เมื่อวานนี้โยมมีความโกรธขึ้นมาพักนึง ก็เห็นอยู่ แต่ก็ยังคล้อยตามมันไป สักพักมันดับเอง ถึงคิดได้ว่าเมื่อกี้เราโกรธ อย่างนี้เรารู้ช้าไปใช่ไหมคะ?

ถาม : เมื่อวานนี้โยมมีความโกรธขึ้นมาพักนึง ก็เห็นอยู่ แต่ก็ยังคล้อยตามมันไป
สักพักมันดับเอง ถึงคิดได้ว่าเมื่อกี้เราโกรธ อย่างนี้เรารู้ช้าไปใช่ไหมคะ?

ตอบ : ช้าหรือเร็วไม่สำคัญนะ เอาเท่าที่รู้ได้
ฝึกรู้ตัวเห็นสภาวะอย่างนี้ไปบ่อยๆ ก็จะค่อยๆ ชำนาญขึ้น
– ที่จริง แม้เราไม่มีสติ..โทสะก็ต้องดับอยู่แล้ว แต่อาจจะใช้เวลาหน่อย
เช่น โกรธไอ้คนนี้อยู่..แล้วท้องเสีย ต้องรีบไปเข้าส้วม ตอนนั้นลืมโกรธไอ้คนนั้นไปแล้ว
ที่ยังโกรธไม่เลิก..เพราะยังคิดถึงไอ้คนนั้นไม่เลิก
พอคิดถึงส้วม..โทสะที่มีกับไอ้คนนั้นก็ดับ
กรณีอย่างนี้ จะเห็นว่า แม้เราไม่เห็นสภาวะโทสะอันนี้ สภาวะนี้ก็ดับอยู่ดี แต่จิตเราไม่ได้พัฒนาสติเลย
– ถ้าเห็นว่า “กูโกรธไอ้นั่น” หรือ “ฉันโกรธไอ้นั่น” หรือ “เราโกรธไอ้นั่น”
อย่างนี้เป็นสติแบบโลกๆ ยังไม่ได้มีสติในแง่ของ”สติปัฏฐาน”เลย
เพราะยังเห็นเป็น”กู” เป็น”ฉัน” เป็น”เรา” เป็น”ไอ้นั่น” อยู่
สติในสติปัฏฐาน..จะเห็นแค่สภาวะในใจ เช่น เห็น”โกรธ” เห็น”ฟุ้งซ่าน” เป็นต้น
– ถ้ามีโทสะ..แล้วเห็นโทสะ แต่ไม่ทันเห็นโทสะดับ..ก็รีบทำอะไรสักอย่างเพื่อดับมัน
..ขณะนั้นกำลังทำสมถะ!
ก็เห็นสภาวะโทสะนะ..แต่ไม่เห็นไตรลักษณ์ของมัน เพราะไปแทรกแซงมันซะก่อน
แล้วก็ทำสำเร็จบ้าง..ไม่สำเร็จบ้าง
– ถ้ามีโทสะ แล้วรู้ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตก็จะเห็นไตรลักษณ์ของโทสะ
จะเห็นแง่ใดแง่หนึ่งก็ได้ แล้วแต่จิตจะเห็น
อย่างนี้เรียกว่า..กำลังเจริญวิปัสสนา
– เคยเจริญวิปัสสนาแล้ว เดี๋ยวก็เผลอไปมีกิเลสได้อีก
เดี๋ยวก็ไปทำสมถะอีก
นานๆ จะเจริญวิปัสสนาสักที..อันนี้ธรรมดามากเลย! ไม่ต้องวิตก
แต่ให้ตั้งเป้าหมายไว้เสมอ..ว่า เราจะเจริญวิปัสสนา
คือเราจะ..”มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง”

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๘