อะไรเป็นศัตรูของพระพุทธศาสนา

ถาม : อะไรเป็นศัตรูของพระพุทธศาสนา

ตอบ : คำถามนี้เป็นคำถามเปิด! ซึ่งคำตอบนี่หลากหลายมาก
(ผู้ถามเล่าว่า) เคยเอาไปถามคนหนึ่ง แล้วคนนั้นตอบว่า..
ศัตรูของพระพุทธศาสนา คือ ทุนนิยม!
อะไรอย่างนี้นะ! อันนี้เขาก็เป็นมุมมองหนึ่ง
#คำตอบ.. ถ้าอาตมาเป็นผู้ตอบ..
อาตมาก็จะต้องตีโจทย์ก่อน!
ตีโจทย์ว่า.. “ศัตรูของพระพุทธศาสนา”

คำว่า “ศัตรู” นี่ไม่ยาก!
มาสนใจคำว่า “พระพุทธศาสนา” คืออะไร?
เพราะถ้าเราตีความหมายของ “พระพุทธศาสนา” ออก เราจะมองออกว่าศัตรูของ “พระพุทธศาสนา” คืออะไร ?
เหมือนอย่างที่คนไปตีความว่า..
พระพุทธศาสนาคืออะไรก็ไม่รู้
แล้วก็บอกว่า..ศัตรูของพระพุทธศาสนา คือทุนนิยมเนี่ยนะ!
มันก็กลายเป็นเขามองพุทธศาสนา เป็นแง่ที่ตรงข้ามกับทุนนิยม

ทีนี้ในความเห็นของอาตมา..
“พระพุทธศาสนา” ..ลองแยกคำดู!
“ศาสนา” แปลว่า คำสอน
คำสอนของใคร ? .. คือ คำสอนของ “พุทธะ”
“ศาสนา” แปลว่า คำสอน
“พุทธะ” คือ ผู้รู้
(ถ้าเป็นคำสอนของพระคริสต์ ก็เป็นศาสนาคริสต์)
“พุทธศาสนา” ก็แปลว่า คำสอนของพระพุทธะ

“พระพุทธะ” ในที่นี้ของพวกเราก็คือ พระพุทธะ
ผู้เป็นสัมมาสัมพุทธะ คือ ตรัสรู้เอง
ถ้าเราตีความได้อย่างนี้แล้วเนี่ย!
#ศัตรูของคำสอนของพระพุทธะ ก็คือ.. “#อะไรที่มันชวนให้โง่”
“พระพุทธะ” แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
อะไรที่มันชวนให้โง่ ให้ซึม ให้ทื่อ
อันนั้น.. คือศัตรูของพุทธศาสนา

ฉะนั้น มันไม่ใช่เป็นคน ไม่ใช่เป็นสัตว์
ไม่เป็นลัทธิ ไม่ใช่เป็นแก๊งอะไรที่ไหน
ไม่ใช่เป็นสำนักอะไรที่ไหน
แต่เป็นอะไรก็ตาม ที่ชวนให้จิตมันหลุดออกจากความเป็นพุทธะ
ก็คือ.. มันชวนให้เราโง่
ชวนให้เราติดยึด ชวนให้เรายึดมั่นถือมั่น
ทำให้มืด ทำให้มัวหมอง ให้ซึม ให้ทื่อ
ทำให้ไม่ปลอดโปร่ง ไม่เบิกบาน
นั่นคือ ภาวะที่ชวนให้จิตไม่เป็นพุทธะ

“พุทธะ” แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ไม่ใช่รู้ธรรมดาด้วย รู้แบบตื่นด้วย
แล้วไม่ใช่รู้แบบตื่นแบบปกติ
ไม่ใช่รู้ตื่น แต่ซึม ๆ ทื่อ ๆ แต่เป็น “รู้ตื่นและเบิกบาน”
ฉะนั้น อะไรที่ชวนให้ติดยึด กลายเป็นไม่รู้ – โง่
แล้วก็มัวหมอง แล้วก็หลับใหล
“หลับใหล” นี่คือ ไปติดอยู่กับโลก
“ติดอยู่กับโลก” นี่มันติดอะไรได้บ้าง ?

