ถาม: คนที่ปฏิบัติมานานแล้ว แยกธาตุ แยกขันธ์ได้ ครูบาอาจารย์ก็ชม
แต่ทำไมยังเบียดเบียน ยังแย่งชิง ศีลก็ยังไม่ดี คือ.. ทำไมยังเลวอยู่ ?
ตอบ: คือ.. คนเจริญสติ ทำเจริญกรรมฐาน ขนาดเดินปัญญาแล้ว
แต่มันยังไม่ถึงมรรคผล มันก็ยังเสื่อมได้
ขณะที่เกิดปัญญา ก็อยู่ในขั้นที่ว่ามีสติ
เห็นสภาวะ.. แล้วเกิดปัญญา เกิดความเข้าใจเห็นสภาวะไปเรื่อย ๆ อย่างนี้นะ!
แต่มันยังอยู่ในขั้นโลกียะ
เนี่ย! พอมันเสื่อม สภาวะนั้น พอเกิดความเข้าใจ
ไม่ใช่ว่า.. เข้าใจปุ๊บ! ฉลาดค้างเติ่ง อยู่อย่างนั้นนะ!
พอมันเผลอขึ้นมา มันก็โง่ได้ ตอนโง่นี่ก็คือ สามารถที่จะผิดศีลได้
สามารถที่จะงกได้ สามารถที่จะร้ายได้
ธรรมดามาก.. เป็นใช่มั้ย? ดูเป็นนักปฏิบัตินี่แหละ แต่พอโง่ก็โง่นะ!
ตอนโง่ก็แสดงความโง่ให้เห็นเลยว่า
น่าเกลียด น่าชัง น่ากลัว หลายแบบ
#โยม: จริง ๆ คำถามที่ถามพระอาจารย์
จริง ๆ ก็เป็นกันทุกคน เพียงแต่ว่าอยากเสริมว่า.. ไม่รู้ตัว!
ทีนี้ เวลาเรียนเนี่ย จึงต้องเรียนให้ครบ สิกขา ๓
ต้องเรียนให้ครบ ‘สีลสิกขา’ ‘จิตตสิกขา’ ‘ปัญญาสิกขา’..
ต้องเรียนให้ครบ! ในขณะที่เรามาศึกษาเรื่องจิตเนี่ยนะ ก็อย่าละเลยเรื่องศีล
ฉะนั้นไม่ว่าจะปฏิบัติถึงขั้นไหนแล้วเนี่ย
พอมันเผลอขึ้นมา มีกิเลสขึ้นมาตัวใหญ่
ขึ้นมาแล้วเนี่ย!.. ยังไง ๆ ก็อย่าไปผิดศีล
มันจะดุดัน หรือมันจะมีโทสะแค่ไหน.. ก็จะไม่ผิดศีล
มันจะมีราคะมากแค่ไหน.. ก็จะไม่ผิดศีล อย่างนี้นะ!
‘ศีล’ ยังไงก็ต้องเป็นมาตรฐาน
คือต้องศึกษาไปควบคู่กัน ไม่ใช่ศึกษาทีละเรื่อง
ในชีวิตจริงมันแยกไม่ได้ว่าจะต้องศึกษาทีละเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่
แต่ตอนเรียนมันเรียนทีละเรื่อง เพราะว่าบรรยายเป็นเรื่อง ๆ ตามลำดับไปเรื่อย ๆ
แต่ตอนศึกษาในชีวิตจริงเนี่ย มันต้องศึกษาควบคู่กันไป
มันแยกไม่ออกหรอกว่า ขณะนี้เราจะศึกษาเรื่องศีลเฉพาะนะ!
ยังไม่ศึกษาเรื่องจิต มันแยกไม่ได้
คือเวลาบรรยายในแง่ของกรรมฐานเนี่ย ก็มักจะมาขยายความในเรื่องของ ‘จิต’
หรือเรื่องของ ‘จิตตสิกขา’ มาก พอขยายเรื่องนี้ลืมขยายเรื่อง ‘ศีล’
บางทีคนฟังก็เลยละเลยเรื่อง ‘ศีล’ ไปด้วย บางทีอาศัยว่ากิเลสมันยังมีอยู่
บางทีก็มีความถือตัว หรือความโลภ พอกิเลสตัวนี้เกิดขึ้นมาแล้ว จิตไม่ทัน สติไม่ทัน
บางทีก็อาศัยสองตัวนี้ไปทำผิด ไปเบียดเบียนกันเองบ้าง ไปกดข่มกันเองบ้าง
หรือไปยกตัวเองสูงแล้วกดข่มคนอื่น
หรือบางทีก็กิเลสนั้นครอบงำใจโดยที่ตัวเองไม่รู้ ก็พาไปพูดไม่ดี
ทำไม่ดีคิดไม่ดี ในแง่ของศีลนี่มันไม่ยากในการอธิบาย
แต่ตอนลงมือปฏิบัติมันก็เบียดเบียนกันนะ
โดยเฉพาะเรื่องคำพูด
ถ้ามีการกระทบกระทั่งกัน ถ้าเรารู้ตัวเมื่อไหร่ให้ไปขอขมากัน
ถ้ามีการเบียดเบียนเป็นบุคคลนะ แต่ถ้าความผิดที่ว่านั้นไม่ได้ไปผิดต่อคน
มันเป็นผิดเฉพาะตัวเราเอง
ก็ให้เรียนรู้ว่าเป็นบทเรียนของตัวเอง ตรงนี้อยู่ในขั้นของ ‘โยนิโสมนสิการ’
แต่ถ้ามันมีการกระทบกระทั่งคน เบียดเบียนคน
ก็ต้องไปขอขมา ขออภัยกัน
สมมุติว่า.. เพื่อนกัน เดือนที่แล้วพลาดกัน
ทำอย่างนู้น ทำอย่างนี้ ก็เป็นนักปฏิบัติด้วยกันทั้งคู่ มันพลาดกันแล้ว
พอรู้ตัวก็ต้องมีความกล้าที่จะไปขอขมา พอขอขมากันได้แล้วก็หาย
แต่ถ้าเก็บเอาไว้นะ ก็จะคล้าย ๆ เป็นหนามแทงใจ
นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ เจ็บแปล้บ! เจ็บแปล้บ! ก็ต้องไปบ่งออก
วิธีบ่งออกก็คือ.. ต้องไปขอขมากัน
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ที่ลิงค์ bit.ly/22ol2HG
ถาม – ผู้ปฏิบัติที่ได้รับคำชมว่าภาวนาดี แต่ทำไมยังเบียดเบียน แย่งชิง ศีลไม่ดี.mp3