ไม่ยื้อชีวิต

ถาม : ศิษย์มีเรื่องข้องใจอยู่หนึ่งเรื่อง ใคร่อยากกราบเรียนถามพระอาจารย์ขอรับ
ศิษย์เป็นบุคคลากรทางการแพทย์ เห็นคนเกิด-ตาย มาก็ไม่น้อย ตายคามือศิษย์บ้างก็มี (ในขณะช่วยฟื้นคืนชีวิต) ในห้องฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยคนไข้หลากหลายประเภท

กระผมใคร่จะเรียนถามพระอาจารย์อยู่หนึ่งเรื่องครับ เมื่อพ่อ-แม่ คนไข้ของศิษย์นอนป่วยอยู่ อาการไม่มาทางเราแล้ว ศิษย์และคณะจึงคุยกับญาติในแผนการรักษา คือการรักษาแบบประคับประคอง คนไข้ก็นอนใส่ท่อช่วยหายใจ ก็ต้องบอกตรงๆว่า “เขาใกล้ตายแล้ว” จึงถามญาติว่า “สู้ไหม? สู้แค่ไหน?” คือถ้าญาติสู้ หมอและทีม ก็จะสู้ (ไม่ใช่สู้เรื่องเงินนะครับ แต่สู้ที่จะยื้อชีวิต สู้ที่ต้องเห็นพ่อ แม่ ญาติ นอนทรมาน) ถ้าญาติไม่สู้แล้ว ก็จะเซ็น NR คนไข้ คือไม่ต้องให้ยากระตุ้น ไม่ต้องปั๊มหัวใจ ถ้าหลังจากนั้นคนไข้อาการไม่ดีแล้ว เราสามารถยื้อได้ อาจจะปั๊ม หรือให้ยาในส่วนของการกระตุ้นหัวใจ หรือการช่วยชีวิตต่างๆ ถ้าญาติให้ NR คนไข้แล้ว ไม่ใส่ท่อเอย ไม่ปั๊มเอย ไม่ให้ยาเอย

ศิษย์ใคร่ทราบว่า ลูกที่ตัดสินใจแบบนั้น ถือเป็นการกระทำอนันตริยกรรมไหมขอรับ

แล้วเราเป็นคนที่จะช่วยให้เขามีชีวิตต่อไปได้ แต่กลับต้องนิ่งเฉย แบบนี้ เราเหมือนเป็นการไม่ช่วยชีวิตเขาไหมครับ

ศิษย์โง่เขลาเบาปัญญา จึงขอเมตตาพระอาจารย์ตอบข้อข้องใจแก่ศิษย์ด้วยเถิดขอรับ
ในทางการแพทย์ ถ้าสมองตายแต่หัวใจยังเต้นอยู่ ก็ยังถือว่ายังไม่ตาย คนบางคน ไม่กล้าที่จะตัดสินใจ NR พ่อแม่ของตัวเอง เพราะคิดมาก กลัวจะเป็นอนันตริยกรรม จะปิดกั้นทางบรรลุธรรมตามคำสอนของพระศาสดา

ตอบ : เรื่องนี้คงตอบสั้นๆ ไม่ได้ เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีข้อที่น่าสงสัยแตกย่อยไปอีกหลายแง่ ต้องค่อยๆ ตอบไปทีละประเด็น  ตามความสามารถ(อันจำกัด)ของผู้ตอบ

ก่อนอื่น ขอกล่าวถึงคำศัพท์สักเล็กน้อย

NR ในคำถามนี้ น่าจะเป็นคำย่อจากคำว่า No Resuscitation ที่แปลว่า ไม่ต้องช่วยฟื้นชีวิต

หมายความว่า เมื่อมีการเซ็น NR ก็แสดงว่ามีเจตนาไม่ประสงค์จะรับการรักษาด้วยการยื้อด้วยเครื่องมือ หรือยา หรือด้วยวิธีการต่างๆ ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตาย

พูดง่ายๆ ว่า ขอจากไปแบบธรรมชาติ หรือขอตายอย่างสงบ ไม่ต้องการให้ปั๊มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะคอ เป็นต้น

2015-12-19_145324

1. ถ้าผู้ป่วยเป็นผู้แสดงความจำนงที่จะ NR ไว้เอง คือบอกไว้ หรือทำหนังสือไว้ ตั้งแต่ยังรู้ตัวดีอยู่ อย่างนี้ก็ง่าย คือทำตามความประสงค์ของผู้ป่วย

1.1 หมอและทีมบุคคลากรทางการแพทย์ จะถูกตำหนิว่าทอดทิ้งผู้ป่วยหรือไม่?

