ถาม : ขอโอกาสครับ พระอาจารย์
ผมยังมีความสงสัย คำว่า “ทุกข์” ระหว่างทุกข์ในไตรลักษณ์ กับ ทุกข์ที่เป็นเวทนา
มีความเชื่อมโยงหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ ? ขอความเมตตาครับผม
ตอบ : ไตรลักษณ์ เป็นลักษณะร่วม ที่มีเสมอกันในสิ่งทั้งหลาย เป็นลักษณะสามัญ คือ
– ทุกอย่างที่เป็นสังขาร คือธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ล้วนแต่ไม่เที่ยง ล้วนแต่เป็นทุกข์ เสมอเหมือนกันทั้งหมด
– ทุกอย่างที่เป็นธรรม คือทั้งที่เป็นสังขารและนิพพาน ล้วนแต่ไม่เป็นอัตตา ล้วนแต่ไม่ใช่ตน เสมอเหมือนกันทั้งหมด
ทุกข์ในไตรลักษณ์ จึงหมายถึง
๑. ความบีบคั้น คือถูกการเกิดขึ้นและการดับสลายไปบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
๒. ทนได้ยาก คือคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยน ต้องหมดสภาพไป
๓. เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ คือก่อให้เกิดความรู้สึกทุกข์ น่าระอา
๔. แย้งต่อสุข คือโดยธรรมชาติที่มันบีบคั้นขัดแย้งและคงสภาพอยู่ไม่ได้นั้น มันก็กีดกันความราบรื่น ปฏิเสธความคล่องสบายตัว
ส่วนทุกข์ที่เป็นเวทนา (เรียกตามศัพท์ว่า ทุกขเวทนา) ก็เป็นเวทนาอย่างหนึ่ง
เวทนามี ๓ อย่าง คือ
๑. สุขเวทนา ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกทุกข์ ลำบาก เจ็บปวด ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุข คือเฉย ๆ จะสุขก็ไม่ใช่ จะทุกข์ก็ไม่ใช่ บางทีก็เรียกว่า อุเบกขาเวทนา
ทุกขเวทนา โดยเฉพาะที่เป็นทางกาย เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย เพราะรับรู้ได้ทันที แค่กายนี้ที่ไม่เที่ยง มีลักษณะคงทนอยู่ไม่ได้
กระทั่งป่วยเป็นโรคขึ้นมา เราก็เกิดทุกขเวทนา ปวดหัว ปวดท้อง เจ็บนั่นเจ็บนี่
ทุกขเวทนาทางกายแม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นธรรมดาของมันอย่างนี้ แต่ก็แก้ไขได้บ้าง เมื่อรู้เหตุรู้ปัจจัย ไปหาหมอหายา
ถ้าวินิจฉัยได้ตรงจุด จ่ายยาที่เหมาะสม ทุกขเวทนานั้นก็หายได้
ถ้าหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ หรือกินยาแล้วไม่หาย โกรธหมอ หาว่าหมอเลี้ยงไข้ คราวนี้ความบีบคั้นมาปรากฏที่ใจด้วย
กลายเป็นทุกขเวทนาทางใจ กายก็ยังคงเป็นทุกข์ ใจก็เป็นทุกข์ซ้ำขึ้นมาอีก
ทุกขเวทนาทางใจสามารถลดลงจนกระทั่งหมดไปได้ ตามกำลังของสติปัญญา
พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ไม่มีทุกขเวทนาทางใจแล้ว โดยสิ้นเชิง
ส่วนทุกข์ในไตรลักษณ์ก็เป็นไปตามธรรมดาของมัน ยกเลิกไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ และไม่ต้องไปแก้ เรามีหน้าที่เพียงทำความเข้าใจ
เห็นสภาวะต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง กระทั่งมีปัญญารู้เท่าทันโลกและชีวิต ไม่ยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย
จิตใจปลอดโปร่งหลุดพ้น เป็นอิสระ
สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ใน อุปปาทสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต
พวกเราอาจจะเคยได้ยินหรือได้สวดกันมาบ้าง คือ
“ตถาคต (คือพระพุทธเจ้า) ทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุนั้นก็ดำรงอยู่
เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยามว่า
๑. สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง …
๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ …
๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา …
ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก
เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่ายว่า
“สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง …สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ …ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา”
ธาตุ คือ ภาวะที่ทรงตัวทรงสภาวะของมันอยู่เองโดยธรรมดา
ธรรมฐิติ คือ ภาวะที่ตั้งอยู่หรือยืนตัว ความดำรงคงตัวแห่งธรรม
ธรรมนิยาม คือ กฎธรรมชาติ หรือกำหนดแน่นอนแห่งธรรมดา
พระองค์เปิดเผย แจกแจง ทำให้ง่ายแล้ว
พระองค์ทำหน้าที่ของพระศาสดาแล้ว
ที่เหลือ.. เป็นหน้าที่ของพวกเราไปภาวนา
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 7 สิงหาคม 2559