เมื่อจิตรู้ เสมือนยืมขันธ์มาทิ้งขันธ์อีกที ใช่ไหมครับ

ถาม : เมื่อจิตรู้ เสมือนยืมขันธ์มาทิ้งขันธ์อีกที ใช่ไหมครับ

(ขยายความต่อจากคำถาม ตัวรู้ ที่ฝึกในการฝึกสติ ใช่เป็นนามในขันธ์ห้าหรือป่าวครับ ?)
ตอบ : ขอนำสำนวนของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ มาตอบ ดังนี้
“มนุษย์มีความโน้มเอียงที่จะยึดถืออยู่เสมอว่า ตัวตนที่แท้ของตนมีอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง
บ้างก็ยึดเอาจิตเป็นตัวตน บ้างก็ยึดว่ามีสิ่งที่เป็นตัวตนอยู่ต่างหาก แฝงซ้อนอยู่ในจิตนั้น
ซึ่งเป็นเจ้าของ และเป็นตัวการที่คอยควบคุมบังคับบัญชา กายและใจนั้นอีกชั้นหนึ่ง

การแสดงขันธ์ ๕ นี้ มุ่งให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า “สัตว์” “บุคคล” “ตัวตน” เป็นต้นนั้น เมื่อแยกออกไปแล้ว
ก็จะพบแต่ส่วนประกอบ ๕ ส่วนเหล่านี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นเหลืออยู่ที่จะมาเป็นตัวตนต่างหากได้
และแม้ขันธ์ ๕ เหล่านั้น แต่ละอย่างก็มีอยู่เพียงในรูปที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน ไม่เป็นอิสระ
ไม่มีโดยตัวของมันเอง ดังนั้นขันธ์ ๕ แต่ละอย่าง ๆ นั้นก็ไม่ใช่ตัวตนอีกเช่นกัน

รวมความว่า หลักขันธ์ ๕ แสดงถึงความเป็นอนัตตา ให้เห็นว่าชีวิตเป็นการประชุมเข้าของส่วนประกอบต่าง ๆ
หน่วยรวมของส่วนประกอบเหล่านี้ ก็ไม่ใช่ตัวตน ส่วนประกอบแต่ละอย่าง ๆ นั้นเอง ก็ไม่ใช่ตัวตน
และสิ่งที่เป็นตัวตนอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านี้ก็ไม่มี
เมื่อมองเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะถอนความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวตนได้”

ดังนั้น จะเรียกว่า ยืมมาทิ้ง ก็ไม่ว่าอะไร แต่ทิ้งแล้วไม่หยิบมาอีก
จุดสำคัญอยู่ที่ เห็นความจริง แล้วถอนความถือมั่น
และขอนำ ภารสุตฺตคาถา มาแสดงประกอบ เพื่อให้เข้าใจชัดขึ้น
เป็นสำนวนที่แปลโดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ซึ่งหลวงปู่แปลได้สะใจดี
……………………………………….

ภารา หเว ปัญจักขันธา
ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนัก เว้ย

ภารหาโร จ ปุคคโล
แต่บุคคลยังยึดถือภาระไว้

ภาราทานัง ทุกขัง โลเก
การแบกภาระไว้ เป็นทุกข์ในโลก

ภารนิกเขปนัง สุขัง
การปล่อยวางภาระเสีย เป็นความสุข

นิกขิปิตวา ครุง ภารัง
บุคคลปล่อยวางภาระเสียได้แล้ว

อัญญัง ภารัง อนาทิย
ไม่เข้าไปยึดถือเอาสิ่งอื่นเป็นภาระอีก

สมูลัง ตัณหัง อัพพุยห
เป็นผู้รื้อถอนตัณหา กับทั้งมูลรากได้แล้ว

นิจฉาโต ปรินิพพุโต ติ
เป็นผู้หมดความอยาก แล้วปรินิพพาน ดังนี้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