เอาเงินใส่บาตรพระได้ไหม

ถาม : เวลาใส่บาตร เราสามารถเอาเงิน
ใส่ลงไปในบาตรพระวัดบ้านได้ไหมเจ้าคะ
เพราะเวลาใส่บาตร พระท่านบอกว่า
‘ใส่เงินได้นะโยม โยมจะได้มีเงินใช้ไม่ขาดมือ’
หนูสงสัยถึงข้อวัตรของพระวัดป่า และพระวัดบ้านเจ้าค่ะ

ตอบ : พระท่านไม่ควรพูดอย่างนั้น
พระภิกษุ ไม่ว่าวัดบ้าน หรือวัดป่า ถ้ารับเงินทอง ก็เป็นอาบัติด้วยกันทั้งนั้น
เพราะประพฤติปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยเดียวกัน
ถ้าโยมจะถวายเงิน ควรฝากไว้กับไวยาวัจกร
(ผู้ทำกิจธุระแทนสงฆ์, ผู้ช่วยเหลือรับใช้พระ จะเป็นคนวัดหรือลูกศิษย์ก็ได้)
จะเหมาะสม และถูกต้องตามพระวินัยมากกว่า

ถ้าท่านไม่มีคนวัดหรือลูกศิษย์ติดตามมา ก็หาโอกาสแวะเข้าวัดที่พระรูปนั้นอยู่ แล้วถามหาไวยาวัจกรอีกที
หรือไปวัดที่เราศรัทธา นำเงินไปหยอดตู้บริจาคกับวัด หรือจะโอนเงินเข้าบัญชีของวัดก็ได้
อีกวิธีหนึ่งคือ ใช้วิธีปวารณา
คือ เปิดโอกาสให้ขอ

จะบอกกล่าวด้วยวาจา หรือด้วยลายลักษณ์อักษรก็ได้ ว่า
“ข้าพเจ้าขอถวายจตุปัจจัย อันสมควรแก่สมณะ มูลค่า … บาท”
ถ้าไม่ได้ฝากเงินไว้กับใคร ก็ให้ท่านบอกสิ่งที่ต้องการกับเราโดยตรง
ถ้าฝากเงินไว้กับใคร ก็บอกให้ท่านทราบด้วย
ขวนขวายเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ก็คุ้มค่า
สิกขาบทที่ไม่ให้รับเงินนี้ คือเรื่องพระอุปนันทศากยบุตร ในพระวินัยปิฎก
…..

สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน
อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์.

ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็นพระที่คุ้นเคยสนิท ไปมาหาสู่ที่สกุลหนึ่ง
รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น
เขาก็แบ่งส่วนไว้ถวายท่านอยู่เสมอ

เย็นวันหนึ่ง ในสกุลนั้นได้เนื้อสำหรับทำอาหาร เขาจึงแบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทะ
แต่พอตอนเช้า ลูกเขาตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้องอ้อนวอนขอกินเนื้อนั้น

บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า “จงนำส่วนของพระให้แก่เด็กไปก่อน เราจะซื้อของอื่นถวายท่านภายหลัง.”

ครั้นแล้วเวลาเช้า ท่านอุปนันทศากยบุตร นุ่งห่มผ้าแล้ว ถือบาตรจีวร
เข้าไปสู่สกุลนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย. ทันใดนั้น บุรุษนั้นเข้ากราบเรียนว่า
“ท่านครับ เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น, ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่ง,
จากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด ร้องอ้อนวอนว่า ‘อยากกินเนื้อ’

ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของพระคุณเจ้าแก่เด็กไป,
พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวาย ด้วยทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ ?”
[กหาปณะ เป็นชื่อมาตราเงินในสมัยนั้น
มีค่าเท่ากับทองคำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก]

ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า “เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เรา แล้วหรือ ?”
บุรุษ : “ขอรับ ผมบริจาคแล้ว.”
อุปนันทะ : “ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา.”

บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะไปแล้ว ก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า
“พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา.”
[รูปิยะ แปลว่า เงินตรา
หมายความว่า โยมคนนั้นรู้สึกว่า ถ้าพระภิกษุรับเงิน ก็ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้าน จึงพูดตำหนิออกมา]

ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย
สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
“ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะ (เงินตรา) เล่า ?”
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า
“ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่าเธอรับรูปิยะจริงหรือ ?”
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า “จริง พระพุทธเจ้าข้า.”