“ทุนนิยม” ก็เป็นคำหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นศัตรู
ถ้ามองในแง่แบบแคบ ๆ ก็คือ
ติดอยู่ในทุนนิยม แต่อะไรก็ตามที่ทำให้มันติดเนี่ยนะ !
แม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนเป็นนักบวชแล้ว เป็นตัวแทนพุทธศาสนา
แต่ถ้าสอนให้ไปติดยึดคำสอนของผู้ที่ห่มเหลือง และโกนหัวอย่างนี้นะ!
ถ้าสอนให้ติดยึดองค์นั้น อย่างนี้ก็เป็นศัตรูของพุทธศาสนา ..เข้าใจมั้ย ?
คำสอนนั้นเป็นศัตรูของพุทธศาสนา

แต่ถ้าเป็นโยมด้วยกัน..
สมมุติโยมด้วยกันตักเตือนกันเอง
แล้วทำให้เกิดมีภาวะตื่นรู้ขึ้นมา
คือ.. ตื่นรู้ยังไง ?
ตื่นรู้สภาวะแรกก็คือ มีสติ
คือ รู้สภาวะที่เป็นจริงขึ้นมา
คำเตือนนั้นก็เป็นคำเตือนของกัลยาณมิตรในพุทธศาสนา

ปกติเราจะรู้โลกข้างนอกใช่มั้ย ?
รู้คนนู้น รู้คนนี้ รู้ข่าวคราวบ้านเมือง
แต่พอเขาชี้ให้ดูว่า โทสะเป็นอย่างนี้ หรือกำลังคร่ำครวญ
ตอนกำลังคร่ำครวญ ในใจมันไม่มีคำว่า “คร่ำครวญ” นะ มีแต่คำว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ?
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? ทำไมมีแต่คนทิ้งเราไป ? เขาลืมเราแล้วเหรอ ?”
คิดอย่างนี้.. คือ กำลังคร่ำครวญอยู่
มีคนชี้ให้ดูว่านี่คือ คร่ำครวญนะ! เขาตื่นขึ้นมา!
ภาวะอย่างนี้เขาเรียกว่า “ภาวะรู้ตื่น”

ตอนรู้ตื่นเนี่ยไม่เหมือนตอนคร่ำครวญ ตอนคร่ำครวญไม่เบิกบาน
แต่พอรู้แล้วมันเบิกบาน.. เข้าใจมั้ย!
คนที่ชี้สภาวะอย่างนี้ได้
คนนั้นเป็นผู้ที่พาจิตเราให้มีภาวะแห่งพุทธะขึ้นมา

แม้เพียงชั่วคราว
พุทธะเบื้องแรกนี่ก็เป็นรู้ตื่นเบิกบาน
จากการมีสติรู้สภาวะแห่งความเป็นจริง แล้วก็รู้บ่อย ๆ
สภาวะที่จะชวนให้เราพลาด ก็คือ จิตมันพลาดจากความเป็นผู้รู้ไป
ขณะนั้นเรียกว่าเป็นศัตรูหมดเลย
ฉะนั้น มันไม่ได้เป็นบุคคล ไม่ได้เป็นแก๊ง ไม่ได้เป็นสำนักไหน คือจิตที่มันยังฝึกไม่ดีพอนั่นแหละ!

แต่พอฝึกได้ดีพอแล้ว
อะไรก็ไม่มาทำให้เราเป็นผู้หลงใหล
ผู้มัวหมอง หรือผู้หลับไปได้
เหมือนพระพุทธเจ้า.. พอตรัสรู้แล้ว หรือพระอรหันต์ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเป็นศัตรูกับท่านได้
ใจของท่านหลุดพ้นไปแล้ว
เบื้องหน้าของท่านก็มีแต่ว่า.. เมื่อไหร่ขันธ์ ๕ นี้จะดับไป.. เท่านั้นเอง

มองเห็นแล้วว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นเพียงภาระ
แต่ก็อาศัยขันธ์ ๕ นี้แหละ มาเป็นที่ฝึก
ฉะนั้น ท่านก็ไม่มองว่า “ศัตรูคือขันธ์ ๕” ด้วย!
ขันธ์ ๕ ก็เป็นเพียงอะไรอย่างหนึ่ง ที่อาศัยมาแล้ว ก็เกิดปัญญาขึ้นมา
ไม่ติดยึดในขันธ์ ๕ แล้วก็ไม่เห็นขันธ์ ๕ เป็นศัตรูนะ!
แต่ตอนนี้พวกเรายังรู้บ้าง หลงบ้าง
รู้บ้าง หลงบ้าง ไอ้ความหลงยังเป็นศัตรูอยู่
พระอรหันต์ไม่มองอะไรเป็นศัตรู พระพุทธเจ้าไม่มองพระเทวทัตเป็นศัตรู

