ถาม : คำว่า “กลาปะ” หมายถึงอะไร ? แล้วเราจะยืนยันได้อย่างไรว่า
เราภาวนาจนเห็นกลาปะ ?
ตอบ : กลาปะ มาจากภาษาบาลี บางทีคนไทยก็เขียนว่า “กลาป” [อ่านว่า กะ – หลาบ]
หมายถึง กลุ่ม ก้อน กอง หมวด หน่วยรวม
เมื่อพูดถึงรูปธรรม ในทางพระอภิธรรม กลาป จะหมายถึงหน่วยรวมของรูป
มีคำเต็มว่า “รูปกลาป”
รูปเป็นปรมัตถธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ และสังขารธรรม คือมีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น
รูป ๆ หนึ่งอาศัยรูปอื่นเกิดขึ้น
จะมีรูปเกิดขึ้นเพียงรูปเดียวไม่ได้
ต้องมีรูปที่เกิดพร้อมกัน และอาศัยกันเกิดขึ้นหลายรูปรวมกันเป็น ๑ กลุ่มเล็ก ๆ
ซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้เลย
กลุ่มเล็ก ๆ ที่ว่านี้ ภาษาบาลีเรียกว่า ๑ กลาป
รูปกลาปที่ละเอียดที่สุด เล็กที่สุด จะประกอบด้วยรูปอย่างน้อย ๘ อย่าง คือ
ปฐวี (ดิน), อาโป (น้ำ), เตโช (ไฟ), วาโย (ลม),
วัณณะ (สี), คันธะ (กลิ่น), รสะ (รส) และ โอชา (รสอาหารที่ซึมซาบ เป็นปัจจัยให้เกิดรูป)
หมายความว่า องค์ประกอบทั้ง ๘ นี้ จะมีอยู่ในทุกกลุ่มรูป
ถ้าไม่มีองค์ประกอบอื่นร่วม ก็เป็นหน่วยรวมหมวด ๘ ล้วนเรียกว่า “สุทธัฏฐกกลาป”
(บางกลาปก็มี ๙ รูป บางกลาปมี ๑๐ รูปบางกลาปมี ๑๑, ๑๒, ๑๓ รูป
ขึ้นอยู่กับกลุ่มของรูปนั้นเกิดจากสมุฏฐานใด –เริ่มยากแล้ว ! )
ธาตุดิน น้ำ ไฟ และ ลม เป็นรูปธรรมที่เกิดพร้อมกัน และเกิดร่วมกันเสมอ
คือ ไม่ว่าจะมีรูปธรรมปรากฏอยู่ที่ใด ก็จะมาครบทั้งชุด
เพียงแต่ว่า ในแต่ละรูป จะมีธาตุใดธาตุหนึ่งยิ่งหรือหย่อนกว่ากันบ้าง
เช่น ธาตุดินที่แข็ง อยู่กับธาตุน้ำที่เกาะกุม กับธาตุไฟที่เย็น และกับธาตุลมที่เคร่งตึง
ธาตุดินที่อ่อน อยู่กับธาตุน้ำที่ไหล กับธาตุไฟที่ร้อน และกับธาตุลมที่ไหว
ส่วนสี กลิ่น รส และโอชา ก็เป็นธรรมดาที่จะมีอยู่กับรูปทุกรูปเสมอด้วย
ตัวอย่างเช่น เลือด
มีธาตุดิน แม้มีน้อย แต่ก็สัมผัสได้ รู้สึกได้ถึงความอ่อน ๆ ไม่แข็ง
มีธาตุน้ำ เพราะมีความเกาะกุมกันอยู่
มีธาตุไฟ อุ่น ๆ สามารถวัดอุณหภูมิได้
มีธาตุลม สูบฉีด ไหลไป
มีสี แดง
มีกลิ่น คาว ๆ
มีรส เค็มปะแล่ม ๆ
มีโอชา เป็นสารอาหารต่าง ๆ
แต่ “กลาป” อย่างนี้… ดูยาก !
ต้องทรงสมาธิ ทรงฌานจริง ๆ จึงจะมาเห็น “กลาป” แสดงไตรลักษณ์
คนฟุ้งซ่าน (รวมทั้งพระฟุ้งซ่าน – อย่างอาตมา) ดูไม่เห็นหรอก ได้แต่คิดเอา
แต่มี “กลาป” อีกอย่างหนึ่ง… พอทำได้
เรียกว่า “กลาปในการเจริญวิปัสสนา”
น่าสนใจกว่า (สำหรับอาตมา)
ในการเจริญวิปัสสนา การพิจารณาโดยกลาป คือ พิจารณาธรรมอย่างรวม ๆ หรือเหมารวม
โดยรวมเป็นหมวด หรือรวบทั้งกลุ่ม
เช่นว่า กายนี้เป็นทุกข์ (ซึ่งง่ายกว่าการพิจารณาโดยองค์แบบรูปกลาป)
กายยืนเกิดแล้วดับ กายนั่งเกิดแล้วดับ
นั่งอยู่ก็ทุกข์ เดินอยู่ก็ทุกข์
หายใจเข้าก็ทุกข์ หายใจออกก็ทุกข์
มีทุกข์บีบคั้นอยู่ทุุกลมหายใจเข้าออก
ถ้าดูอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปดูรูปกลาป
แต่มาพิจารณาอย่างที่เรียกว่า กลาปวิปัสสนา
ผู้ที่เข้าฌานได้ ก็มาพิจารณา..
เข้าฌานแล้วก็ต้องออก ฌานไม่มีแล้วก็มีขึ้น มีแล้วก็ไม่มี (ซึ่งง่ายกว่าการพิจารณาโดยองค์ฌานตามลำดับข้อ)
เป็นต้น
ผู้ที่ทำฌานไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
ก็พิจารณา..
ดูทุกข์ในกายธรรมดา ๆ นี่แหละ
หรือจะดูนามธรรมก็ง่ายขึ้น
ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ก็ดูไป
ความสุขที่มี เดี๋ยวก็หายไป
ความทุกข์ที่มี เดี๋ยวก็หายไป
กุศล – อกุศล ก็เกิดดับเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวก็รู้
ทั้งเผลอทั้งรู้.. ไม่เที่ยงทั้งหมดเลย !
พิจารณารวบไปเลยอย่างนี้ ไม่เครียดดีนะ
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