– ตอบว่า ไม่

เพราะ NR คือปฏิเสธการยื้อชีวิต ไม่ได้หมายความว่าไม่ดูแล อาจจะดูแลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

เพราะต้องอาจจะคอยบรรเทาอาการทุกข์ทรมาน หรือให้ยาระงับความเจ็บปวด โดยไม่ใช้เครื่องมือที่คนไข้ปฏิเสธ แต่การรักษาแบบประคับประคองยังทำได้อยู่

1.2 การที่ผู้ป่วยความจำนงที่จะ NR อย่างนี้ เป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่?

– ตอบว่า ไม่

เพราะเป็นการปฏิเสธการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิตเท่านั้นเพราะตระหนักดีอยู่แล้วว่า ถึงอย่างไรก็ต้องตาย  ก็ยอมตายไปตามวิธีธรรมชาติดีกว่า ไม่พยายามที่จะฝืนความตายด้วยวิธีการต่างๆ

ดังเช่น ท่านพระจักขุบาล ท่านถือธุดงค์ข้อเนสัชชิก คือไม่นอนตลอด ๓ เดือน

เมื่อเดือนแรกผ่านไป ก็เกิดโรคในตา มีน้ำไหลออกมาจากตาทั้ง ๒ ข้าง หมอปรุงยาให้หยอด ท่านหยอดแล้วก็ไม่หาย หมอก็สงสัยว่า ตามปกติ..ยาของเราหยอดครั้งเดียวก็หาย ทำไมครั้งนี้ไม่หายจึงถามท่านพระจักขุบาลว่า ยาที่ถวายไปนั้น ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด?

ท่านพระจักขุบาลก็นิ่ง ไม่ยอมตอบ หมอก็เดินสำรวจกุฏิ พบว่ามีแต่ที่นั่งกับที่เดินจงกรม ไม่มีที่นอน ก็พอเดาได้ว่าท่านสมาทานไม่นอน จึงอ้อนวอนให้ท่านนอนหยอดตาสักครู่เดียว

ท่านพระจักขุบาลก็ตอบว่า ขอปรึกษาก่อนนะ

ที่ว่า “ขอปรึกษาก่อนนะ” ท่านไม่ได้ปรึกษาใครอื่น พอหมอกลับไปแล้ว ท่านก็ปรึกษากับตัวเองว่า เอ้า! จงว่ามา จะเอาดวงตา หรือจะเอาพระศาสนา?

คำตอบก็ออกมาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ประกาศพระศาสนาก็ล่วงไปนับพระองค์ไม่ถ้วน แต่เราไม่เคยตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าได้แม้แต่พระองค์เดียว ก็ในพรรษานี้เราได้ผูกใจไว้แล้วว่า จะไม่นอนตลอด ๓ เดือน ฉะนั้น ตาของเราจะบอดก็ให้บอดไป แม้กายทั้งกายนี้ก็จงแตกทำลายไปเถิด จงทรงพระพุทธศาสนาไว้ อย่าเห็นแก่ดวงตาหรือกายนี้เลย”

เรียกว่าถึงกับยอมตายกันทีเดียว ตกลงก็ไม่รักษา หมอก็บอกเลิก

ในที่สุด ทั้งดวงตาและกิเลสของท่านพระจักขุบาลก็แตกทำลายไปพร้อมกัน เป็นพระอรหันต์ในพรรษานั้นเอง

