ความทุกข์ใจเรื่องลูกที่ป่วย เป็นลมชัก

ถาม : พระอาจารย์คะ ดิฉันเคยฟังธรรมจากพระอาจารย์
ผ่านทางเว็บไซต์ และในยูทูบค่ะ
ดิฉันพยายามจะฝึกเจริญสติและฝึกอาณาฯ
แต่ความทุกข์ใจของดิฉัน เรื่องลูกที่ป่วย
เป็นลมชัก ที่มาจากโรค tuberous sclerosis

แกมีก้อนในสมอง มีก้อนในหัวใจ
มีที่ไตเป็นจุดเล็ก ๆ ที่สมองทำให้แกชัก
ทุกวันนี้ รักษาที่ รพ. รามา ค่ะ
ทานยากันชักทุกวัน วันละสามเวลา
แต่ก็ยังชักอยู่ทุกวัน ปรับยาไปเรื่อย ๆ
ไม่รู้เมื่อไหร่แกจะหยุดชัก
ตอนนี้ลูกได้สามขวบค่ะ
ดิฉัน หลายครั้งมองที่ลูกแล้วน้ำตาไหลทุกที
แกจะใช้ชีวิต โดยที่ไม่มีพ่อและแม่ ได้อย่างไร
จะขับรถเองก็ไม่ได้ จะใช้ชีวิตยังไง

แกเป็นลูกคนเดียว
ทุกครั้งที่ดิฉัน นึกถึงปัญหานี้ทีไร
น้ำตาไหล สะเทือนใจมากค่ะ
วันใด ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ คอยดูแลแก
ไม่รู้แกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
พระอาจารย์ ช่วยสอน วิธีคิด ให้ดิฉัน
ทำใจกับเรื่องนี้ ทีค่ะ
ดิฉันทุกข์ใจมาก เพราะเป็นห่วงลูก
บางวันไม่อยากพูดกับใครเลยค่ะ มันตื้อ ๆ แน่น ๆ

อยากเจริญสติ ให้มีจิตตั้งมั่น
แต่พอเจอลูกชัก ในหนึ่งวัน น้ำตามันก็เหมือนจะไหลออกมาทุกที
ทุกข์ กับอนาคต ว่าถ้าเราตาย ใครจะพาเค้าไปหาหมอ
ใครจะขับรถพาเค้าไปนู้นไปนี่ ได้เหมือนพ่อกับแม่
พระอาจารย์ช่วยทีคะ ดิฉันเศร้ามากจริง ๆ
ความรู้สึกที่ยังห่วงคนข้างหลัง ที่เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
มันทำให้ ดิฉัน ไม่สามารถมีจิตตั้งมั่นได้เลยค่ะ พอเจอเหตุการณ์นี้ทีไร
จิตใจมันพังทะลายทุกทีเลย มันเป็นจุดอ่อนที่สุดต่อการเจริญสติของดิฉัน จริง ๆ ค่ะ
ขอความเมตตาด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

ตอบ : เป็นสถานการณ์ที่น่าเห็นใจจริง ๆ
แต่ก็เป็นบุญเหลือเกิน.. ที่มาเผชิญทุกข์ในห้วงที่ยังมีพระพุทธศาสนา
เพราะทุกข์เป็นความจริงที่กำลังปรากฏอยู่
และพระพุทธองค์ทรงสอนให้เรา “รู้” ทุกข์
ไม่ใช่ให้ “เป็น” ทุกข์
แล้วก็ไม่ใช่ให้ “หนี” ทุกข์
ถ้าเราครุ่นคิด ติดอยู่ในความรู้สึก ก็จะจมอยู่กับทุกข์
เอาความคิดผิดมาซ้ำเติมปัญหา
เรียกว่าปฏิบัติผิด
กลายเป็น.. “เพิ่มทุกข์”
ถ้าเราไม่ชอบทุกข์ที่กำลังเป็น
ก็จะมีตัณหา.. “อยาก” ที่จะพ้นจากทุกข์นี้
แต่ตัณหาเป็นสมุทัย คือเป็นเหตุแห่งทุกข์
ก็เรียกว่าปฏิบัติผิด
เหมือนอยากดับไฟ แต่กลับไปเพิ่มเชื้อ
ผลที่ได้ ก็กลายเป็น.. “ยิ่งทุกข์”

อาการป่วยของลูก..เป็นวิบาก
ผู้เป็นพ่อแม่ก็ดูแลไปตามกำลัง
ตรงนี้เป็นบุญกุศลที่สร้างใหม่ของพ่อแม่
การที่คิดว่า ‘วันใด ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ คอยดูแลแก ไม่รู้แกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร’ ..เป็นความกังวล
ความกังวลเป็นอกุศล และไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา
ซ้ำยังนำทุกข์มาให้
เมื่อมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นมาอีก ให้ “รู้” ว่ากังวล
ขณะกังวล เป็นอกุศล
ขณะรู้ เป็นกุศล
ความกังวลเป็นตัวสร้างทุกข์ฟรี ๆ
ถ้าอีก ๑๐ ปี ลูกหายป่วย เราก็ทุกข์ฟรีไป ๑๐ ปี
ถ้าอีก ๕ ปี ลูกหายป่วย เราก็ทุกข์ฟรีไป ๕ ปี

แต่มันอดที่จะกังวลไม่ได้หรอก
แต่ก็อาศัยว่ามีความกังวลนี่แหละ ให้เรารู้ ให้เราฝึกเจริญสติ
จิตปลอดจากความกังวลแล้ว เราก็แก้ปัญหาด้วยปัญญา
ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยความกังวล
มีลูกป่วย ดีกว่ามีลูกเลว!
ดูดี ๆ ช่วงที่อาการของลูกเป็นปกติ หรือดีขึ้น
เรามีความสุข
ก็อย่าให้สุขนั้นผ่านไปเปล่า
ให้ใจชุ่มชื่นบ้าง
อย่าจมกับความทุกข์
เพราะคนรอบข้างจะพลอยทุกข์ไปด้วย
โดยเฉพาะลูก

กรรมที่ทำให้ได้รับวิบากอย่างนี้ ก็เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว
อย่าเสียเวลาคำนึงน้อยใจ
เรื่องที่น่าหวาดหวั่นในกาลข้างหน้า ก็เป็นอนาคตที่ยังไม่เกิด
อย่าเสียเวลากังวล
ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตจะดีเอง
ปัจจุบันน้อยใจ ให้รู้
ปัจจุบันหวั่นใจ ให้รู้
ปัจจุบันเศร้าใจ ให้รู้
ปัจจุบันกังวล ให้รู้
ปัจจุบันทุกข์ ให้รู้
ขณะที่รู้ ขณะนั้นละสมุทัย
ขณะที่รู้ ขณะนั้นทุกข์ดับ
ขณะที่รู้ ขณะนั้นกำลังเจริญมรรค

#ขอเพียงไม่หนีปัญหาเผชิญหน้าด้วยสติ
ทุกข์ที่เห็น.. จะสอนใจให้เข้มแข็ง
และมีปัญญาพ้นทุกข์ในที่สุด

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