ถาม : ลูกผมเค้าถามว่า ..เรื่องบุญเรื่องกรรม มีจริง เค้าเชื่อ
แต่สงสัยว่าสิ่งมีชีวิตสิ่งแรก เช่น มนุษย์คนแรก หรือปลาตัวแรก หรือนกตัวแรก เกิดมาทำไม ?
ถ้าไม่เกิดก็จะไม่มีต่อ ๆ กันมา ก็ไม่ต้องมีบุญหรือกรรม
แล้วถ้าว่าเกิดเป็นนั่นเป็นนี่จากผลบุญผลกรรม แล้วคน ๆ แรกทำไมเกิดเป็นคน ไปเอาบุญกรรมที่ไหนมากำหนด ?
ตอบ : คำถามทำนองนี้ ตรงกับ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น “อจินไตย”
อจินไตยนั้นแปลว่า ไม่ควรคิด มี ๔ อย่าง คือ
๑. พุทธวิสัย
๒. ฌานวิสัย
๓. กัมมวิบาก
๔. โลกจินตา
พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้า
ฌานวิสัย คือ วิสัยของผู้ได้ฌาน
กัมมวิบาก คือ ผลจากกรรม
โลกจินตา คือ ความคิดเรื่องโลก
ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิด
ผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
เช่น เรื่อง พุทธวิสัย
ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า แม้จะคิดถึงอานุภาพของพระสัพพัญญุตญาณ
คิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธองค์
พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะให้รู้เท่าวิสัยของพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นไปไม่ได้เลย
เรื่อง ฌานวิสัย
ผู้ที่ไม่ได้ฌาน แม้จะคิดเท่าไร ก็คิดไม่ออกว่า
ทำไมผู้ที่ได้ฌาน ได้อภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ เหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น
ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้น ๆ เท่านั้น จึงจะรู้ได้
เรื่อง กัมมวิบาก
คนปกติย่อมไม่อาจรู้ชัดว่า วิบากที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นผลมาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อไร ชาติไหน
คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก
พระพุทธองค์ทรงมีกัมมวิปากญาณ ญาณหยั่งรู้ผลของกรรม
สามารถกำหนดแยกการให้ผลอย่างสลับซับซ้อนระหว่ากรรมดีกับกรรมชั่ว ที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ
มองเห็นรายละเอียดและความสัมพันธ์ภายในกระบวนการก่อผลของกรรมอย่างชัดเจน
เรื่อง โลกจินตา
เช่น คิดว่าใครสร้างโลก ใครสร้างพระจันทร์ – พระอาทิตย์
มนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ เกิดมาได้อย่างไรเมื่อครั้งแรกสุด โลกจะแตกเมื่อไร
คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์
แม้จะมีคนมาตอบให้ ก็ยังเป็นเหตุให้สงสัยต่อไปได้
เพราะไม่อาจนำมาพิสูจน์ได้
หลวงพ่อปราโมทย์เคยเล่าให้ฟัง
เรื่องที่มีคนไปร้องไห้ระบายทุกข์กับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
แล้วถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ ! หนูเกิดมาทำไม ? ทำไมหนูต้องเกิด ?”
หลวงปู่ตอบว่า “เพราะไม่รู้”
โยมคนนั้นอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วถามกลับไปว่า
“หลวงปู่ไม่รู้ .. แล้วใครจะรู้ !”
