ถาม : เวทนานุปัสสนา ดูอะไรครับ
ดูเวทนาขันธ์ หรือดูเวทนา ?
ดูเวทนาขันธ์ – เห็นไตรลักษณ์, ดูเวทนาความเจ็บปวด ???
จะเห็นไตรลักษณ์ ..แสดงว่าความเจ็บปวดหายไป..
ที่สงสัยคือ มันหายได้อย่างไร ?
หรือว่ามีการขยับเล็ก ๆ ที่เราไม่รู้ หรือว่าใจที่ว่าไว้ (เวทนาขึ้นลงบ่อย ๆ จนวางลงได้)
กราบนมัสการครับ
ตอบ : เวทนา มีคำแปลในทางวิชาการจริง ๆ ว่า การเสวยอารมณ์ เป็นความรู้สึกถึงรสของอารมณ์
หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ความรู้สึก มี ๓ อย่าง คือ
๑. สุขเวทนา ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกทุกข์ ลำบาก เจ็บปวด ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุข คือเฉย ๆ จะสุขก็ไม่ใช่ จะทุกข์ก็ไม่ใช่
บางทีก็เรียกว่า อุเบกขาเวทนา
เวทนา :-
– มีลักษณะเป็น ความเสวย
– มีกิจหน้าที่ คือ การบริโภคร่วมซึ่งรสแห่งอารมณ์
– มีอาการที่ปรากฏ เป็นสุขและทุกข์
– มีเหตุให้เกิด คือ ผัสสะ
ผัสสะ คือความกระทบอารมณ์
เช่น ตา + รูป + จักขุวิญญาณ = จักขุสัมผัส ความกระทบอารมณ์ทางตา เป็นต้น
เพราะผัสสะมี เวทนาจึงมี
คือไม่ว่าจะมีจิตหรือวิญญาณเกิดขึ้นขณะใดก็ตาม ก็จะมีเวทนาคือความรู้สึก เกิดร่วมด้วยเสมอ
คือ ไม่สุขก็ทุกข์ หรือไม่ก็เฉย ๆ
แต่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่ใช่จิต เป็นเพียงธรรมที่ประกอบกับจิต
คือเป็นสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่ง ที่ภาษาบาลีใช้ศัพท์ว่า เวทนาเจตสิก
จิตหรือวิญญาณก็เป็นสภาพที่รู้อารมณ์เท่านั้น แต่ความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นเรื่องของเวทนา
เช่น มีความสุขในขณะฟังพระบรรยายธรรม
ในกรณีนี้ จิตทำหน้าที่รับรู้เสียง
ส่วนความรู้สึกสุข เป็นเวทนา
แต่เวทนาก็เกิดเพราะเสียงบรรยายนั้นแหละ จึงบอกว่า เวทนามีการบริโภคร่วมซึ่งรสแห่งอารมณ์
เวทนามี ๓ ก็จริง
แต่ในทางปฏิบัติ เราจะพบว่า อาการที่ปรากฏที่จะเจริญสติดูเวทนาได้ง่ายหน่อย ก็คือ สุขและทุกข์
ดูเวทนาจึงไม่ใช่ดูเฉพาะความเจ็บปวดที่เป็นทุกข์ทางกายเท่านั้น
เพียงแค่ส่วนมาก เวลาสุขก็มักจะเพลิน ลืมดู
เวทนาที่เป็นทุกข์จึงทำให้มีสติง่ายกว่า
สภาวะทุกอย่างแสดงไตรลักษณ์อยู่เสมอ แต่จิตที่ไม่มีสติปัญญามากพอ ก็จะมองไม่เห็น
สุขและทุกข์ ก็เป็นสภาวะที่เป็นเวทนา ก็ย่อมแสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
เช่น เจ็บปวดนิดหน่อย แล้วค่อย ๆ เจ็บปวดมากขึ้น นี่ก็แสดงไตรลักษณ์แล้ว
หรือเจ็บปวดมาก แล้วระดับความเจ็บปวดลดลง นี่ก็แสดงไตรลักษณ์แล้วเช่นกัน
