อยู่ในเมืองมันวุ่นวายมากเลย ความบีบคั้นสูงมากเลย ควรจะทำอย่างไรดี?

ถาม :  อยู่ในเมืองมันวุ่นวายมากเลย ความบีบคั้นสูงมากเลย ควรจะทำอย่างไรดี?

ตอบ :  ผู้ถามเขาคาดว่า..อาตมาจะแนะนำ’ให้คุณไปป่า’รึเปล่า?
ไม่จำเป็นนะ!

อยู่ในเมืองนี่แหละ..เหมาะแล้ว
เพราะเราเกิดมาในเมือง มีความคุ้นเคยกับการเป็นอยู่ในเมือง
การเป็นอยู่ในเมือง..ก็ธรรมดามากเลยที่มันจะต้องบีบคั้น เพราะคนมันเยอะ มันต้องเบียดกัน มันต้องแย่งกัน
..ธรรมดามาก!

และเราเกิดมาก็เรียนรู้ที่จะอยู่ในเมืองมาแล้ว
ดังนั้น การอยู่ในเมืองเนี่ย..มันเหมาะกับเรา!

เพียงแต่ว่า.. ทำอย่างไรให้การอยู่ในเมืองเกิดประโยชน์กับเราให้มากที่สุด

ปกติของการอยู่ในเมืองก็คือ.. มันมีสิ่งกระทบมาก
เมื่อกระทบแล้ว.. ก็มีกิเลสเยอะ
กิเลสเยอะเนี่ย จริงๆแล้วมันไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอะไรหรอก..เรื่องปกติ!
แต่เราควรใช้ความเป็นปกตินี่แหละ นำมาเพื่อพัฒนาตัวเองให้ได้

พระพุทธศาสนาบอกว่า ถ้าอยู่ในเมืองมีการกระทบมาก..ให้ดูจิต
จิตมันมีความเปลี่ยนแปลงมากมาย
มีราคะเกิดขึ้น มีโทสะเกิดขึ้น
บางคนโทสะเกิดบ่อยด้วย มากกว่าอย่างอื่น
บางคนอยู่ในที่ๆ ที่น่าดู น่าดม น่ากิน น่าสัมผัส มันก็เกิดราคะได้เหมือนกัน
ฉะนั้น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมา มีการกระทบ แล้วเกิดกิเลสขึ้นมา ..ให้รู้ทันกิเลสตัวนั้น!

ตอนที่ไม่รู้ทัน คือตอนเกิดกิเลส
ตอนเกิดกิเลส คือใจหลงไปหาสิ่งที่มากระทบนั้น
ใจหลงไปหาผู้ชาย ใจหลงไปหาผู้หญิง ใจหลงไปหาของกิน ใจหลงไปหาสิ่งของวัตถุต่างๆ
ขณะนั้นเรียกว่า “ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”

ชาวเมืองมีข้อดีตรงนี้ ตรงที่ว่า..มันมีสิ่งกระทบเยอะ!
สิ่งกระทบเยอะ มีกิเลสเยอะ
มีกิเลสเยอะ ก็คือ มีสิ่งที่จะให้จิตไปดูเยอะ
คือนอกจากจะมีสิ่งที่กระทบให้ดูแล้ว ยังมีกิเลสอีกมากมายให้เห็น!

เมื่อจิตเห็นกิเลส.. ทันทีที่เห็นกิเลส ขณะนั้นมีสติ
มีสติขึ้นมา.. ขณะนั้นเรียกว่า มีกุศลเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง
มีกิเลสขึ้นมาครั้งหนึ่ง มีสติรู้ทันครั้งหนึ่ง เท่ากับว่า..ได้แต้ม!

แต่ถ้ามีกิเลสต่อเนื่องยาวนาน เห็นแต่คนนู้น เห็นแต่คนนี้
แล้วก็ไม่พอใจบ้าง พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง สลับกันไปอย่างนี้นะ
ไม่รู้กิเลสในใจเลย
การกระทบครั้งนั้น หรือเกิดกิเลสครั้งนั้น.. ไม่มีประโยชน์เลยกับชีวิต..แถมมีโทษด้วย!

