มารคาถา…ตอน ขันธมาร

วรรคทอง..วรรคธรรม #๓๘

มารคาถา…ตอน ขันธมาร

มารตัวที่ ๒ “ขันธมาร”
นึกแล้วก็ลำบาก
“จะทำยังไงล่ะ?..ขันธมาร!”
ขันธ์มี ๕ ขันธ์
มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ซึ่งก็คือชีวิตเรานี่แหละ!

เราเกิดมาก็มีขันธ์ ๕
ถ้าขันธ์มันเป็นมารซะแล้ว..เราจะหลบยังไง? เราจะพ้นมารตัวนี้ได้ยังไง?
ฆ่าตัวตายเหรอ..พ้นมั้ย?.. ไม่พ้นนะ
เพราะฆ่าตัวตาย.. ฆ่าได้แต่รูป
แต่นามยังมีอยู่นะ!
นามเกิด-ดับ เกิด-ดับ ก็จริงอยู่นะ
แต่มันเกิดแล้วดับ แล้วก็เกิดอีกนะ
มันไม่ได้ดับสนิทไปตามร่างกายที่ตาย
ถ้านามมันยังโง่อยู่ มันก็จะไปเกิดใหม่ ไปสร้างรูปใหม่ได้

เหมือนเอาเม็ดมะม่วงไปเพาะที่แผ่นดิน
มันก็จะเกิดเป็นต้นมะม่วงขึ้นมาอีก
นามตัวนี้ที่ยังโง่อยู่ ก็จะเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความโง่ สร้างรูปมาสนองความโง่นั้นต่อไป
น่ากลัวมั้ย ??
ถ้าเราผิดหวังก็ไปฆ่าตัวตาย ตอนคิดจะฆ่าตัวตาย
ก็เพิ่มความโง่เข้าไปในจิตอีก
ไม่ใช่โง่ธรรมดา โง่ใหญ่ๆ เลย
ฉะนั้น คนที่ตายไปด้วยความโง่ จะโง่และเศร้า ก่อนจะตาย..จิตก็ต้องท้อถอยหดหู่อย่างมาก
จิตก็สะสมความหดหู่ ความเศร้าหมอง ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนทนไม่ได้
พอตัดสินใจว่า จะฆ่าตัวตาย
เพิ่มความโง่ไปอีกตัว
ความโง่ที่มีมากอยู่แล้ว..ก็เติมความโง่ทับถมเข้าไปอีก
สมมุติว่าความโง่เคยหนาอยู่เมตรหนึ่ง ก็เพิ่มเป็นเมตรครึ่ง
เพิ่มมาเยอะเลย กลายเป็น..โง่ดักดาน
น่าสงสารนะ
คิดผิดกันว่า ฆ่าตัวตายแล้วจะพ้นจากความทุกข์อันนั้นได้
แต่พอตายจริงนี่นะ มันจะจมอยู่กับความทุกข์อันนั้นเป็นเวลายาวนาน
ฉะนั้น เวลาผิดหวังในชีวิต..อย่าไปคิดสั้น เพราะถ้าคิดสั้นแล้วทุกข์จะยาว
ตอนเป็นผีนี่อายุยืนนะ! ตอนเป็นคนอายุประมาณร้อยปี
แต่ตอนเป็นผีนี่อายุยาวนานกว่า เพราะว่าเป็นกายทิพย์
แต่เป็นกายทิพย์ที่ทุกข์
ขันธ์นี้เวลาปกติ..มันก็มีภาวะที่ขัดแย้งอยู่เสมอ
ขันธมารในแง่รูปกาย.. กายนี่จะมีภาวะแห่งความขัดแย้ง
กายนี้จะอยู่นิ่งไม่ได้จริง จะมีทุกข์มาบีบคั้นให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
ชีวิตจะมีการหมุนเวียนเกิดดับของร่างกายอยู่เสมอ
และมีความพร่องความไม่พอดีเกิดขึ้นอยู่เสมอ
กลายเป็นความเจ็บป่วยอะไรขึ้นมา
เซลล์ต่างๆ ก็ผลัดเปลี่ยน ร่างกายของเราตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนแรกเกิด
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เซลล์ที่แข็งแรงที่สุดคือ กระดูก
กระดูกก็มีอายุอยู่แค่ ๙ ปี ตอนนี้เรา ๙ ปีมากี่รอบแล้ว?
กายเราเปลี่ยนมาหมดแล้วนะ! อากาศก็ถ่ายเทออกซิเจน หายใจเข้าไปก็ถ่ายเท เลือดก็ถ่ายเท
เส้นผม..ก็ไม่ใช่เส้นเดิมเมื่อตอนแรกเกิด
ผิวหนังเราอาบน้ำถูขี้ไคลแต่ละที ก็เอาหนังกำพร้านี้ออกไป
หนังที่เห็นอยู่นี้ก็ไม่ใช่หนังเดิมแล้วนะ
บางคนยังเข้าใจว่าเป็นตัวเราเหมือนเดิม
แต่จริงๆ แล้ว ดูในแง่รูปธรรมก็ไม่มีเซลล์เดิมเลย
อิริยาบถต่างๆ ก็ต้องคอยเปลี่ยน
ขันธมารในแง่ของนามขันธ์ เป็นส่วนที่พวกเรายังเห็นไม่ชัดแจ้ง
