ถาม : ทำอย่างไรที่เราจะพอมั่นใจในความดีที่เราทำแล้วมากพอที่จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าที่ผ่าน ๆ มาในชีวิตนั้น
เคยใช้ชีวิตอย่างขาดปัญญามาก่อน ?
ตอบ : อ่านคำถามแล้ว นึกถึงบทสวดมนต์บทหนึ่ง
คือบท “อริยธนคาถา”
ขอยกพุทธพจน์นี้มาให้พิจารณากัน
ยสฺส สทฺธา ตถาคเต อจลา สุปติฏฺฐิตา
ศรัทธาในพระตถาคตของผู้ใดตั้งมั่นอย่างดีไม่หวั่นไหว
สีลญฺจ ยสฺส กลฺยานํ อริยกนฺตํ ปสํสิตํ
ศีลของผู้ใดงดงาม, เป็นที่สรรเสริญที่พอใจของพระอริยเจ้า
สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ
ความเลื่อมใสของผู้ใดมีในพระสงฆ์
อุชุภูตญฺจ ทสฺสนํ
ความเห็นของผู้ใดตรง
อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า บุคคลนั้นไม่ใช่คนจน (เป็นคนมั่งมี)
อโมฆนฺตสฺส ชีวิตํ
ความเป็นอยู่ของบุคคลนั้นไม่เป็นโมฆะ (คือไม่ไร้ประโยชน์)
ตสฺมา สทฺธญฺจ สีลญฺจ ปสาทํ ธมฺมทสฺสนํ
อนุยุญฺเชถ เมธาวี สรํ พุทฺธาน สาสนนฺติ
เพราะฉะนั้น เมื่อระลึกได้ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่
ผู้มีปัญญาควรสร้างศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรมให้เนือง ๆ
…
คาถานี้ พระองค์ตรัสถึงคุณธรรม ๔ ประการ คือ
๑. ศรัทธาในพระพุทธเจ้า และเป็นศรัทธาชนิดที่ตั้งมั่นด้วย
๒. ศีลที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ
๓. เลื่อมใสพระสงฆ์ (ที่ประกอบด้วยสังฆคุณ)
๔. มีความเห็นตรง
เมื่อศรัทธาในพระพุทธเจ้า คือศรัทธาในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
พระองค์สั่งสมบารมีทั้งหลายด้วยพระองค์เอง
ไม่ได้อ้อนวอนขอจากเทพเจ้าที่ไหน
เมื่อบารมีสมบูรณ์ ตรัสรู้แล้ว ก็มาบอกวิธีพัฒนาจิตใจให้กับชาวโลกทั้งหลายด้วย
เมื่อศรัทธาว่าพระองค์ตรัสรู้จริง ก็มีแรงบันดาลใจที่จะปฏิบัติตาม
สำหรับข้อ ๔ พระองค์ได้ตรัสสรุปให้ชัดขึ้นอีกว่า หมายถึง “เห็นธรรม”
แรก ๆ ที่เราหัดเจริญสติ
เราก็เห็นธรรมในระดับ “สภาวธรรม”
คือเห็นรูป เห็นนาม เห็นกาย เห็นใจ เห็นกิเลสไป
เห็นมากเข้า ก็จะเห็นธรรมในระดับความเข้าใจ
คือเข้าใจความเป็น “ธรรมดา” ของสิ่งที่เห็นมาในตอนแรก ๆ
ความเข้าใจอย่างนี้ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า มี “ปัญญา”
ถ้ามีปัญญาเห็นธรรมดาของกายใจนี้ว่าไม่มีเรา จะมีสำนวนเรียกผู้นั้นว่า มี “ดวงตาเห็นธรรม”
ถ้าจะให้มั่นใจในคุณธรรมความดีของตนเอง
ถึงขั้นที่ว่า จะตายเมื่อไหร่ก็ได้
ก็พึงระลึกถึงพระพุทธพจน์นี้
แล้วเจริญธรรม ๔ ประการ ดังที่ได้กล่าวมา
ชาตินี้ก็ไม่ไร้ค่าแน่นอน
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๙