ถาม : บุญที่ยินดีทำเองกับฝืนใจทำ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : มันขึ้นอยู่กับว่า บุญที่ทำนั้นทำอะไร ? ตรงทางแค่ไหน ?
บุญ คือ ความดี ความประพฤติชอบทางกายวาจาและใจ มีวิธีทำได้หลายทาง
แบ่งแบบง่าย ๆ เป็น ๓ ทาง คือ
๑. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้
๒. สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา
คนไทยได้ยินคำว่าบุญ ก็มักจะนึกถึงเพียงเรื่องทาน – การให้ และที่ถามมา ก็คงเป็นเรื่องนี้
หากบุญที่ทำนั้นตรงทาง.. ก็เป็นเรื่องดี และถ้าเต็มใจทําเอง ก็ยิ่งดี
หากเป็นบุญตรงทาง.. แต่ยังไม่อยากทำ ต้องมีคนอื่นมาชวนให้ทำ แม้จะฝืนใจทำ.. มันก็ยังดี แต่อานิสงส์ของความดีมันก็ไม่มากเท่ากับความดีที่ยินดีทำเอง
แต่ไม่ได้หมายความว่า.. ฝืนใจทำดีแล้วไม่ดีนะ คือความดีที่ได้ แม้จะไม่มากเท่าความดีที่ยินดีทำเอง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ
แต่ถ้าคิดว่าเป็นบุญ แต่ความจริงมันไม่ใช่บุญ (อาจจะเป็นเพราะเข้าใจผิด หรือมีมิจฉาทิฐิ) แม้จะเต็มใจทำ ก็ไม่ค่อยดี อย่างเช่น ทำทานกับอลัชชี กรณีอย่างนี้ การทำแบบฝืน ๆ ทำ
เพื่อนชวนมาทำก็ไป ก็ดีกว่าเต็มใจทำ
ก็ต้องแยกให้ออกว่าทำบุญอะไร ? แบบไหน ?
อย่าลืมว่า บุญ.. ทำได้ ๓ แบบ
ถ้าจะทำทาน ก็ควรระลึกในแง่ที่ว่า ทำเพื่อขัดเกลากิเลส ทำเพื่อลดความตระหนี่ สละความเห็นแก่ตัว แม้จะฝืนใจ แต่ถ้าระลึกได้อย่างนี้ก็ย่อมดีอยู่แล้ว
ถ้าจะรักษาศีล หากระลึกได้ถึงกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ แล้วรักษาความประพฤติทางกายวาจาไว้ได้ ก็ได้บุญมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ได้ทั้งเจริญสติและรักษาศีล แม้กิเลสจะยังไม่ดับ
แต่ก็ฝืนใจเพื่อไม่ให้ผิดศีล ก็ยังนับว่าดี
ถ้าจะเจริญภาวนา ก็ควรทำให้ครบทั้งสมถะและวิปัสสนา ทำสมถะได้ก็ทำไปก่อน ถ้าทำสมถะยังไม่ได้ก็ทำวิปัสสนาไปก่อน ไม่ต้องรอ ดูกิเลสไปเลย มีที่อยู่ของใจไว้สักที่หนึ่ง
พอเผลอไป ก็รู้ทันความเผลอ พอไม่อยากเผลอ.. ไปเพ่งเอาไว้ ก็รู้ทันความเพ่ง รู้ทันสภาวะ
ทั้งที่ดีและไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ดี รู้ไป จนสภาวะทั้งหลายสอนใจว่า ที่ปรากฏทั้งหมดนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ภาวนามาตั้งนาน ไม่เห็นความก้าวหน้า แต่ก็ฝืนทำอยู่ ก็ยังดีกว่าท้อถอย จนเลิกภาวนา
แรก ๆ อาจจะผืนทำ ทำบ่อย ๆ ก็ติดเป็นนิสัย กลายเป็นทำไปอย่างอัตโนมัติ ทำจนจิตยินดีทำเองนั่นแหละ
๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