เรายังรู้สึกว่าขันธ์นี้เหมือนเป็นที่ให้ความสุข
ที่เรายังอยากเกิดอยู่ อยากเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า .. เพราะว่าเรายังอยากได้ขันธ์ที่ดีกว่านี้
อยากได้กายทิพย์ เพื่อไปเสพอาหารทิพย์ ไปดูสวนทิพย์ ไปดูวิมานทิพย์
คืออยากอยู่ในที่สบาย อยากเห็นอะไรสวยงาม อยากกินอะไรอร่อยๆ กว่านี้
ยังไม่เห็นว่าขันธ์ทั้ง ๕ นี้ จะเป็นมารขัดขวางอะไร
คนที่จะเห็นว่าเป็นมารขัดขวางจริงๆ ก็ต้องระดับพระอรหันต์
หรือผู้ที่กำลังปฏิบัติเพื่อเป็นพระอรหันต์
ท่านจะเห็นขันธ์ทั้ง ๕ นี่เป็นมารขัดขวาง แต่พวกเราจะเห็นแค่รูปขันธ์เป็นมาร
มีความเจ็บป่วยทำให้ภาวนาไม่ดี
จริงๆ ภาวนาตอนเจ็บป่วยนี่ดีนะ! เพราะตอนไม่ป่วยจะเหลิง
ความเจ็บไข้ไม่สบายจะเป็นเครื่องเตือนว่า ชีวิตของเราจะอยู่อีกไม่นานนะ!
หรือว่า ชีวิตของเราเป็นทุกข์จริงๆ นะ!
กายเป็นทุกข์ เป็นเครื่องเตือนจริงๆ
กลายเป็นว่า ถ้ามันป่วยขึ้นมา คนปกติจะรู้สึกว่าเป็นมาร
แต่ถ้ามองในแง่มุมของนักภาวนา จะเห็นว่ามันเป็นมิตรที่ดี
เพราะมาคอยเตือนให้เราไม่ประมาท
เวลาเรามีความทุกข์ทางใจ ก็จะเห็นเลยว่า
จริงๆ แล้ว..โลกนี้ไม่น่าอภิรมย์
เพราะจะต้องมาเกิด..แล้วมามีทุกข์อย่างนี้อีกบ่อยๆ
เวลาเจ็บป่วยอยู่ในโรงพยาบาล มันจะรู้สึกว่า
ร่างกายนี้จริงๆ แล้วไม่คงทน ถ้าเห็นว่ามันเป็นเครื่องเตือนใจ
ขันธมารอันนี้กลายเป็นขันธมิตร
ถ้าดู..ดูให้ดีนะ!
คนที่เจ็บป่วยจะรู้สึกว่า ชีวิตของเราเหลือน้อย คนที่แก่จะเห็นว่าชีวิตของเราเหลือน้อย
คนที่เห็นว่าชีวิตเหลือน้อย แล้วเคยฟังธรรมะมานี่นะ! เขาจะเริ่มเห็นความน่ากลัว
เห็นอันตรายแห่งชีวิต
เห็นว่า..ชีวิตเหลือน้อย เขาจะเร่งภาวนาด้วยความไม่ประมาท
คนที่ทำงานหนัก แล้วมีเวลาน้อย ก็เห็นว่าตัวเองมีเวลาในการภาวนาน้อย
เขาจะใช้เวลาว่างที่มีอยู่แม้นิดหน่อยนั้นให้มีค่า
ส่วนคนที่ลั้นลา..นี่นะ
จะไม่ได้ทำชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์อะไร
คิดอยู่แต่ว่า ทำอย่างไร..ฉันที่จะมีมากกว่านี้
มีอะไรมาดูบ่อยๆ มีอะไรมาฟังบ่อยๆ
มีอะไรมากินบ่อยๆ เสพสุขไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดว่าจะต้องมาพัฒนาในเรื่องจิตใจอะไร
แต่คนที่ตัดสินใจว่าจะต้องพัฒนาจิตใจตน
มักปรากฏว่าเป็นคนเวลามีน้อย
กลายเป็นว่า..
เวลาที่ว่างแม้นิดหน่อย จะเอามาภาวนาทันที
เหมือนอย่างในหลวง พระองค์ทรงงานเยอะ
แต่พระองค์ก็ภาวนาเก่ง
พระองค์เอาเวลามาจากไหน?
ก็เอาเวลาขณะที่ประทับนั่งบนรถบ้าง ประทับนั่งบนเครื่องบินบ้าง
เวลาว่างนิดๆ หน่อยๆ ๕ นาทีบ้าง ๑๐ นาทีบ้าง พระองค์ก็ภาวนาได้
แต่เรามีเวลา ๕ นาที เราจะทำอะไร?
..เหม่อลอย ..เอาไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้
คิดว่า เดี๋ยวจะทำอะไร?
ส่วนเรื่องภาวนา คืนนี้ค่อยทำ!
ลืมคิดว่า ไอ้ ๕ นาทีตรงนี้ จะเอามาเป็นประโยชน์ได้แค่ไหน?
จิตเป็นอย่างไรในขณะนี้..แค่หันมาดู ก็ได้ภาวนาแล้ว
แต่ลืมไป..!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม บ้านจิตสบาย ๕
มารคาถา..ตอนขันธมาร
เทศน์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