2015-12-19_145827

2. ถ้าผู้ป่วยไม่ได้แสดงความจำนงที่จะ NR ไว้เองญาติผู้ป่วยกับหมอก็ต้องมาปรึกษากัน อย่างนี้จะเป็นที่มาของความสงสัยและความกังวลตามมาอีกมากมาย ซึ่งก็ต้องพิจารณาเป็นกรณีๆไป

2.1 ถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว และปล่อยให้การรักษาดำเนินไปจนถึงขั้น“อยู่ได้ด้วยเครื่องฯ” คือถอดเครื่องฯปุ๊บ..ก็ตาย อย่างนี้จะทำให้ตัดสินใจยากมาก ถ้าเป็นลูกของผู้ป่วย จะตัดสินใจถอดเครื่องฯ..ก็กลัวเป็นอนันตริยกรรม ซึ่งก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน

2.1.1 ถ้ารู้สึกว่าผู้ป่วย นอนทรมานอยู่นาน มีใจกรุณา อยากจะช่วยให้เขาพ้นจากทุกข์นั้น กรณีนี้ก็ต้องระวังให้ดี ต้องซื่อตรงกับกับความรู้สึกในใจว่า ต้องการให้ตาย หรือต้องการให้สบาย

2.1.2 แม้จะคิดว่าหวังดี แต่ก็พึงตระหนักว่า จิตเกิดดับเร็ว ขณะที่กรุณาก็ขณะหนึ่ง ขณะจะถอดเครื่องฯก็ขณะหนึ่ง บางทีมันก็อดคิดไม่ได้ เพราะรู้อยู่ว่าการกระทำครั้งนี้จะทำให้เขาตาย กลายเป็นมีเจตนาให้ตาย เรื่องอย่างนี้..ผู้เจริญสติดูจิต..ย่อมทราบดี

2.1.3 ในอรรถกถาขยายความพระวินัย ตติยปาราชิกสิกขาบท มีข้อความที่แสดงตัวอย่าง ให้เห็นถึงความรวดเร็วในการเกิดดับของจิต ความว่า

ถ้าแม้นพระราชาเสด็จขึ้นสู่พระที่บรรทมอันทรงสิริ เสวยสุขในราชสมบัติอยู่ เมื่อราชบุรุษกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ! โจรถูกนำมาแล้ว พระราชาตรัสทั้งที่ทรงรื่นเริงอยู่นั้นแลว่า จงไปฆ่ามันเสียเถิด พระราชานั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ตรัสด้วยพระหฤทัยอิงโทมนัสนั่นแล แต่พระหฤทัยที่อิงโทมนัสนั้น อันปุถุชนทั้งหลายรู้ได้ยาก

หมายความว่า

– ขณะเสวยสุข..จิตมีโสมนัส..เป็นขณะหนึ่ง

– ขณะตรัสสั่งฆ่า..เป็นอีกขณะหนึ่ง..จิตอิงโทมนัสจึงตรัสอย่างนั้น

– แล้วก็รีบกลับไปเสวยสุขต่อ

ฉะนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะลูกๆ ควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์อย่างนี้ ด้วยการปรึกษาเรื่องแนวทางการรักษาเสียแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอนันตริยกรรม

2.1.4 ถ้าเห็นผู้ป่วยนอนทรมานอยู่นาน ค่ารักษาก็แพง (โดยเฉพาะถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชน) เกิดคิดเสียดายเงิน อยากให้ตายเร็วๆ อย่างนี้ก็เป็นอกุศลแต่ต้นแล้ว ถ้าลูกคิดอย่างนี้ ก็เท่ากับเตรียมทำอนันตริยกรรมแล้ว

2.1.5 เท่าที่ทราบ ผู้ป่วยที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกตัวนั้น อันที่จริง ยังมีความรับรู้อยู่ แต่ไม่สามารถแสดงออกมาให้เราทราบได้

ครั้งหนึ่ง อาตมาเคยรับนิมนต์ให้ไปรับสังฆทานในห้อง ICU ญาติบอกว่า น่าจะไม่เกินสองวัน (ก็จะตาย) อาการที่เห็นคือ นอนนิ่งๆ กระดุกกระดิกอะไรไม่ได้