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
“ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ,
ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า ? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว.

โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.”

พระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว
ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ
ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน

ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย

แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์
[นิสสัคคิยปาจิตตีย์ คือ อาบัติปาจิตตีย์ ที่ต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัตินั้นก่อน ในกรณีนี้คือ ต้องสละรูปิยะ หรือเงินทองนั้้น]

วิธีสละรูปิยะ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ดังนี้ :-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละรูปิยะนั้น อย่างนี้:-
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าจีวรเฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า
นั่งกระหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า

“ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ารับรูปิยะไว้แล้ว. ของนี้ของข้าพเจ้า เป็นของจำจะสละ,
ข้าพเจ้าสละรูปิยะนี้แก่สงฆ์.”
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ
ถ้าคนผู้ทำการวัดหรืออุบาสก เดินมาในสถานที่เสียสละนั้น พึงบอกเขาว่า “ท่านจงรู้ของสิ่งนี้”
ถ้าเขาถามว่า “จะให้ผมนำของสิ่งนี้ไปหาอะไรมา ?”

อย่าบอกว่า จงนำของสิ่งนี้หรือของสิ่งนี้มา. ควรบอกแต่ของ
ที่เป็นกัปปิยะ(ของที่สมควรแก่ภิกษุบริโภคใช้สอย) เช่น เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย,
ถ้าเขานำรูปิยะนั้นไปแลกของที่เป็นกัปปิยะ
มาถวาย เว้นภิกษุผู้รับรูปิยะ, ภิกษุนอกนั้นฉันได้ทุกรูป,
ถ้าได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี;

ถ้าไม่ได้,
พึงบอกเขาว่า “โปรดช่วยทิ้งของนี้”
ถ้าเขาทิ้งให้ นั่นเป็นการดี;
ถ้าเขาไม่ทิ้งให้,
พึงสมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ.
องค์ ๕ ของภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ

องค์ ๕ นั้น คือ ๑ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ, ๒ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะเกลียดชัง,
๓ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะงมงาย ๔ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะกลัว;
และ ๕ รู้จักว่าทำอย่างไรเป็นอันทิ้งหรือไม่เป็นอันทิ้ง.
[จะเห็นได้ว่า รูปิยะ (เงินทอง) นี่สร้างปัญหามากจริง ๆ
เมื่อรับมาแล้ว ก็เป็นอาบัติ
ปลงอาบัติแล้วก็ต้องสละเงินที่รับมานั้นด้วย
วิธีสละก็มีเรื่องราวขั้นตอนมากกว่าการสละสิ่งอื่น]

รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ (คือต้องสละ) ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รูปิยะ ภิกษุสงสัย รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
[คือ ไม่ว่าจะรู้ หรือไม่รู้ หรือสงสัย ถ้าเป็นรูปิยะ คือเป็นเงิน รับมาแล้วก็เป็นอาบัติ และจริงสละเงินนั้น]
ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ. รับมา ต้องอาบัติทุกกฎ.
ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสงสัย รีบมา ต้องอาบัติทุกกฎ.

[โยมไม่ได้ถวายเงิน แต่คิดว่าใช่ หรือสงสัยว่าใช่ แล้วรับ ก็เป็นอาบัติ]
กรณีที่ภิกษุจะไม่ต้องอาบัติ ก็ได้แก่
๑. ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุรู้อยู่ว่าไม่ใช่รูปิยะ รับมา ก็ไม่ต้องอาบัติ
๒. ทองเงินตกอยู่ภายในวัด หรือภายในที่อยู่, ภิกษุหยิบยกเองก็ดี ใช้ให้หยิบยกก็ดี, แล้วเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า
‘เป็นของผู้ใด, ผู้นั้นจักนำไป'(คือเก็บไว้เพื่อคืนเจ้าของ)
๓. ภิกษุวิกลจริต
๔. ภิกษุอาทิกัมมิกะ (คือภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติในสิกขาบทนี้)

ตอบยาว และลงรายละเอียดสักหน่อย
เพื่อความซื่อตรง และเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 15 กรกฎาคม 2559