถพัฒนา ให้ถึงขั้นที่ได้รับผลจากธรรมะของพระพุทธเจ้าได้’ ..ต้องมีความเชื่ออย่างนี้ “มีศรัทธา”.. แล้วก็มีความเพียร (ในการที่จะทำกุศลให้เกิดขึ้น) กุศลอะไรที่ยังไม่ทำ..ก็ทำ กุศลอะไรที่ทำสำเร็จแล้ว ก็อย่าให้มันเสื่อมไป คือ ต้องทำอีก ต้องทำสม่ำเสมอ รักษากุศลที่เคยทำไว้นั้นอย่าให้เสื่อมลงไป อกุศลอะไรที่มีอยู่ สำรวจตัวเอง เรียนรู้แล้วก็ไม่ทำมันอีก อกุศลอะไรที่ละได้แล้ว ระวังว่าอย่าให้มันเกิดขึ้นใหม่ ทำความเพียร.. มี “วิริยะ” อย่างนี้ “เจริญสติ” อยู่เสมอ รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจทำงาน เห็นกายเคลื่อนไหว เห็นใจทำงานตามที่มันเป็น “ตามที่มันเป็น” ก็คือจะพบว่า ใจเราเนี่ยจะทำงานในแง่เป็นกิเลสอยู่เสมอ เห็นบ่อย ๆ ยิ่งเห็นบ่อยยิ่งดี คือจะเห็นว่าจิตนึ้มันมีการทำงานอย่างนี้ มันมีกิเลสเกิดขึ้น มีราคะ มีโทสะ มีโมหะเกิดขึ้น ทุกครั้งที่รู้ – กิเลสจะดับ เพราะตอนที่มีกิเลส มันจะไปคิดเรื่องอื่น แต่ตอนรู้นั้น มันรู้ว่า ‘จิตเมื่อกี้นี้มันมีกิเลสเกิดขึ้น’ ถ้ารู้ด้วยใจเป็นกลาง กิเลสก็จะหยุดลงทันทีตอนที่รู้นั่นเอง สติก็ต้องทำ! สมาธิก็ต้องทำ!! จิตตั้งมั่นก็ต้องทำให้ได้!!! เขาเรียกว่า “เป็นการเจริญกุศลให้เกิดขึ้น” ..ชีวิตจะดีขึ้นเอง อย่าไปหวังเพียงแค่ว่าไปรดน้ำมนต์ หรือว่าไปสะเดาะเคราะห์ ผ่านพิธีมาแล้ว ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทางกาย วาจา และทางใจด้วย ชีวิตมันก็ไม่ได้ดีขึ้น ให้รดน้ำให้เปียก ให้น้ำมนต์หมดโอ่งก็ชีวิตไม่ดีขึ้น เปียกเปล่า ๆ เท่านั้นเอง แล้วก็เปลืองแรงคนพรม พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=Zkxh5aCG39g (นาทีที่ 10:08 – 17:38 )

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #กิเลสมีหลายระดับ #ถาม : “ดับกรรม สิ้นกรรม” ต้องปฏิบัตินานแค่ไหน? #ตอบ : บอกไม่ได้ ยิ่งอยากให้เร็ว จะยิ่งนาน เพราะว่าแค่ความอยากที่มีอยู่ก็ไม่เห็น มันขึ้นอยู่กับว่า.. เห็นกิเลสไหม? เห็นกิเลสได้เร็วไหม? เห็นกิเลสตัวละเอียดไหม? กิเลสมีหลายระดับนะ – กิเลสอย่างหยาบ – กิเลสอย่างกลาง – กิเลสอย่างละเอียด กิเลสอย่างหยาบ ๆ “โลภ โกรธ หลง” ที่มันทำให้ผิดศีล ..เห็นไหม? ถ้าไม่เห็น ..