อาตมาก็เข้าไปพูดคุย ก็คุยเหมือนคุยคนเดียว บอกว่า นี่พระกฤชนะ (ผู้ป่วยรู้จักกัน) อธิบายให้เขาฟังว่า กำลังจะทำบุญถวายสังฆทานนะ มีของอะไรบ้าง ก็บอกเขาให้รับรู้ตาม แจกแจงทุกขั้นตอน ถวายเสร็จก็ให้รับพร อุทิศส่วนกุศล จากนั้นก็สอนกรรมฐาน โดยการกระซิบข้างหู เอาเท่าที่จำเป็นสำหรับวาระสุดท้าย เห็นว่าพอสมควรก็ลากลับ

กลับวัดแล้วก็คอยติดตามข่าวคราว สองวันก็แล้ว สองสัปดาห์ก็แล้ว .. ไม่ตาย!  กลายเป็นค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ จนกลับบ้านได้

อาตมาก็ไปเยี่ยมที่บ้าน ถามว่า วันนั้นรู้เรื่องมั้ย? ก็ทราบคำตอบว่า รู้อยู่ตลอดแสดงว่า ประสาทหูยังทำงาน ที่ถามก็เพื่อให้แน่ใจ เพราะวันนั้นเห็นเพียงเปลือกตาที่มีปฏิกิริยาเคลื่อนไหวเล็กน้อย ซึ่งต้องสังเกตดีๆ จึงจะเห็น

กรณีนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ประสบมากับตัวเอง ทำให้เชื่อได้ว่า ถ้ายังมีชีวิต ก็ยังมีโอกาส

2.1.6 ถ้าไม่มีความรู้ความสามารถที่จะสอน หรือไม่ถนัดพูด ก็สามารถเข้าไปแผ่กระแสกุศลให้คนไข้ได้ เช่น เข้าไปสวดมนต์ให้ฟังใกล้ๆ หรือเข้าไปแผ่เมตตา เป็นต้น

คุณหมออมรา มลิลา เคยเล่าว่า มีผู้ป่วยคนหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุ อยู่ในภาวะโคม่า โอกาสรอดน้อยมาก แต่ในที่สุดก็รอด

เขาเล่าให้ฟังว่า ในขณะที่นอนหมดสติอยู่ในห้อง ICU เขารู้สึกเหมือนลอยเคว้งคว้าง แต่บางช่วงก็รู้สึกว่ามีมือมาสัมผัส พร้อมกับมีพลังส่งเข้ามา ทำให้ใจที่กำลังเคว้งคว้างเหมือนจะขาดหลุดไปนั้น กลับมารวมตัวกัน เกิดความรู้ตัวขึ้นมา แล้วสักพักความรู้ตัวนั้นก็เลือนไปอีก เป็นอย่างนี้บ่อยๆ

มาทราบภายหลังว่า มีพยาบาลคนหนึ่ง ทุกเช้าที่เข้าเวรทำงานห้อง ICU เธอจะเดินเยี่ยมทักทายให้กำลังใจคนไข้ทุกคน สำหรับคนไข้โคม่า เธอก็จะเข้ามาจับมือคนไข้ แล้วแผ่เมตตาว่า ขอให้มีกำลังใจขึ้นมา ขอให้รู้สึกตัว และทำอย่างนี้อีกครั้งก่อนกลับบ้าน

เมื่อรู้อานุภาพของเมตตาอย่างนี้แล้ว ญาติผู้ป่วยจะมีโอกาสมากมายที่จะแผ่เมตตา แผ่กระแสกุศลไปให้ผู้ป่วย

เรื่องร้ายๆ เรื่องชวนเศร้า เรื่องน่ากังวล และเรื่องอกุศลต่างๆ ก็ไม่นำมาพูด ถ้าจะพูด ก็ให้ไปพูดข้างนอกห้อง

ญาติที่รู้สึกว่าจะพลัดพรากจากผู้ป่วย ถ้ายังโศกเศร้า อย่าเพิ่งเข้าไปหาผู้ป่วย เพราะไม่เป็นผลดีกับผู้ป่วยเลย

