ถาม : เราจะมีอุบายวิธีพิจารณาให้เห็น
โทษของกามได้อย่างไรบ้าง ? ที่นอกจากการตามรู้ตามดูครับ
ตอบ : กาม คือความใคร่ ความอยาก สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่
กามมี ๒ คือ
๑. กิเลสกาม แปลว่า กิเลสที่ทำให้ใคร่
๒. วัตถุกาม แปลว่า วัตถุอันน่าใคร่
กามก็มีคุณเหมือนกันนะ
ที่เรียกกันว่า “กามคุณ ๕”
คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าพอใจ
กามให้คุณ คือให้ความสุข
ที่เรียกกันว่า “กามสุข”
แต่ความสุขทั้งหลายไม่ได้มีเพียงกาม
กามสุขเป็นสุขที่หยาบที่สุด
ยังมีสุขที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป อีกหลายระดับ
ว่าโดยคร่าว ๆ ก็คือ
๑. สุขชั้นกาม ที่เรียกว่า “กามสุข”
๒. สุขชั้นพรหม เรียกว่า “ฌานสุข”
๓. สุขชั้นโลกุตระ เรียกว่า “นิพพานสุข”
ชั้นแรก เมื่อทราบว่า ยังมีสุขที่ประณีตยิ่งกว่า
เราก็จะขวนขวายแสวงหาสุขที่ยิ่งกว่านั้น
เมื่อได้สัมผัสสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นกับตัวบ้าง
ก็จะเห็นโทษของสุขที่หยาบ ๆ ได้ง่ายขึ้น
โทษของกาม มองได้ ๓ มุม คือ
๑. มุมที่มองมาที่ผู้บริโภคกาม
โดยเฉพาะมองมาที่กระบวนการก่อทุกข์ในใจ
คือมองที่กิเลสกาม
เพราะไม่รู้เท่าทัน เผลอพอใจ – ไม่พอใจ
รับรู้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ แล้วสร้างตัณหาขึ้นมา
สั่งสมจนเคยชิน
พอได้สนองตัณหา ก็ติดใจ
รู้สึกว่ามีความสุข
ถ้าไม่ได้ ก็ขัดใจ
ดิ้นรนตะเกียกตะกาย เพื่อให้ได้มา
บ่นรำพึงถึงสิ่งที่เคยมีเคยได้ในอดีต
ครุ่นคำนึงฝันถึงสิ่งที่ปรารถนาในอนาคต
ไม่มีสติรู้สภาวะจริง ๆ ที่เป็นไปในปัจจุบัน
ไม่มีปัญญาเท่าทันความเป็นจริงที่ปรากฏ
แต่ถ้ามีสติปัญญา มองมาดี ๆ
จะรู้ว่า
แค่เพียงมีกามตัณหา ใจก็ทุกข์ขึ้นมาทันทีแล้ว
และยังเป็นปัจจัยให้วงจรปฏิจจสมุปบาท หมุนวนต่อไป ไม่สิ้นสุด
เรียกว่า สั่งสมความพร้อมที่จะทุกข์
๒. มุมที่มองไปที่ตัวกาม ที่เราแสวงหา
คือมองไปที่วัตถุกาม
เราแสวงหาวัตถุกาม ก็หวังจะได้รสของกาม
หวังจะได้ความพึงพอใจจากการเสพ
แต่ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นข้อบกพร่องอยู่มาก
คือมีความสุขให้ชื่นใจนิดเดียว
แต่ให้ทุกข์ให้โทษมากเหลือเกิน
ท่านให้ข้อเปรียบเทียบไว้มากมาย เช่น
– เหมือนสุนัขที่อ่อนเพลียและหิวโหย
มีคนโยนกระดูกเปื้อนเลือดให้
ก็แทะไปจนเหนื่อยอ่อน