และไม่ได้หมายความว่า ..เมื่อมีสติรู้เวทนาความเจ็บปวดแล้ว เวทนาความเจ็บปวดจะหายไป ..ไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะเวทนาความเจ็บปวดไม่ใช่กิเลส แต่เป็นวิบากที่เกิดจากผัสสะ
จะให้เวทนาความเจ็บปวดหาย ก็ต้องไปแก้ที่เหตุ
เช่น หลีกเลี่ยงผัสสะนั้น หรือไปหาหมอ เป็นต้น
แต่ถ้ามีเวทนาความเจ็บปวด แล้วจิตใจกระวนกระวาย หงุดหงิด มีโทสะ
ถ้ามีสติเห็นความกระวนกระวาย เห็นความหงุดหงิด หรือเห็นโทสะ
ความกระวนกระวาย ความหงุดหงิด หรือโทสะนั้น จึงจะดับ
ถ้ามองในแง่ชีวิต ที่มีส่วนประกอบ ๕ อย่าง ที่เรียกกันว่า ขันธ์ ๕
เวทนาทั้งหลายก็เป็นส่วนประกอบขันธ์หนึ่งในฝ่ายนามธรรม
ขณะที่เราเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราก็ดูเวทนาที่เป็นขันธ์นี่แหละ
ตอนที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน เมื่อกระทบอารมณ์แล้ว ก็เป็น “เราสุข” “เราทุกข์”
– เมื่อกระทบอารมณ์แล้วเราสุข ก็ชอบ มีตัณหา อยากเสวยอารมณ์นั้นอีก
– เมื่อกระทบอารมณ์แล้วเราทุกข์ ก็ไม่ชอบ มีตัณหา อยากเสวยอารมณ์อื่น หรือไม่ก็มีตัณหา
อยากพ้นไปจากอารมณ์นั้น
แต่ขณะที่มีสติ จะเห็น “ความสุข” “ความทุกข์” คือเห็นเป็นสภาวะ
ทั้งความสุขและความทุกข์ ก็เป็นเพียงสิ่งๆหนึ่ง ให้สติไปรู้
รู้ครั้งแรก ๆ จิตก็จำ ซึ่งการจำนี้ สัญญาก็ทำหน้าที่เอง
รู้เวทนาบ่อย ๆ สัญญาก็ทำหน้าที่บ่อย ๆ จิตก็จำได้แม่นขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ที่จะเจริญสติเห็นเวทนาได้ผลดี ควรเป็นผู้ที่มี “ตัณหาจริต – ปัญญากล้า” ด้วย
อย่างไรก็ตาม ขอให้สังเกตพุทธพจน์ในตอนท้ายของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีข้อความว่า
“…อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่.”
คือ มีเวทนาอะไรก็ได้ ก็รู้ไปตามนั้น
ไม่ใช่รู้ทุกข์เพื่อเปลี่ยนให้เป็นสุข
มีทุกข์ ก็รู้ไปซื่อ ๆ
แต่ถ้าขัดใจ อยากให้ทุกข์หายไป แสดงว่ามีตัณหา ก็ให้รู้ทันตัณหาที่เกิด
มีสุข ก็รู้ไปซื่อ ๆ
แต่ถ้าติดใจ อยากให้สุขนาน ๆ ก็แสดงว่ามีตัณหาเช่นกัน ก็ให้รู้ทันตัณหานั้นด้วย
พระอรหันต์รับรู้ และเสวยอารมณ์ทั้งหลายด้วยจิตที่เป็นอิสระ เพราะมีปัญญารู้เท่าทันธรรมชาติของมัน
การมีเวทนาแต่ละครั้งจึงไม่มีกิเลสมาครอบงำ
ไม่มีตัณหาทั้งในแง่บวกและแง่ลบ
คือ ไม่ยินดี – ไม่ยินร้าย ไม่ติดใจ – ไม่ขัดใจ
จึงไม่ปรุงแต่งภพใด ๆ ขึ้นมาอีก
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 13 สิงหาคม 2559