2.2 ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัว ก็ควรสอบถามผู้ป่วยเกี่ยวกับแนวทางการรักษาเสียก่อน จะได้ไม่พาสถานการณ์ถลำไปสู่จุดที่น่าอึดอัดดังกล่าวไว้ในข้อ 2.1

2.2.1 ถ้าผู้ป่วยเกิดโทสะ เบื่อหน่ายสภาพของตัวเอง ร้องขอให้หมอทำ การุณยฆาต อย่างนี้ก็ไม่พ้นจากการฆ่าตัวตาย กรณีนี้ ญาติผู้ป่วยกับหมอก็ต้องมาดูแลด้านจิตใจให้มากขึ้น พระพุทธศาสนาสอนว่า ชีวิตนี้สำคัญ เพราะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่ไปดี-ไปร้าย หรือมีปัญญาพ้นทุกข์ ฉะนั้น ยังมีชีวิตอยู่ตราบใด ก็ยังมีโอกาสพัฒนาจิตใจอยู่ตราบนั้น

2.2.2 ในพระไตรปิฎกก็มีตัวอย่างเรื่องราวมากมาย ที่แสดงให้เห็นว่า มีหลายท่านที่บรรลุธรรมในขณะที่มีป่วย ดังเช่นเรื่อง ปูติคัตตติสสเถระ หรือ พระติสสเถระ ผู้มีกายเน่า ท่านมีแผลพุพองเป็นตุ่มขึ้นทั่วไป ผ้านุ่งผ้าห่มเปื้อนหนองและเลือดเต็มไปหมด พระเณรทั้งหลายก็พากันรังเกียจ ทอดทิ้งให้กลายเป็นผู้หมดที่พึ่ง นอนแซ่วอยู่

พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณ จึงเข้าไปช่วย ทรงไปต้มน้ำที่โรงไฟด้วยพระองค์เอง พระเณรทั้งหลายทราบดังนั้น ก็รีบเข้าไปช่วย พระองค์ให้นำผ้าที่เปื้อนไปซัก-ตาก เหลือเพียงผ้านุ่ง ยกเตียงนอนออกไปผึ่งแดด นำน้ำอุ่นมาเช็ดตัว จนผ้าที่ตากนั้นแห้ง ก็นำผ้านั้นมาผลัดเปลี่ยน นำผ้าที่เหลือไปซัก-ตากเมื่อเช็ดตัวแล้ว กายก็สะอาด ตัวเบา ทุเลาความกระสับกระส่าย ใจก็สบาย พระองค์จึงตรัสพระคาถาว่า

อะจิรัง วะตะยัง กาโย                   ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ

      ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ             นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง

      กายนี้มันไม่นานหนอ จะถูกทิ้งทับถมแผ่นดิน

เมื่อกายนี้ไร้วิญญาณ ก็ไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ที่ไร้ค่า

เมื่อจบพระคาถา ท่านปูติคัตตติสสเถระก็บรรลุอรหัตตผลแล้วก็ปรินิพพาน

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างการดูแลผู้ป่วยที่ดีเลิศ คือไม่ใช่ปล่อยทิ้ง แต่ดูแลด้วยความเอาใจใส่เท่าที่ทำได้ ผู้ป่วยย่อมได้รับกระแสแห่งความปรารถนาดีผ่านการกระทำต่างๆ เช่นการประคองกาย การค่อยๆเช็ดตัว เป็นต้น ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยได้รับกระแสธรรม นำให้เกิดปัญญาเห็นความจริง คือความไม่มีแก่นสารของกาย เมื่อจิตยอมรับความจริงได้ ก็ไม่ทุกข์

2.2.3 เรื่องของนกุลบิดา คหบดีชาวเมืองสุงสุมารคีรี เมื่อเข้าสู่วัยชรา ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอด เกิดความกระสับกระส่าย ก็ได้ฟังพระพุทธดำรัสอันน่าประทับใจ ดังนี้ว่า