ไม่มองว่าพราหมณ์เป็นศัตรู
ไม่มองว่าพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศัตรู ไม่มองอย่างนั้น
ถ้าเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยสมบูรณ์แล้ว
จะไม่มองอะไรเป็นศัตรู
มองเห็นแต่สัตว์ผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีแต่ความกรุณา.. ที่มองเห็นว่าเขายังเป็นผู้โง่
หรือเป็นผู้เขลา ยังมีทุกข์อยู่
มองเห็นว่าเขาเหล่านั้นเป็นทุกข์

มองขันธ์ ๕ ที่ตัวเองเคยยึด มองแล้วก็เห็นว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าเสียดายอาลัยอาวรณ์
ไม่อาลัยว่า.. “ฉันจะตายไปแล้ว” ไม่ใช่อย่างนั้น!
มองเป็นว่า อาศัยขันธ์ ๕ นี่แหละ
เมื่อครั้งหนึ่งมันทำให้ทุกข์ใจ
แต่ตอนนี้ฉลาดแล้ว จะตายก็ตายไป ไม่ได้ว่ากัน
ไม่อาลัยอาวรณ์
แล้วก็ไม่ถึงกับเกลียดมัน
จนกระทั่งเรียกว่า “เมื่อไหร่มันจะตายสักที”
ไม่คิดอย่างนั้นด้วย เข้าใจมั้ย ?

มันเป็นกลางแท้ ๆ เลย
ไม่มีเห็นว่าอะไรเป็นศัตรู
รวมทั้งไม่เห็นอะไรเป็นที่รักที่พอใจด้วยซ้ำไป
ไม่ติดยึดและไม่ผลักไส
อยู่กับมันไปอย่างนี้
แต่ของเรานี่นะ..

ขณะนี้อาจจะมีบ้างที่ไม่ชอบใจสิ่งนั้น
ไม่ชอบใจสิ่งนี้
ภาวะที่เป็นศัตรูจริง ๆ กลายเป็นว่า
คือ ความโง่ และ ความหลง
ที่ฝึกได้ของเราก็คือ..
ทำอย่างไรให้เรามีความรู้ขึ้นมาบ่อย ๆ คือรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในใจ
แล้วภาวะแห่งพุทธะนี้จะเบิกบานจะเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะก็จะเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ
สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเป็นศัตรู

ถาม: เกี่ยวกับศรัทธาด้วยไหม?

ตอบ : ศรัทธา เป็นสภาวะธรรมที่จำเป็นอยู่แล้ว
ตั้งแต่ต้น ควรจะมีศรัทธา มีศีล มีสุตะ มีจาคะ มีปัญญา
เป็นธรรมะที่ควรมีอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มต้น

ถ้าไม่มีศรัทธา ก็ไม่มีการเริ่มต้นที่จะมาเรียนรู้
เช่น ไม่มีศรัทธาว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าจริง
ก็หมดเลย!.. ไม่ต้องมาเรียนแล้ว! เพราะว่าไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าจริง
แล้วก็เป็นอันไม่ต้องเริ่มต้นเรียนรู้อะไร เพราะฟังคำสั่งสอนมาก็ไม่เชื่อว่าผู้สอนนั้นรู้จริง ก็หมดกันใช่มั้ย ?

หรือว่าแม้อาตมาเอง ถ้าผู้ฟังยังไม่ศรัทธาว่า
อาตมานี่เป็นพระดีแท้แค่ไหนนะ
แต่ว่า “เชื่อว่า” พระรูปนี้นำคำสอนของพระพุทธเจ้า.. ผู้รู้จริง มาบอกต่อ
อย่างนี้ก็ยังเป็นศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า
ศรัทธาต่อพระธรรม ศรัทธาต่อพระสงฆ์ ว่ามีผู้ที่รู้ธรรมตามพระพุทธเจ้าได้จริง

แม้ว่าผู้พูดนี้อาจจะยังไม่รู้นะ!
แต่เชื่อว่าผู้รู้จริงมีอยู่
และก็ศรัทธาตัวเอง
ว่าเราเองก็สามารถพัฒนาตัวเองให้รู้ตามได้ อย่างนี้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ที่วัดอินทาราม
ลิงก์ https://app.box.com/s/dboiakc96v1cz0e2cabdel1nz10cxn6k
คำถาม -อะไรเป็นศัตรูของพระพุทธศาสนา 590313-วัดอินทาราม