วันจันทร์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ วันพระ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย(๑) ปีชวด พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ #เฝ้าดูเฉยๆ พอ “เห็นว่าเผลอ” มันจะ “หายเผลอ” พอดี จะเห็นอย่างนี้ได้ ต้องตั้งใจไว้ว่า.. ** “เราจะศึกษาเรื่องจิต” อันนี้สำคัญนะ!! ใส่เครื่องหมายคำพูด แล้วก็ขีดเส้นใต้ แล้วก็ทำตัวหนา ๆ ด้วย ** เราจะเห็นว่า..เมื่อกี้จิตเผลอแสดงไตรลักษณ์ได้ ต่อเมื่อเรา“ตั้งใจจะเรียนรู้ความจริงของจิต” ไม่ใช่ตั้งใจจะสงบ ไม่ใช่ตั้งใจจะบังคับจิตให้นิ่ง ..ให้ว่าง ..ให้ดี แต่ตั้งใจจะ “เรียนรู้” ความจริงของจิต จิตจะดีก็จะ “รู้” จิตจะไม่ดีก็จะ “รู้” โดยอาศัยสมถะ คือตัวตั้งต้นนี้ ตัวตั้นต้นนี้.. ลมหายใจเข้า “รู้” ลมหายใจออก “รู้” ถ้ามันเผลอไป คือ มันลืมลมหายใจ ลืมพุทโธ เราก็จะเห็นว่าเมื่อกี้มีความเผลอเกิดขึ้น ความเผลอ..ถ้าถามจริง ๆ ว่าดีหรือไม่ดี ? จริง ๆ ไม่ดี “ความเผลอ” ก็คือ “โมหะ” นั่นเอง แต่เราดูด้วยท่าทีที่อยากรู้ว่าจิตมันทำงานอย่างไร? เพราะฉะนั้น จิตมันทำงาน แม้จะไม่ดี แต่รู้แล้ว รู้แล้ว คือได้แต้มแล้ว สมอยากด้วย สมปรารถนาเราด้วย คือเราปรารถนาจะ “รู้ความจริงของจิต” จิตแสดงท่าทีออกมาว่า เมื่อกี้เผลอไป เราได้รู้..สมปรารถนา แล้วรู้สึกว่า “ภาวนาได้ผล” ไม่ท้อถอยต่อการภาวนาเลย เพราะว่ารู้สึกว่า “อ้าว! เราเห็นแล้ว” ตอนที่รู้สึกว่าภาวนาได้ผลนะ ครั้งแรกเลยนะ คือเห็นว่า..เมื่อกี้ฟุ้งซ่าน! ตอนฟุ้งซ่าน แล้วเห็นว่าฟุ้งซ่านนะ รู้สึกว่า.. “โอ้..สภาวะฟุ้งซ่านมันเป็นอย่างนี้นี่เอง” เมื่อก่อนฟุ้งซ่านก็คือ..คิดอะไรไปเลยเถิดไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม ? กว่าจะฟุ้งซ่านได้ก็คือ เผลอนาน ๆ มาดีใจอีกครั้งหนึ่ง คือเห็นความเผลอ เห็นจิตที่มันเผลอ เห็นจิตที่มันเป็นลักษณะใจลอย พอใจลอยแล้ว เห็นว่าใจลอย “ฮ้า..เห็นใจลอยแล้ว” ใจลอยเนี่ย ดูยากกว่าฟุ้งซ่าน กว่าจะฟุ้งซ่านได้ คือมันใจลอยไปนาน ๆ แต่พอใจลอยเนี่ย คือใจลอยไปแป๊บเดียวก็รู้แล้ว! เพราะฉะนั้น..การเห็นว่า “ใจลอย” หรือเห็นว่า “เผลอ”เนี่ย..มันจึงสำคัญมาก! เพราะมันจะดูได้ถี่ขึ้น ดูได้บ่อยขึ้น แต่ถ้าใครเห็นฟุ้งซ่านได้ก็นับว่าดีมากแล้วนะ คือได้จุดตั้งต้นแล้ว คือเห็นสภาวะ สภาวะทางจิตเนี่ย..เวลาฟุ้งซ่านไปแล้วเห็นว่าฟุ้งซ่าน..ความฟุ้งซ่านจะดับ ความฟุ้งซ่านดับเนี่ยนะ บางทีเราอาจจะบรรยายไม่ออกเลยนะว่า.. มัน “เกิด-ดับ” แต่จิตเรียนรู้แล้ว ทันทีที่รู้ความฟุ้งซ่านโดยที่อยู่ในมุมมองที่ว่า “จะเรียนรู้” นะ มันจะเห็น “เฉย ๆ” มันไม่เข้าไปดัดแปลง ไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เข้าไปแก้ไข เพราะ “จะทำแค่รู้” นึกออกไหม? เราจะเรียนรู้ว่าจิตทำงานอย่างไร? เพราะฉะนั้น..เราจะไม่ไปแทรกแซง เหมือนเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากจะศึกษาวงจรชีวิตของผีเสื้ออย่างนี้นะ! ก็จะเฝ้าดูผีเสื้อ ออกไข่เป็นหนอน จากหนอนเป็นดักแด้ จากดักแด้ออกมาเป็นผีเสื้อ จะ “เฝ้าดูเฉย ๆ ไม่เข้าไปแทรกแซง” ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากธรรมบรรยาย ณ วัดสวนดอก เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓

อ่านต่อ