#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๒๒๑ #การเจริญสติกับโรคซึมเศร้า ?? #ถาม: การเจริญสติอยู่เป็นประจำ​ จะป้องกันโรคซึมเศร้าได้ใช่ไหม? และ​ คนที่เป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว..ถ้ามาฝึกการเจริญสติจะหายไหมครับ? #ตอบ: อันนี้​ขอ​อ้างงานวิจัยของฝรั่งสักหน่อย​ บางทีเดี๋ยวนี้คนเราชอบอ้างอิงฝรั่ง​ งานวิจัยของฝรั่งบอกว่า ๑.การเจริญสติ ป้องกันและรักษาโรคซึมเศร้าได้ ๒.การเจริญสมาธิเป็นกิจวัตร ป้องกันและรักษาโรคซึมเศร้าได้ ๓.คนเป็นโรคซึมเศร้าแล้วฆ่าตัวตาย เป็นเพราะร่างกายขาดสารเซโรโทนิน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันร่างกาย และสารเซโรโทนินนี้สามารถสร้างกลับคืนมาได้จากการสวดมนต์ หรือฟังคนอื่นสวดมนต์ด้วยจิตสงบเป็นสมาธิ ตั้งแต่ ๑๕ นาทีขึ้นไป เขาแยกเป็น ๒ ข้อนะ​ สติกับสมาธิเป็นคนละเรื่องกันนะ เจริญสติ..ก็สามารถช่วยได้​ เจริญสมาธิ..ก็สามารถช่วย​ได้ วิธีที่ ๓ น่าสนใจมาก.. คือสวดมนต์​ สวดมนต์อย่างน้อย ๑๕ นาที​ จะทำให้ร่างกายผลิตสารเซโรโทนิน ซึ่งคนที่คิดฆ่าตัวตายก็เพราะว่าขาดสารตัวนี้​ ถ้าสวดมนต์ต่อเนื่อง​ ส่งเสียงออกมาต่อเนื่อง​ อย่างต่ำวันละ ๑๕ นาที ร่างกายจะผลิตสารตัวนี้ขึ้นมา..ทำให้คนนั้นมีความสุข​ แล้วก็ไม่คิดที่จะฆ่าตัวตาย​ ฉะนั้น แนวทางที่เรากำลังทำกันอยู่นี่แหละ​ เจริญสติ​ เจริญสมาธิ​ และสวดมนต์​ เป็นหนทางที่จะทำให้เรามีความสุข​ มีสุขในการสร้างบุญ​ สร้างบารมี​ ได้เจริญภาวนา​ เห็นคุณค่าของชีวิต ไม่คิดฆ่าตัวตาย​ และไม่ซึมเศร้าด้วย​ เพราะเจริญสติเนี่ยนะ​.. สติเป็นเครื่องรักษาจิตใช่ไหม? เรามีกิเลสขึ้นมา..รู้ทันกิเลส ก็เรียกว่ามีสติรักษาจิต ตัวซึมเศร้านี่..เป็นกิเลสตัวหนึ่งนะ พระพุทธเจ้าให้ดู..ราคะ​ โทสะ​ โมหะ​ ฟุ้งซ่าน​ หดหู่ ไอ้หดหู่เนี่ย​ ก็คือ​ เป็นกลุ่มของความซึมเศร้า​ ความซึมเศร้า.. ขณะที่ซึมเศร้า..เป็นอกุศล รู้ว่าซึมเศร้า..ได้สติ​ เป็นกุศล ตอนรู้..ก็ไม่ซึมเศร้า​ มันเป็นเพียงแค่กิเลสตัวหนึ่ง..เอาไว้ให้สติรู้​ เท่านั้นเอง แต่เนี่ย​ คนที่ไม่รู้วิธีปฏิบัติ ก็ยอมให้ความซึมเศร้านั้นครอบงำใจ​ เอาแต่คิดเรื่องเดิม​ ๆ​ ที่เคยซึมเศร้า​ มันก็ยิ่งซึมหนักเข้าไป​อีก เพราะมันไม่มีสติเข้ามารู้สึกตัวเลย​ ที่นี้ลองใหม่​ หาที่อยู่ให้ใจเอาไว้สักที่นึง​ พอจิต​เริ่ม​ซึมเศร้า..รู้ทัน​ ตอนเริ่มซึมเศร้า..มันคิด​นะ คิดน้อยใจตัวเอง​ คิดว่า “ชีวิตนี้ไม่มีค่า​ เขาทิ้งฉันไปแล้ว​ ฉันไม่มีค่า”​ อะไรประมาณนี้นะ​ คนซึมเศร้า​ก็จะเห็นชีวิตเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง​ เพราะคนนั้นทำให้ฉันผิดหวัง​ คนนี้ทำให้ฉันผิดหวัง​ อย่างนี้นะ​ ไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้ผิดหวัง..