ธิดามาร ๓ ตัณหา ราคะ อรดี นางอรดี คือแบบไหนครับ ?

ถาม : ธิดามาร ๓ ตัณหา ราคะ อรดี
ผมเข้าใจว่าเป็น มารในจิต ซึ่งผมเข้าใจ ตัณหา ราคะ
แต่ที่สงสัย — นางอรดี คือแบบไหนครับ ?

ตอบ : ว่าตามศัพท์ก่อนนะ
ตัณหา คือ ความทะยานอยาก ความร่านรน อยากได้อยากเอาเพื่อตน
ราคา (=ราคะ) คือ ความกำหนัด ความติดใคร่ในอารมณ์
อรดี (=อรติ) คือ ความไม่ยินดี ไม่พอใจ
มาจากคำว่า อ (ไม่) + รติ (ความยินดี)

หลายคนเข้าใจว่าเรื่องธิดามารทั้ง ๓ เป็นเรื่องสมมุติ เพื่อสื่อว่าเป็นมารในจิต
แต่อาตมาเชื่อว่าไม่ใช่ !
เพราะเรื่องนี้มีในพระสูตร ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์
ใน มารธีตุสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “หลังจากตรัสรู้” แล้ว
หมายความว่า.. เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

พูดง่าย ๆ คือ พระองค์ไม่มีกิเลสในจิตใจแล้ว
ถ้ากล่าวว่า เรื่องมารและธิดามารทั้งสาม หมายถึงกิเลสที่อยู่ในใจ
คำกล่าวนี้ก็จะแย้งกับหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
เพราะเมื่อตรัสรู้แล้ว จิตของพระพุทธองค์ก็ย่อมบริสุทธิ์แล้ว
การที่จะกล่าวว่าตัณหา, ราคะ และอรติ ยังมารบกวนจิตใจของพระองค์ ก็จะเป็นการกล่าวขัดกับความเป็นจริง

ส่วนประเด็นที่ถามว่า “นางอรดี คือแบบไหน ?”
เท่าที่อ่านมา ก็ไม่พบคำอธิบายขยายความในส่วนนี้
แต่อาตมาจะลองตอบนะ
ถ้าผิด ก็ขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วย
ก่อนที่จะมารู้จักนางอรดี
ก็ลองมาดูอุบายวิธีของธิดามารทั้ง ๓ เสียก่อน
ในพระไตรปิฎก มีข้อความว่า

“… ลำดับนั้น มารธิดา คือนางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันหลีกออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมกันคิดอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษมีต่าง ๆ กันแล อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรนิรมิตเพศเป็น
นางกุมาริกาคนละร้อย ๆ ฯ”

หมายความว่า ธิดามารคิดว่า ผู้ชายจะใจแข็งเพียงใด ก็ย่อมมีจุดอ่อน
ถึงจะมาบวช แต่ถ้าเจอการยั่วยวนในรูปแบบต่าง ๆ
และกับหญิงในวัยต่าง ๆ วัยละ ๓๐๐ รูปแบบ
ก็ไม่น่าจะมีชายใดหลุดพ้นไปได้

นางราคา ก็คงจะเน้นเนรมิตเป็นหญิงที่ยั่วราคะเป็นหลัก
เช่น มาเต้นส่ายร่ายรำ, นุ่งห่มน้อยชิ้น, ทำเป็นอายบ้าง ไม่อายบ้าง,
ทำเป็นเปิดวับ ๆแวม ๆ, ทำกระซิบกระซาบ, ฯลฯ
พูดหยาบ ๆ ก็คือ ยั่วให้เกิดอารมณ์ทางเพศ

นางตัณหา ก็คงจะเน้นเนรมิตเป็นหญิงที่ยั่วตัณหา
คือไม่ได้มีเฉพาะอารมณ์ทางเพศ
แต่รู้สึกว่า หญิงนี้สมฐานะเรา จะทำให้เราได้รับคำสรรเสริญ ได้ยศ ได้ตำแหน่ง ฯลฯ
เช่น เป็นหญิงสง่างาม, มีเสื้อผ้าอาภรณ์อลังการ, ดูมีจิตใจอ่อนโยน เล่นหยอกล้อกับเด็ก ๆ,
รู้สึกอบอุ่น, ดูเก่ง – ฉลาด, พูดจาฉะฉาน, ฯลฯ

คือสนองกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
ส่วนนางอรดี … คงจะมีได้หลายแบบ เช่น
– แกล้งทำหน้าบึ้งใส่, แกล้งพูดให้เจ็บใจ, ทำสะบัดสะบิ้ง, ทำเป็นไม่ยินดี, ทำงอน ฯลฯ
เพื่อยั่วให้ชายมาสนใจ จนลืมตัว จิตส่งออกมาที่หล่อน

– แกล้งทำเป็นว่า กำลังมีอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ, กำลังเศร้า, กำลังมีปัญหา, ทำสะอึกสะอื้น, ฯลฯ
ยั่วให้ชายสงสาร เข้ามาปลอบ เข้ามาให้คำปรึกษา
คือยั่วให้เกิดความเห็นอกเห็นใจก่อน จนลืมตัว จิตก็ส่งออกไปที่หล่อน
น่ากลัวทั้งสามนาง !!!

ถึงอย่างนั้น พระพุทธองค์ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะพระองค์สิ้นกิเลสแล้วอย่างยอดเยี่ยม
ก้าวล่วงบ่วงมารไปได้แล้ว
จิตหลุดพ้นดีแล้ว
เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
นำสัตว์โลกทั้งหลายให้ข้ามพ้นบ่วงมารไปได้ด้วยพระสัทธรรม

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