ก็ทำ “อกุศลกรรม” ต่อไป กิเลสอย่างกลาง คือ “นิวรณ์ทั้ง ๕” เห็นบ้างไหม? ถ้าไม่เห็น ก็ทำสมาธิไม่สงบ สมถะก็ไม่ได้ ไม่เห็นไอ้ตัวนิวรณ์ทั้ง ๕ แล้ววิปัสสนาก็เกิดยาก มันกลายเป็นว่าถูกกลุ้มรุม ด้วยความฟุ้งซ่านในรูปแบบต่าง ๆ ๕ แบบ กิเลสอย่างละเอียด คือ “กิเลสระดับอนุสัย” หรือว่า “สังโยชน์ต่าง ๆ” มันเห็นแล้ว ก็ละได้บ้างไหม? คือถ้ายังมีกิเลสอยู่ มันไม่ดับกรรม ไม่สิ้นกรรมหรอก มันก็ยังมีเจตนาในการกระทำต่าง ๆ ตรงนี้เขาเรียกว่า “สร้างภพ” มีเจตนาเมื่อไหร่ ก็..สร้างภพ (สร้างภพในที่นี้ คือ กรรมภพ) คือ ทำกรรมอยู่นั่นเอง มีตัณหา – มีอุปาทาน – มีภพ มีภพ ก็มีชาติ ..เกิด ..เกิดอยู่เรื่อย มีเกิด ก็มีตาย ก็เรียกว่า จะให้ดับกรรม สิ้นกรรม ต้องมาเรียนรู้ตัวต้นเหตุ ก็คือตัวกิเลสต่าง ๆ ตัวหลักในอริยสัจ ๔ พระองค์ตรัสไว้ง่าย ๆ ก็คือ เอาตัวเดียว ก็คือ “ตัณหา “ แต่ตัณหาพอแจกแจงมาก็คือมี – กามตัณหา – ภวตัณหา – วิภวตัณหา “กามตัณหา” คือ อยากได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่าง ๆ มาสนอง สนองความต้องการของตัวเอง ก็เป็นกามตัณหา “ภวตัณหา” คือ อยากเป็น อย่างแบบคนทั่วไป คือ อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ อยากเป็นตำแหน่งนั้น ตำแหน่งนี้ อยากเป็นนายก อยากเป็นส.ส. หรือ อยากเป็นสามีคนนี้ ประมาณอย่างนี้นะ … “อยากเป็น” “วิภวตัณหา” คือ อยากที่จะไม่เป็น พอเป็นแล้ว ก็อยากไม่เป็น กำลังเป็นอย่างนี้อยู่ ก็ไม่อยากเป็น เป็นฆราวาสอยู่ ไม่อยากเป็นฆราวาสแล้ว อยากเป็นพระ พอบวชพระเสร็จ ไม่อยากเป็นพระแล้ว อยากเป็นฆราวาส ก็มีวิภวตัณหา คือ ไม่พอใจในที่ตัวเองเป็นอยู่ อันนี้ว่าแบบง่าย ๆ คร่าว ๆ แต่ถ้าโดยละเอียดมันเป็นสภาวะอีกแบบหนึ่ง คือ “ภวตัณหา” จะเป็น อยากได้ภพ ที่เป็น “รูปภพ” ส่วน “วิภวตัณหา” คือ อยากจะพ้นจากรูปภพนั้นไป กลายเป็น “อรูปภพ” คือ ก็ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอยู่นั่นเอง สรุปแล้วก็คือ ถ้าอยากจะดับกรรม สิ้นกรรม ตามที่ถามมา ให้มาเรียนรู้ตัวเหตุที่มันไม่ดับไม่สิ้นนี่แหละ ก็คือตัวตัณหา หรือกิเลสต่าง ๆ จนกว่าจะหมดกิเลสนั่นล่ะ จึงจะดับกรรมได้ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=CRTCdycGtXM (นาทีที่ 59.42 – 1:03:40)

อ่านต่อ

#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ใช้ตัณหาละตัณหา #ถาม : “การเอาตัณหา ไปละตัณหา” หมายความว่าอย่างไร? และกรณีไหน? #ตอบ : “ตัณหา ไปละตัณหา” เช่นว่า อยากได้มรรคผล เป็นตัณหาไหม? ..เป็นตัณหานะ ตอนนี้เราเป็นปุถุชน “อยาก” ได้มรรคผล ..