ก็​ซึมเศร้า​ จริง​ ๆ​ แล้ว​ แค่มีสติเห็นว่าเผลอคิด..ใช้ได้เลย! ถ้าเผลอคิด..ไม่เห็น​ เห็นว่า​ จิตมันซึมเศร้า​..ก็ยังได้ อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นกับใจ​ ทั้งดีและไม่ดี..เป็นเหตุให้เกิดสติได้เสมอ​ ขอเพียง..รู้ เวลา​ “รู้​“ เนี่ยนะ​ มีมีข้อสังเกตนิดหนึ่งว่า.. อย่าคิดว่า “จะ​รู้​มัน..แล้วให้มันดับเร็ว​ ๆ​“ ด้วย​ ไอ้ตัวอยากดับเร็ว​ ๆ​ เนี่ย..จะทำให้ซึมเศร้าหนักขึ้นก็ได้นะ คือ​ ฉัน​รู้​กิเลสแล้ว..ทำไมมันไม่ดับ​? จริง​ ๆ​ มันมีตัวโทสะซ้อนขึ้นมา​ เช่น​ มีความซึมเศร้าเกิดขึ้น​ คิดในเรื่องที่ทำให้เกิดความซึมเศร้านะ รู้ทันความซึมเศร้าแล้ว..ไม่ชอบความซึมเศร้า​เมื่อกี้นี้​ กลายเป็นว่า​ รู้ทันความซึมเศร้าแล้ว..ไม่ชอบความซึมเศร้า​ที่เห็นเมื่อกี้ มันมีโทสะขึ้นมาใหม่อีกตัวนึง และรู้สึกว่า.. “ฉันทำสติ​ หรือว่าฉันเจริญกรรมฐานไม่สำเร็จ” จริง​ ๆ​ แล้วคือพลาดไป ลืมรู้ลงปัจจุบันว่า​ ขณะนี้​จริง​ ๆ​ แล้ว..​คือ​ มันไม่ชอบใจ​ ไอ้สิ่งที่ถูกรู้เมื่อกี้นี้​ ก็รู้ลงไปอีกทีในขณะปัจจุบันด้วย​ ว่าตอนนี้ใจมันไม่ชอบ คือมันไม่ใช่ว่า..จิตมีดวงเดียวนะ จิตมันเกิด-ดับ​ เกิด-ดับนะ ไอ้จิตที่รู้เมื่อกี้..ก็ดับไปแล้วนะ​ เกิดเป็นจิตที่มีความไม่พอใจ ไอ้จิตที่รู้เมื่อกี้นี้…ก็เป็นอีกขณะหนึ่ง​ ขณะปัจจุบันนี้​มันไม่พอใจ ก็ให้รู้ลงในปัจจุบันนี้ไปด้วยเลยนะ! นี่เป็นเรื่องของการเจริญสตินะ ถ้ามีเวลาว่าง​ ๆ​ ก็ลองทำสมถะดูบ้าง​ ถ้ามันไม่คุ้นเคย​ ก็ลองทำสมถะในแง่ที่ว่า​ ไม่ต้องสงบนานก็ได้​ สงบแป๊บนึงนะ! พอจิตมีกำลังแล้ว​ก็มาเจริญสติ เช่น สงบแป๊บเดียวก็เผลอ.. ก็ให้รู้ทันความเผลอที่เกิดขึ้น เรียกว่า​ ทำสมถะ..เพื่อรู้จิตอีกที ทำสมถะไว้สักอย่างหนึ่ง​ ดูลมหายใจก็ได้.. เห็นกายเคลื่อนไหวก็ได้.. แล้วพอมันเผลอจากจุดนี้..ให้รู้ทัน​ความเผลอ​ที่เกิดขึ้น เห็นทันความเผลอ..ได้สติด้วย ทั้งสติและสมาธิ​ พอได้ฝึกร่วมกันเนี่ยนะ..มันเป็นเหตุให้ความซึมเศร้าลดน้อยลงไป แล้วถ้าจะให้ดี​ กรรมฐานอีกตัวนึง​อย่างที่ฝรั่งเขารู้นี่..ก็คือ​ สวดมนต์ ลองหาเวลา ในวันหนึ่งเนี่ย​ จัดแจงเวลาสักหน่อย​ สัก ๑๕ นาทีเท่านั้นเอง ไม่มากหรอก​ แต่ขอให้เป็นบทสวดที่เราสวดได้ง่าย​ ถ้าไม่เคยสวดเลย​ ไม่รู้จะเอาบทไหนง่าย​ ๆ​ เนี่ยนะ​ เอาบทที่คนไทยคุ้นเคย​ สวดกันได้บ่อย​ ๆ​ ก็คือ​ “อิติปิ โสฯ” บท อิติปิ โสฯ เนี่ย​ เป็นพุทธพจน์​ ซึ่งแสดงคุณของพระพุทธเจ้า “อิติปิ โส​ ภะคะวา​ อะระหัง​ สัมมาสัมพุทโธ​ วิชชาจะระณะสัมปันโน​ สุคะโต​ โลกะวิทู​ อะนุตตะโร​ ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา​ เทวะมะนุสสานัง​ พุทโธ​ ภะคะวาติ” สวดซ้ำ​ ๆ​ แต่ถ้าซ้ำมากแล้วเบื่อ..