“ถูกแล้ว ท่านคหบดี อันที่จริง กายนี้กระสับกระส่าย เปรียบดังฟองไข่ อันผิวหนังหุ้มไว้

ดูก่อน ท่านคหบดี ผู้ใดบริหารกายนี้อยู่ แล้วรับรองกายนี้ได้ว่าไม่มีโรคแม้เพียงครู่เดียว ผู้นั้นจะมีอะไร นอกจากความเป็นคนเขลา

ดูก่อน ท่านคหบดี เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อกายเรากระสับกระส่ายอยู่ จิตของเราจะไม่กระสับกระส่าย

ดูก่อน ท่านคหบดี ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล

นกุลบิดาฟังธรรมแล้วก็เข้าใจ มีปีติ หายกระสับกระส่าย จนพระสารีบุตรยังทักเลยว่า อินทรีย์ท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านบริสุทธิ์ เปล่งปลั่ง

2.2.4 ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัว เป็นโอกาสดีที่จะให้ผู้ป่วยตระหนักถึงความไม่ประมาท นำเอาความเจ็บป่วยมาเตือนตนเองให้เร่งพัฒนาจิตใจ

ในขณะที่กำลังป่วย แม้จะไม่สามารถทำงานอื่นๆ ได้ตามปกติ แต่กลับเป็นโอกาสอันดี ที่จะมาทำงานเพื่อประโยชน์ตน ที่ผ่านมาได้แต่ทำงานเพื่อผู้อื่น เช่น ทำงานเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงบริวาร ทำงานให้เจ้านาย ฯลฯ ไม่มีเวลาสวดมนต์ ไม่มีเวลาภาวนาเลย ตอนนี้มีเวลาแล้ว ให้ใช้เวลาภาวนา สร้างกุศลให้เต็มที่ นอนอยู่บนเตียงก็ทำได้ อย่าให้เวลาหมดไปกับความหงุดหงิด ความวิตกกังวล หรืออกุศลอื่นๆ เพราะจะกลายเป็นว่า “กายก็เสื่อม ใจก็เสื่อม”

2015-12-19_150646

3. ในความเห็นของอาตมา.. การุณยฆาต ไม่เหมือนกับ “NR”

การุณยฆาต มีเจตนาให้ตาย  ชื่อก็บอกอยู่แล้ว “ฆาตะ” แปลว่า การฆ่า จัดเป็นปาณาติบาต

NR เป็นการยอมรับความตาย และมีความประสงค์มันเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไม่ใช่การฆ่า

3.1 ถ้าอยากให้ตายเร็วขึ้น อย่างนี้มีเจตนาให้ตาย กลายเป็น“การุณยฆาต” เป็นปาณาติบาต

3.2 ถ้าอยากให้ตายเร็วขึ้น เพราะสงสาร แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ได้แจ้งความจำนงไว้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาอยากตาย?

4. อย่าคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้..เป็นเรื่องของคนอื่น แท้ที่จริง เป็นเรื่องของเราทุกคนที่เกิดมาแล้วในโลก!

พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เราพิจารณาเนืองๆ พิจารณาทุกวัน ว่า

4.1 เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้

4.2 เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้

4.3 เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้

4.4 เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น

4.5 เรามีกรรมเป็นของตัว ทำดีจะได้ผลดี ทำชั่วจะได้ผลชั่ว

การมาศึกษาและปฏิบัติธรรม ไม่ได้หมายความว่า มาศึกษาแล้ว หรือปฏิบัติธรรมแล้ว จะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หรือไม่พลัดพราก แต่จะเป็นดังนี้ว่า เมื่อศึกษาแล้ว หรือปฏิบัติธรรมแล้ว เมื่อประสบกับสภาวะเหล่านั้น จะทุกข์น้อย ทุกข์สั้นๆ หรือไม่ทุกข์ สุดแต่ว่าจะได้รับผลของการศึกษาและปฏิบัตินั้นมากน้อยเพียงใด

 

ขอให้เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย จงได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาด้วยเทอญ