เรียกว่า แม้จะได้รับคำตอบแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ
พระพุทธองค์จึงเตือนว่า
สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าจะสั่งสมสติปัญญาบารมี ให้ได้ความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อจะได้ไม่ติดข้องในเรื่อง “อจินไตย” เหล่านี้
ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปทีเดียว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ควรคิดถึงเรื่อง “อจินไตย” เหล่านี้
เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะรู้ได้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
มีแต่จะเพิ่มโทษ คือได้กิเลสเพิ่มขึ้น
ใจก็ฟุ้งซ่านหาคำตอบ
ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ ก็หงุดหงิด
ครั้งหนึ่ง นายบ้าน ชื่อ คันธภัก ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดแสดงความเกิด และความดับแห่งทุกข์แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“แน่ะท่านนายบ้าน ถ้าเราแสดงความเกิดขึ้นและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน
โดยอ้างกาลส่วนอดีตว่า ‘ในอดีตกาล ได้มีแล้วอย่างนี้’
ความสงสัยเคลือบแคลงในข้อนั้น ก็จะมีแก่ท่านได้
ถ้าเราแสดงความเกิดขึ้นและความอัสดงแห่งทุกข์แก่ท่าน โดยอ้างกาลส่วนอนาคตว่า
‘ในอนาคตกาล จักเป็นอย่างนี้’
ความสงสัย ความเคลือบแคลง ก็จะมีแก่ท่านแม้ในข้อนั้นได้อีก
ก็แล ท่านนายบ้าน เรานั่งอยู่ที่นี่แหละ
จักแสดงความเกิดขึ้นและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน
ผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้เหมือนกัน”
พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมาย และสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จะนำมาใช้ปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริงได้
เกี่ยวข้องกับชีวิต การแก้ไขปัญหาชีวิต และการลงมือทำจริง ๆ
ส่วนสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แม้เป็นความจริง ก็ไม่สอน
ไม่ทรงสนับสนุนการพยายามเข้าถึงสัจธรรมด้วยวิธีครุ่นคิด
หรือถกเถียงหาเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาทางอภิปรัชญา ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์
ใครจะกล่าวว่า “ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตอบปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ตราบใด
ข้าพเจ้าก็จะไม่ประพฤติพรหมจรรย์ (คือไม่ปฏิบัติธรรม) ในศาสนาของพระองค์ ตราบนั้น”
พระพุทธองค์ก็จะไม่พยากรณ์ปัญหาข้อนั้นเลย
และบุคคลนั้นก็คงตายไปเสียก่อนเป็นแน่
มีข้อความอุปมาที่น่าสนใจ ใน จูฬมาลุงกโยวาทสูตร
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
ว่าดังนี้
“เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ ที่อาบยาไว้อย่างหนา
มิตรสหาย ญาติสาโลหิตของเขา ไปหาศัลยแพทย์ผู้ชำนาญมาผ่า
บุรุษผู้ต้องศรนั้นกล่าวว่า
‘ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักคนที่ยิงข้าพเจ้า ว่าเป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ หรือเป็นศูทร
มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรว่าอย่างนี้
ร่างสูง เตี้ย หรือปานกลาง ดำ ขาว หรือคลํ้า
อยู่บ้าน นิคม หรือนครโน้น
ข้าพเจ้าจะยังไม่ยอมให้เอาลูกศรนี้ออก ตราบนั้น;
ตราบใด ข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่า ธนูที่ใช้ยิงข้าพเจ้านั้น เป็นชนิดมีแล่ง หรือชนิดเป็นเกาทัณฑ์
สายที่ใช้ยิงนั้น ทำด้วยปอ ด้วยผิวไม้ไผ่ ด้วยเอ็น ด้วยป่าน หรือด้วยเยื่อไม้
ลูกธนูที่ใช้ยิงนั้น ทำด้วยไม้เกิดเอง หรือไม้ปลูก
หางเกาทัณฑ์ เขาเสียบด้วยขนปีกแร้ง หรือนกตะกรุม หรือเหยี่ยว หรือนกยูง หรือนกสิถิลหนุ
เกาทัณฑ์นั้น เขาพันด้วยเอ็นวัว เอ็นควาย เอ็นค่าง หรือเอ็นลิง
ลูกธนูที่ใช้ยิงเรานั้น เป็นชนิดไร
ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้เอาลูกศรออก ตราบนั้น’
“บุรุษนั้น ยังไม่ทันได้รู้ความที่ว่านั้นเลย
ก็จะต้องตายไปเสียโดยแน่แท้…”
สิ่งที่ควรคิด ควรพิจารณา คือ
การศึกษาความจริงของสภาวะที่เป็นอยู่ในขณะนี้
มีสติรู้สิ่งปรากฏจริงที่กายที่ใจ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง
สงสัย ก็รู้ว่าสงสัย
รำคาญใจ ก็รู้ว่ารำคาญใจ
ความจริงที่เป็นประโยชน์
เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
และทำให้เกิดปัญญาพ้นทุกข์
ปรากฏในปัจจุบันนี้เท่านั้น
ไม่ได้อยู่ในอดีตหรืออนาคต อันนานไกลโพ้นโน้นเลย.
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 22 สิงหาคม 2559