ถาม : ความหมายของ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ..
ผมสงสัยว่า วิหิงสาวิตก จัดอยู่ใน โมหะ หรือ โทสะ กันแน่ ?
ตอบ : นี้เป็นเรื่องของ “อกุศลวิตก”
อกุศลวิตก คือ ความตรึกที่เป็นอกุศล หรือความนึกคิดที่ไม่ดี
มี ๓ ได้แก่
๑. กามวิตก คือ ความตรึกในทางกาม ความนึกคิดในทางแส่หาหรือพัวพันติดข้องในสิ่งสนองความอยาก
๒. พยาบาทวิตก คือ ความตรึกในทางพยาบาท ความนึกคิดที่ประกอบด้วยความขัดเคืองเพ่งมองในแง่ร้าย
๓. วิหิงสาวิตก คือ ความตรึกในทางเบียดเบียน ความนึกคิดในทางทำลาย ทำร้ายหรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
อกุศลวิตกเหล่านี้ เทียบได้กับ มิจฉาสังกัปปะ – ความดำริผิด
ตามปกติของปุถุชนคนธรรมดาโดยทั่วไป เวลาจะนึกคิดอะไร ก็มักจะเป็นไปเพื่อสนองกิเลสแง่ใดแง่หนึ่ง
คิดอยากได้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่น่าพอใจ มาบำเรอตน
เป็นความคิดที่เกิดจากความถูกใจ ชอบใจ ก็กลายเป็น – กามวิตก
อย่างนี้เทียบได้ง่ายว่า สนองกิเลสฝ่ายโลภะ (หรือราคะก็ได้)
เกิดความขัดใจ ไม่ชอบใจ เคียดแค้น ชิงชัง
คิดทำร้าย มองเขาเป็นศัตรู ไม่ต้องการให้เขามีความสุข ก็กลายเป็น – พยาบาทวิตก
อย่างนี้เทียบได้ง่ายว่า สนองกิเลสฝ่ายโทสะ
แต่พอคิดเบียดเบียน หรือคิดก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ที่เป็นวิหิงสาวิตกนั้น
อย่างนี้ไม่ใช่ลำพังโทสะ แต่มีโมหะเป็นตัวนำ หรือบางทีก็มีอกุศลตัวอื่นอีก เช่น
– นาย ป. อยู่ว่าง ๆ คิดว่า ‘ไปตกปลาเล่นดีกว่า’
ขณะที่คิด ไม่ได้โกรธปลา แต่คิดเบียดเบียนปลา
ขณะเลือกมุมที่จะนั่ง ขณะนั่งหยิบเหยื่อ ขณะนั่งรอ ก็อาจจะไม่เกิดโทสะเลย
อาจจะนั่งผิวปากอย่างสบายใจไปด้วยซ้ำ
อันนี้ “โมหะ” เป็นตัวนำ เข้าใจว่าไม่เป็นไร ไม่บาป
– ราชาเมือง อ. เป็นเมืองมหาอำนาจ อยากให้โลกรับรู้ว่า ข้าฯ ยิ่งใหญ่
คิดว่า ‘จะไปขยายอาณาเขต โดยไปยึดเมือง ซ.’
ขณะที่คิด ไม่ได้โกรธราชาเมือง ซ. แต่ก็คิดเบียดเบียนรุกรานเมือง ซ.
ขณะวางแผน จะวางกำลังตรงนั้นตรงนี้ มีแผนลวงอย่างนั้นอย่างนี้ ก็อาจจะไม่เกิดโทสะเลย
อาจจะนั่งรวมหัวอยู่กับลิ่วล้อ แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างกระหยิ่มใจกับชัยชนะที่กำลังจะมาถึง
อันนี้ “มานะ” เป็นตัวเด่น คือ อยากเป็นใหญ่
ความแตกต่างที่น่าจะชัดเจนขึ้น ก็มาดูที่ธรรมที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม คือ
พยาบาทวิตก ตรงข้ามกับ เมตตา
วิหิงสาวิตก ตรงข้ามกับ กรุณา
และมีข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พยาบาทวิตก กับ วิหิงสาวิตก อีกอย่างหนึ่งว่า
วิหิงสาวิตก เป็นความนึกคิดในฝ่ายจะไปกระทบ คือเริ่มก่อน ไม่ว่าจะโดยโทสะ โมหะ ฯลฯ ก็ตาม
พยาบาทวิตก เป็นความนึกคิดในฝ่ายถูกกระทบ เช่น
– นาย ป. อยู่ว่าง ๆ คิดว่า ‘ไปตกปลาเล่นดีกว่า’
(ตอนนี้นาย ป. มีวิหิงสาวิตก – คิดเบียดเบียนเขาก่อน)
ก็ไปตกปลา ปลาติดเบ็ด ดิ้นไปมา (ปลาถูกเบียดเบียน)
ปลาทราบว่า นาย ป. เป็นผู้ทำร้ายตน ปลามีความแค้นใจ ตั้งใจไว้ว่า
‘ไม่ว่าจะเกิดอีกเมื่อไร จะขอเอาคืนด้วยชีวิตให้สาสม’
(ตอนนี้ปลามีพยาบาทวิตก – คิดพยาบาท)
– ราชาเมือง อ. เป็นเมืองมหาอำนาจ คิดว่า ‘จะไปขยายอาณาเขต โดยไปยึดเมือง ซ.’
(ตอนนี้ราชาเมือง อ. มีวิหิงสาวิตก – คิดเบียดเบียนเขาก่อน)
ขณะยกทัพเข้าไปข่มเหงเมือง ซ. ประชาชนชาวเมือง ซ. เดือดร้อน ถูกเบียดเบียน
ประชาชนชาวเมือง ซ. ก็คิดสาปแช่งราชาเมือง อ.
‘ขอให้เจ้า อ. จงพินาศ จงฉิบหายไป’
(ตอนนี้ประชาชนชาวเมือง ซ. มีพยาบาทวิตก – คิดพยาบาท)
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้ถูกเบียดเบียนก่อนดูจะน่าเห็นใจมาก
และนี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เราทั้งหลายไม่พ้นจากการเวียนเกิดเวียนตายไปได้
ความน่ากลัวอยู่ตรงที่..
ในสังสารวัฏ เราก็ไม่อาจทราบได้ว่าใครเริ่มเบียดเบียนใครก่อน ตั้งแต่ชาติไหน
ชาตินี้มาพบคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว อย่าให้ความคิดผิด ๆ เหล่านี้ หลอกเราได้อีก
มีสติสัมปชัญญะ
ไม่ปล่อยให้ความนึกคิดแล่นไปตามความรู้สึกชอบใจ – ไม่ชอบใจ
ไม่ปล่อยให้ความนึกคิดแล่นไปตามเหตุผลที่เอนเอียง หรือจากทัศนคติที่บิดเบือน
ความชอบใจ – ไม่ชอบใจ เกิดเมื่อไร ให้รู้ทัน
ถ้าใจยังไม่ปลอดโปร่ง ไม่เป็นอิสระจากความชอบใจ – ไม่ชอบใจ ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อความคิดจากใจอย่างนั้น
แยกแยะให้ได้ว่า ความคิดนี้ เป็นกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก
ให้รู้ตามที่มันเป็น
ไม่ให้อกุศลวิตกเหล่านี้ครอบงำใจ
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 26 กันยายน 2559