ให้ธรรมะกับอภัย

ถาม : ระหว่างให้ธรรมะเป็นทาน กับอภัยทาน สิ่งไหนที่สูงสุดคะ ?

ตอบ : เท่าที่ทราบ มีแต่ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “การให้ธรรมชนะการให้ทั้งปวง” โดยมีหลักฐานเป็นพุทธพจน์ในธรรมบทว่า

สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ.

ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง

ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง.

แต่สำหรับ “อภัยทาน” อาตมายังไม่พบว่ามีพุทธพจน์ตรัสยกย่องว่าเป็นทานสูงสุดเลย จะมีก็เพียงคำของพระอรรถกถาจารย์ ที่อธิบาย “ทานสูตร” ในคัมภีร์อิติวุตตกะ

ซึ่งในพระสูตร ตรัสแสดงทาน ๒ อย่าง คือ อามิสทาน และธรรมทาน แล้วทรงชี้ว่า ในบรรดาทาน ๒ อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ

แล้วพระอรรถกถาจารย์ก็อธิบายว่า “ในอธิการนี้ อภัยทานพึงทราบว่า ทรงสงเคราะห์เข้ากันด้วยธรรมทานนั่นเอง”

ตามหลักฐานเท่าที่มี อภัยทานจึงยังไม่ใช่ว่าจะชนะหรือเหนือกว่าธรรมทาน เป็นแต่เพียงอยู่กลุ่มเดียวกัน คือเป็นทานที่ไม่มีอามิสด้วยกัน

ทีนี้ก็มาวิเคราะห์กันต่อ

ทาน แปลว่า การให้ ก็มีทั้งให้สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม

อามิสทาน แปลว่า การให้สิ่งของ อามิส ในที่นี้หมายถึงสิ่งของ

ธรรมทานและอภัยทานจัดอยู่ในส่วนที่ให้นามธรรม ธรรมทาน แปลว่า การให้ธรรม, การให้ความรู้และแนะนำสั่งสอน อภัยทาน แปลว่า ให้ความไม่มีภัย

ในแง่คุณสมบัติของผู้ให้

ผู้ที่จะทำอามิสทาน ก็ต้องมีอามิส เช่น เงินทองทรัพย์สมบัติเป็นของตนเองเสียก่อน จึงจะทำอามิสทานได้

ผู้ที่จะทำอภัยทาน ก็ต้องมีความไม่มีภัย คือผู้ให้อภัยทานจะไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้รับ ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา หรือใจ อภัยทานในอีกนัยหนึ่งจึงหมายถึงความไม่โกรธ

ผู้ที่จะทำธรรมทาน ก็ต้องมีธรรมเสียก่อนจึงจะทำธรรมทานได้ คือต้องเข้าใจหายสงสัยในธรรมนั้น ๆ ด้วยปัญญาตนเองเสียก่อน จึงจะไปบอกสอนผู้อื่นได้

พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พ้นทุกข์แล้ว จึงตรัสสอนเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์ตามได้ อย่างนี้เรียกว่า ธรรมทาน

พระสาวกทั้งหลายศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จนมีปัญญารู้ธรรม แล้วก็บอกต่อ ไม่ว่าจะในรูปแบบแสดงธรรม สนทนาธรรม หรือเขียนหนังสือ อย่างนี้ก็เรียกว่า ธรรมทาน

เหล่าเดียรถีย์ที่มีมิจฉาทิฐิ สอนสิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็นทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ การสอนนั้นไม่ชื่อว่าธรรมทาน เพราะยังไม่มีธรรม ยังไม่รู้ธรรม ทำได้เพียงเผยแพร่ความเห็น (ที่เป็นมิจฉาทิฐิ)
สิ่งที่ให้ก็เป็น “อธรรม”

สำหรับอภัยทาน
สิ่งที่ “ผู้รับ” ได้รับ คือ ความไม่มีภัย

อานิสงส์ที่ “ผู้ให้” ได้ คือ มีศีล ได้ฝึกจิตให้ไม่โกรธ ซึ่งอาจจะต่อเนื่องมาเจริญเมตตา และทำฌานได้

สำหรับธรรมทาน
สิ่งที่ “ผู้รับ” ได้รับ คือ ปัญญา ถ้าในขั้นสูงสุดก็ได้ถึงขั้นอรหัตตผล

อานิสงส์ที่ “ผู้ให้” ได้ คือ ได้รักษาพระศาสนา แม้ผู้แสดงธรรมนั้นยังไม่บรรลุมรรคผลขั้นสูงสุด ก็มีปรากฏอยู่ว่าบรรลุอรหัตตผลได้ในระหว่างแสดงธรรมนั้น

ยิ่งเมื่อพิจารณาว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว การให้อภัยทานย่อมเป็นไปเอง เพราะจิตปราศจากกิเลสอันเป็นเหตุที่จะสร้างภัยใกล้กับผู้ใด

แต่ถ้าพระพุทธองค์ไม่ให้ธรรมทาน ให้แต่อภัยทานประการเดียว พระพุทธศาสนาก็ไม่เกิดมีขึ้น ผู้ที่จะบรรลุมรรคผลก็มีไม่ได้

แม้ผู้ที่ยังไม่บรรลุมรรคผล เพราะอาศัยการฟังธรรม จึงรู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ กุศลต่าง ๆ ทั้งอามิสทานและอภัยทาน ย่อมเจริญขึ้นตามลำดับ

ถึงตรงนี้จึงชัดเจนว่า ธรรมทานเป็นเลิศกว่าทานทั้งหลาย สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง”

๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๐