เป็นตัณหา เอาตัณหาที่ว่า อยากจะไปเป็นพระอริยะ มาละตัณหา คือว่า ถ้าอยากจะไปเป็นพระอริยเจ้า (คือ บรรลุมรรคผล) ก็ต้องมารู้ทันตัณหาในแง่ของกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา รู้ตรงนี้ด้วย ! ก็ต้องอาศัยมีตัณหา(อยากเป็นพระอริยะ)ก่อน อย่างนี้ล่ะ อยากจะดี..ก็เลยมาทำดี อยากจะไม่เป็นคนชั่ว..ก็เลยระวังความชั่วไม่ให้เกิดขึ้น อย่างนี้ก็คือ “ใช้ตัณหา ละตัณหา” แต่พอถึงที่แล้วเนี่ย..มันหมดตัณหาแล้ว สมมติว่า อยากจะไปวัดสังฆทาน จะไป..ก็ต้องอาศัยความอยากพาไป พอถึงวัดแล้ว ตัณหา(อยากไปวัด)ก็หมด แต่ตัณหาอย่างอื่นอาจจะเกิดอีกนะ แต่ตัณหาที่ว่า “อยาก” จะมาถึงวัด ..หมดแล้ว แบบเดียวกัน “อยาก” จะไปถึงนิพพาน พอถึงนิพพานแล้ว ก็หมดตัณหาแล้ว ตัณหาหมด ประมาณอย่างนี้นะ อยากบรรลุมรรคผล.. ถึงเป้าหมายแล้ว ความอยากก็หมด ทีนี้มันต้องไม่ใช่เอาแต่อยาก! มันก็ต้องรู้ว่า “เหตุให้ถึงที่หมาย” ของเรา .. หรือ “เหตุให้ได้ผลตามที่เราต้องการ” คืออะไร? ก็ไปทำเหตุ!! อาศัย “ตัณหา – อยากจะไปที่หมายนั้น” จึง “หาเหตุ” ที่จะไปถึงที่หมาย แล้ว “ทำเหตุ” ไม่ใช่เอาแต่อยาก ไม่ใช่จะเอาแต่ตัณหา “อยากได้ ๆๆๆ”.. อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ถึงแน่ มีตัณหาแล้ว รู้ว่าอยากได้ให้ถึงเป้าหมายนั้น ไปศึกษาหาเหตุ ศึกษาด้วยตนเองไม่ไหว ก็ต้องมาดูว่า มีใครเคยถึงแล้วหรือยัง? ในแง่ของมรรคผล องค์แรกที่ถึงก็คือ พระพุทธเจ้า ก็ต้องไปศึกษาว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร? อยากจะให้พ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าพ้นองค์แรก ก็ต้องไปดูว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร? ก็ทำตามพระองค์ เท่านั้นเอง มันก็ต้องอาศัยอยากนั่นล่ะ อาศัยอยาก แต่ว่าอยากอย่างเดียวไม่พอ อยากแล้ว ต้องสืบค้นหาว่า เหตุอะไรที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้น? แล้วลงมือทำเหตุนั้น ต้องรักษาศีล (ถ้าเป็นญาติโยมก็มีทานด้วย) ต้องให้ทาน ต้องรักษาศีล ต้องเจริญภาวนา ถ้ามาเป็นพระแล้ว ในแง่ทาน ก็อาจจะไม่เด่นมากนัก ก็จะมี :- ศึกษาเรื่องศีล ศึกษาเรื่องจิต ศึกษาเรื่องปัญญา ก็ต้องทำเหตุ สรุปแล้วต้องลงมือทำ แต่อาศัยตัณหาก่อน ตัณหา.. อยากไปนิพพาน อยากดี อยากพ้นทุกข์ แล้วก็มาหาวิธีที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น แล้วลงมือทำ!! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๕ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=3j6v3Ssm8dk&t=1943s (นาทีที่ 33:05 – 36.27)

อ่านต่อ