ก็เอาซ้ำเป็นชุด​ ๆ​ ไม่ต้องมาก​ เอาซ้ำซัก ๙ รอบ​ ก็พอ ก่อนจะสวด อิติปิ โสฯ​ ก็สวดนะโม ๓ จบ​ ก่อน ” นะโม​ ตัสสะ​ ภะคะวะโต​ อะระหะโต​ สัมมาสัมพุทธัสสะ” ..๓ จบ ตามด้วย อิติปิ โสฯ อีก ๙​ จบ​ ถ้าสวดบทอื่นได้อีก​ เช่น​ ​”สวากขาโต​ฯ” ​ “สุปะฏิปันโน​ฯ” ก็สวดให้ครบเป็นพระรัตนตรัยเลยก็ได้​ เป็นการสวดบูชาพระรัตนตรัย​ แต่ถ้าสวด​ “สวากขาโต​ฯ” หรือว่า​ “สุปะฏิปันโนฯ” ไม่ได้ ก็ อิติปิ โสฯ นี่ก็ได้​ เอาบทเดียว​ซ้ำ ๙ ครั้ง แรก ๆ​ ถ้าไม่เคยสวด​ ก็ดูหนังสือไปก่อน​ เรียกว่า​ ดูหนังสือ​สวดไป สวด ๙ จบ​ ในวันเดียวก็น่าจะสวดได้แล้วล่ะ​ จำได้แล้ว​ พรุ่งนี้มาสวดอีก​ อาจจะลืมบ้าง..ก็ดูหนังสือต่อ​ ให้จำคล่องขึ้นใจ สวด ๙ จบ​ ไม่กี่วันหรอก​ ขึ้นใจแล้ว​ ตอนขึ้นใจเนี่ยนะ..มันเริ่มได้ผล เพราะสวดโดยไม่ต้องดูหนังสือ..มันจะได้ผล​มากกว่าสวดดูหนังสือ ตอนสวดแบบดูหนังสือเนี่ย..จิตมันจะส่งออกไปหาหนังสือแล้ว​ มันจะไม่เห็นว่า​จิตส่งออก​ แต่ถ้าสวดได้แล้วนะ..เอาจิตมาระลึกถึงบทสวด​ สวดไป​ ถ้าเผลอจากบทสวดนี้..จะรู้ทัน​ก็ได้ว่า มันเผลอไป.. เห็นจิตเคลื่อนได้ด้ว​ย ดังนั้นถ้าเราสวดโดยที่จำบทสวดนั้นขึ้นใจนะ..ใช้บทสวด​นั้น​ สวดให้ซ้ำ​ ๆ ๑๕ นาที .. ลองดูจับเวลาดู บางที ๙ จบ​ อาจจะไม่ได้​ ๑๕​ นาที..ก็อาจจะ ๑๕ จบก็ได้ ไม่ยากนะ! ลองทำดู​ แล้วจะเห็นผล ยิ่งคนที่ซึม​ ๆ​ เศร้า​ ๆ​ เหงา​ ๆ​ หงอย​ ๆ​ เนี่ยนะ..เรามาทำสิ่งนี้ดู​ แล้วรู้สึกว่า.. “อ้าว! จริง​ ๆ​ แล้วฉันก็ทำได้นี่นา​ ฉันก็ภาวนาได้นี่นา” ตอนสวดมนต์นี่นะ​ บางทีลืมไปแล้วว่าโรคซึมเศร้าเป็นอย่างไร? เพราะใจอยู่กับคุณของพระรัตนตรัย​ อยู่กับการสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า​ ยิ่งถ้าเข้าใจคำแปลของบทสวดนั้นด้วยนะ จะยิ่งลึกซึ้ง​ แล้วก็​มีความแช่มชื่นใจในการสวดมนต์นั้นด้วย สวดไปด้วยความศรัทธา..ความเศร้าสร้อยนี่นะ​ ดับไปเลยในระหว่างสวดนั้น​ สวดเสร็จแล้ว​ ถ้าคิดถึงเรื่องที่ทำให้ซึมเศร้าขึ้นมา..มันจะมีสติรู้ทันได้ง่ายขึ้น เพราะมีขณะ​จิตดี ๆ ที่เรามีความสุข..จากการสวดมนต์แล้ว​ จิตปรุงแต่งดี ๆ มีสมาธิ..จากการสวดมนต์แล้ว​ หรือมีสติ​รู้ทันกาย​ รู้ทันใจ..ใน​ขณะที่เราสวดมนต์แล้ว พอจิตเปลี่ยนแปลง จิตทำงานในแง่ร้าย​ ๆ​ ขึ้นมา..ก็จะมีสติรู้ทันได้ง่ายขึ้น พระอาจารย์กฤช​ นิมฺมโล เรียบเรียงจากการตอบปัญหาธรรม ในรายการ​ “ธรรมะสว่างใจ” วันที่​ 18 ธันวาคม ๒๕๖๒ ลิงค์วีดีโอ https://youtu.be/9aFxtIfV5PQ (นาทีที่​ 1:21:14​ -​ 1:30:55)

อ่านต่อ