ปริมาณก็ไม่เต็มอิ่ม
อร่อยก็ไม่เต็มอยาก
– เหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งกาโฉบมาได้
แร้งกาตัวอื่นเห็น ก็โผเข้ามาแย่ง
รุมจิกตีกัน เพื่อแย่งชิ้นเนื้อนั้น
หมายความว่า กามเป็นของที่คนทั่วไปหมายปอง
เราไม่มีสิทธิ์ขาด
ผู้อื่นแย่งชิงได้
เป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียน ทำร้าย
และทำลายชีวิตกัน
– เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า ที่ถือเดินทวนลม
ก็ได้อาศัยความสว่างบ้าง
แต่ควันไฟที่ลอยมา ก็ทำให้แสบตาแสบจมูก
ถ้าถือไว้ ไม่ปล่อยวาง
ไม่ช้า ไฟก็จะลามมาไหม้มือ
ยังมีข้อเปรียบเทียบอีกมาก
ขอยกมาเป็นตัวอย่างแค่นี้ก่อน
โดยสรุปก็คือ
กามนำสุขมาให้ชั่วครู่
แต่นำทุกข์มาฝังติดอยู่ในใจแสนนาน
คิดถึงสุขที่ผ่านไปในวันวาน
ก็ให้รู้สึกทรมานเสียดายอาลัยอาวรณ์
๓. มุมที่มองด้านความสัมพันธ์ในสังคม
เริ่มตั้งแต่ต้องทนทุกข์ยากในการหางานทำเลี้ยงชีพ
สั่งสมวัตถุเงินทอง
ต้องทนแดดทนฝน ทนหนาวทนร้อน
เหนื่อยยากพากเพียร
ปวดเศียรเวียนเกล้ากับเจ้านายและลูกน้อง
บางทีไม่ทันได้มีกามเต็มตามหวัง ก็ตายไปเสียก่อน
ที่ได้มาบ้าง ก็ลุ่มหลง ตกเป็นทาสมัน
ยกเอาวัตถุกามมาเหยียดหยามกัน
บ้างก็ทะเลาะวิวาทแย่งชิงกามกันก็มากมาย
ที่เข่นฆ่ากันถึงตายก็มากมี
เพื่อนทะเลาะกับเพื่อน
พี่ทะเลาะกับน้อง
ลูกทะเลาะกับพ่อแม่
ญาติทะเลาะกับญาติ
ทะเลาะวิวาทกันถึงระดับชาติระดับโลก
ทำสงครามทำลายชาติบ้านเมืองกัน
ก็ด้วยเหตุแห่งกาม
ถ้ามาฝึกทำฌาน
สุขจากฌานจะประณีตกว่าสุขจากกาม
ท่านเปรียบกามสุขเหมือนสุขของเด็กทารก
ที่เล่นสนุกแม้กับอุจจาระและปัสสาวะของตนเอง
แต่ถ้าทำฌานได้
ก็เหมือนกับเด็กนั้นเติบโตขึ้นมา รู้เดียงสา
ที่สนใจของเล่นใหม่ ๆ
สนุกกับการเล่นตุ๊กตา เล่นรถเด็กเล่น
เล่นหกคะเมน เล่นเกม เล่นกีฬา ฯลฯ
ก็จะยินดีในสุขที่ประณีตกว่า
แต่ก็ยังประมาทไม่ได้
เพราะฌาน ยังอยู่ในระดับโลกิยะ
คือยังเสื่อมได้
และกามนี่แหละ ที่ทำให้เสื่อม
ต้องพัฒนาตน จนสัมผัสสุขในขั้นโลกุตระบ้าง
จึงจะพอวางใจได้
วิธีพัฒนาตน ที่ครูบาอาจารย์ท่านสรุปไว้ให้ ก็คือ
“มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง”
เมื่อพัฒนาตนจนมีปัญญา
มีโลกุตระสุขเต็มภูมิแล้ว
ก็จะไม่วกเวียนกลับมาหากามอีก
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๙