ถาม : มีคำถามครับ ขันธ์คืออะไร? แยกยังไงครับ?
ตอบ : ขอตอบทีละประเด็นนะ
๏ ประเด็นแรก .. ขันธ์คืออะไร ?
ขันธ์ แปลว่า กอง
แปลอีกอย่างว่า สิ่งที่รวมตัวกัน
เพราะชีวิตคือการรวมตัวกันของสิ่งต่าง ๆ
พอรวมกันได้ก็เรียกว่าเป็นคน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
คือ มีความรู้สึกว่า มี “เรา” เป็นเจ้าของชีวิต
แต่ถ้าแยกส่วนประกอบที่รวมกันเหล่านั้น ก็จะพบว่า ไม่มี “เรา” อยู่ตรงไหน
เบื้องต้นก็แยกง่าย ๆ เป็น กาย กับ ใจ
ถ้าจะเรียกให้ตรงศัพท์ ก็เป็น รูปธรรม กับ นามธรรม
เรียกสั้น ๆ ว่า รูป กับ นาม
ลองแยกส่วนประกอบในส่วนของนามออกไปอีก ก็จะพบว่า
ที่เรียกรวมว่า ใจ หรือ นาม ก็เป็นที่รวมของ
– เวทนา ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
– สัญญา ความจำได้ ความหมายรู้
– สังขาร ความปรุงแต่งของจิต ที่ทำให้จิตเป็นกุศล อกุศล หรือเป็นกลาง ๆ
– วิญญาณ ความรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แยกนามเป็น ๔ ส่วน รวมกับรูปอีก ๑ ส่วน รวมเป็น ๕ ส่วน
เรียกเป็นศัพท์ว่า “ขันธ์ ๕”
๏ ประเด็นที่สอง .. แยกขันธ์อย่างไร ?
ปกติมันก็แยกของมันอยู่แล้ว
แต่มนุษย์ส่วนมากไม่เคยมอง
จะมองแต่ในแง่ที่เป็นหน่วยรวม
คือ มองเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นนายนั่น นางนี่ ฯลฯ
ขันธ์ที่ว่ามี ๕ .. ก็รู้สึกว่ารวมเป็นเรา เป็นเขา
วิธีแยก .. ไม่ใช่ไปจงใจแยก
แค่ฝึกรู้สึกตัว
รู้สึกที่กายก็ได้ รู้สึกที่ใจก็ได้
เวลารู้สึกที่กาย ก็เห็นว่า.. “กาย” ถูกรู้ “ใจ” เป็นผู้รู้
แค่นี้ก็แยกมา ๒ ขันธ์แล้ว
กาย..เป็น “รูปขันธ์”
ใจที่รู้..เป็น “วิญญาณขันธ์”
เวลารู้สึกที่ใจ ก็เห็นว่ามีกิเลส เช่น เห็นความโกรธ
แค่นี้ก็แยกมา ๒ ขันธ์แล้วเช่นกัน
ความโกรธ..เป็น “สังขารขันธ์”
ใจที่รู้..เป็น “วิญญาณขันธ์”
เห็นสาวสวยใส ยิ้มให้ ใจเตลิด เกิดราคะ
แล้วรู้สึกตัวว่ามีราคะ
แค่นี้ก็แยกมา ๒ ขันธ์แล้วเช่นกัน
ราคะ..เป็น “สังขารขันธ์”
ใจที่รู้..เป็น “วิญญาณขันธ์”
เห็นไอ้หนุ่มอีกคน ยิ้มให้สาวคนนั้น
ใจไม่ชอบ
แล้วเกิดรู้สึกตัวขึ้นมา ว่ามีโทสะ
แค่นี้ก็แยกมา ๒ ขันธ์แล้วเช่นกัน
โทสะ..เป็น “สังขารขันธ์”
ใจที่รู้..เป็น “วิญญาณขันธ์”
ก็ฝึกรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันอย่างนี้ไปบ่อย ๆ
ไม่ต้องเรียกชื่อว่า “ราคะ-โทสะ” ก็ได้
เพียงแค่รู้ว่ามีการปรุงอะไรสักอย่างในใจ ก็ใช้ได้
๏ ประเด็นเสริม..แยกขันธ์ไปทำไม ?
มนุษย์ทั่วไปมีความเข้าใจผิด และยึดถือว่า มีตัวตน หรือมีตัวเรา เป็นเจ้าของครองอยู่ในชีวิตคือกายและใจนี้
ยึดแล้วก็พยายามบังคับบัญชาให้มันเป็นไปตามปรารถนา
อยากได้ลาภ ได้ยศ ได้ชื่อเสียง ฯลฯ มาเสริมความเป็นเรา
อยากให้ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ฯลฯ เพราะรักและหวงความเป็นเรา
แล้วก็ทุกข์เพราะความเข้าใจผิดและถือผิดนั้น
เมื่อรู้สึกตัวบ่อย ๆ
สติ / สมาธิ / ปัญญา ก็พัฒนาขึ้นมา
มองเห็นว่า
ชีวิตก็คือขันธ์ ๕ ที่มีอยู่อย่างสัมพันธ์ และอาศัยซึ่งกันและกัน
ไม่มีตัวตนหรือตัวเราที่ไหน
เรียกว่า มีความเห็นถูก
เมื่อเห็นถูก เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น
ไม่เอาตัณหาเข้าไปจับ
ตัณหาก็ดับ และห่างทุกข์ไปทุกที
เพราะตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์
แยกขันธ์ได้ ก็คือเข้าใจโลก
เมื่อเข้าใจ .. ก็ไม่ทำร้ายโลกด้วย
เข้าใจแล้วก็เกื้อกูลกันและกัน
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโลกด้วยปัญญา
กลายเป็นชีวิตที่มีคุณค่า และมีความสุข
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