คนอยู่ในเมืองเนี่ย..มีกิเลสมาก มีการกระทบมาก
เป็นโอกาสอย่างมากเลยที่คนในเมืองจะมาเจริญสติในชีวิตประจำวัน
การเจริญสติในชีวิตประจำวันของคนในเมือง ..เป็นการปฏิบัติธรรมที่เหมาะสมมากเลย
เพราะว่าเราไม่มีเวลาที่จะไปนั่งคนเดียว..ใต้ต้นไม้..ทำใจสงบ..ใจสบาย หนึ่งชั่วโมง..ไม่มีเวลา!
นั่งนานๆ อาจจะมีคนมาไล่เราด้วย
เพราะฉะนั้น อยู่ในเมืองนี่ มีการกระทบแล้วเกิดกิเลส..ให้ดูกิเลส

พระพุทธเจ้าสอนให้คนปฏิบัติธรรมนี่นะ พระองค์สอนให้เหมาะกับคนทุกๆคน
คนอยู่ในเมืองปฏิบัติธรรมแบบหนึ่ง
คนอยู่นอกเมืองที่เขาทำสมาธิง่าย ใจสงบง่าย ก็ทำอีกแบบหนึ่ง
คนอยู่ในเมืองมีกิเลสมาก ให้ดูกิเลส

พระพุทธเจ้าสอนให้คนดูกิเลส ก็คือสอน “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน”
คนในเมืองมีกิเลสที่พระองค์แนะให้ดูหมดเลย
มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ มีฟุ้งซ่าน มีหดหู่ ..มีหมดเลย
แสดงว่า..เรามีอุปกรณ์ในการเจริญสติมากมายเลย

ถ้ามองในแง่ว่า.. กิเลสที่เกิดจากการกระทบกระทั่งกันในเมืองเหล่านั้น เป็นอุปกรณ์ในการเจริญสติ
เป็นอุปกรณ์ในการทำกุศลของเรา
เราจะไม่รู้สึกว่ากิเลสเหล่านั้นเป็นอุปสรรคในชีวิตของเราเลย
มันเป็นเครื่องมือที่เราเอามาเจริญกุศลต่างหาก

กิเลสเกิดขึ้น..”รู้ทัน” … กิเลสเกิดขึ้น..”รู้ทัน”
ระวังเพียงแต่ว่า อย่าให้มันไปทำผิดศีลเท่านั้นเอง อย่าให้มันไปเกิดการฆ่ากัน ทำร้ายชีวิตกัน
อย่าไปลักขโมยใคร
อย่าไปทำร้ายคนรักของคนอื่นเขา
อย่าไปโกหกกัน
อย่าไปพูดจาทำให้คนอื่นเขาเสียใจ
ฯลฯ
ทำอย่างนี้นะ

กิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นจากกระทบกระทั่งของคนเมือง จึงเป็นอุปกรณ์ที่ดีของคนเมือง
เอาสิ่งที่มีอยู่ของคนเมืองนี่แหละ..มาปฏิบัติ
คนเมืองไม่ค่อยมีสมาธิ จะไปดูว่า สมาธิของฉันตอนนี้..กำลังเข้าฌานที่ ๑ มันไม่มีน่ะ!
เพราะฉะนั้น ไปหวังสิ่งที่ไม่มี ยิ่งทุกข์ใหญ่เลย ใช่มั้ย?

สิ่งที่มีอยู่ของเราตอนนี้คือกิเลสต่างๆ
ก็ให้ดูกิเลสเหล่านั้น
กิเลสเกิดขึ้นมา..รู้ทัน ก็เป็นสติครั้งหนึ่ง เป็นกุศลครั้งหนึ่ง
ฉะนั้น คนเมือง..ใช้สิ่งที่มีของคนเมืองให้เป็นประโยชน์ ก็คือ “รู้ทันมัน”

แล้วคนเมืองหาเวลาสักหน่อยหนึ่ง
แต่ละวัน วันหนึ่ง ๑๕ นาที สวดมนต์..
ระลึกถึงพระพุทธเจ้าบ้าง ระลึกถึงพระธรรมบ้าง ระลึกถึงพระสงฆ์บ้าง
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ฯ
สวากขาโตฯ
สุปะฏิปันโนฯ
สวดมนต์แค่นี้ก็พอ
และหลังจากนั้น ขอเวลาอีกสักหน่อย รวมแล้ว ๑๕ นาที
เพื่อมาอยู่กับตัวเอง
รู้สึกตัว ใช้ตัวเองที่หายใจอยู่นี้..เป็นที่อยู่ของใจ
ใจลืมจากตรงนี้ไปให้รู้ทัน..แล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่
ใจลืมจากตรงนี้ไปให้รู้ทัน..แล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่
เป็นการซ้อมในรูปแบบ
แล้วใช้กำลังจากตรงนี้ ที่เราฝึกซ้อม ๑๕ นาทีทุกวันนี่แหละ นำไปใช้ต่อในชีวิตประจำวันในเมือง

เพราะเรามีชีวิตเป็นคนเมือง เราควรอยู่ในเมือง
ถ้าเราเป็นคนเมืองคุ้นเคยกับคนเมืองแล้ว ถ้าไม่อยากอยู่ในเมือง..จะไปอยู่ป่านะ..อยู่ยาก!
มันจะอยู่ไม่ได้จริง
เรามาใช้ความเป็นคนเมืองให้เป็นประโยชน์ดีกว่า

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากคำตอบในรายการ “ตอบโจทย์”
WBTV วัดยานนาวา