#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ไม่อยากทำบุญกับพระ #ให้แบบสังฆทาน ?? #ถาม : แม่บ่นบอกว่า “เดี๋ยวนี้หาพระดี ๆ ไม่ได้แล้ว เลยไม่อยากทำบุญกับพระ ทำบุญกับคนดีกว่า” ความคิดแบบนี้กลัวว่าแม่จะเป็นบาป ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? แล้วทำอย่างไรดีคะ? #ตอบ : ถ้าพ่อแม่คิดอย่างนี้ ก็ให้เขาไปทำบุญกับคน ก็ยังดีที่ได้ทำบุญนะ ในแง่ของอาตมา คือถ้าอาตมาตอบไปว่าให้ทำบุญกับพระด้วย อาตมาก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่เขาไม่ศรัทธาอยู่แล้ว ฉะนั้นให้เขาไปบุญกับคนก็ยังดี หรือถ้าจะไม่ทำบุญกับคน จะทำบุญกับสัตว์ก็ยังดีนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทักขิณาวิภังคสูตร ว่า “ดูกรอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น (๑) บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า (๒)​ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณาได้พันเท่า (๓) ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า (๔) ให้ทานในบุคคลภายนอก(ศาสนา)ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า (๕) ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้ จนประมาณไม่ได้ จะป่วยกล่าวไปไย(๖)ในพระโสดาบัน (๗)ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง (๘)ในพระสกทาคามี (๙)ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง (๑๐)ในพระอนาคามี (๑๑) ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง (๑๒) ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ (๑๓) ในพระปัจเจกสัมพุทธ และ (๑๔) ในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ ฯ” จะเห็นได้ว่า การทำบุญเนี่ย แม้จะทำบุญกับสัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีอานิสงส์มาก เวลาเราล้างจานเนี่ย เรามีเศษอาหารอยู่ในจานที่เรากิน ตอนที่ก่อนจะไปลงน้ำยาล้างจานนะ ก็กวาดเอาเศษอาหารไปโปรยให้มดหรือให้นก ยังเป็นบุญเป็นกุศล มีอานิสงส์มาก ในระหว่างการให้สัตว์เล็กกับสัตว์ใหญ่..การให้กับสัตว์ใหญ่ก็จะมีอานิสงส์มากกว่า ระหว่างการให้กับสัตว์ที่มีคุณกับสัตว์ไม่มีคุณ..การให้กับสัตว์มีคุณ ก็จะมีอานิสงส์มากกว่า ระหว่างการให้กับสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์..การให้กับมนุษย์ก็มีอานิสงส์มากกว่า ฉะนั้น ถ้าพ่อแม่จะให้ทานกับมนุษย์ก็มีอานิสงส์นะ แต่ก็ควรเลือกดูด้วย ! เพราะในระหว่างมนุษย์ด้วยกันเนี่ย.. ระหว่างการให้กับมนุษย์ที่มีศีลกับมนุษย์ที่ไม่มีศีล การให้กับมนุษย์ที่มีศีลก็มีอานิสงส์มากกว่า เพราะว่าเป็นการให้กำลังหรือสนับสนุนคนดี มีข้อประพฤติปฏิบัติที่ดี แต่ถ้าให้แบบไม่เลือกผู้รับเลยเนี่ยนะ เราอาจจะไปให้กับคนเลว ก็เป็นการให้กำลังกับคนเลวไปทำเลวได้มากขึ้นต่อไป นึกออกไหม? ดังนั้น ถ้าแม่จะทำการสงเคราะห์มนุษย์ ในระหว่างมนุษย์มีศีลกับมนุษย์ไม่มีศีล ก็ให้เลือกให้กับมนุษย์มีศีล ถ้ามนุษย์นั้นมีศีลด้วยและมีการฝึกจิตใจด้วย เป็นคนที่รู้ทันกิเลสตัวเอง มีข้อวัตรปฏิบัติแล้วดูน่าเชื่อว่าเขาเป็นคนดี แถมยังมีคุณธรรม ก็ควรจะให้กับคนที่มีคุณธรรมด้วย มีศีลด้วย เพราะอะไร? เพราะคนที่มีคุณธรรมและมีศีลเนี่ย เขานอกจากเขาจะมีความประพฤติดีงามแล้ว เขายังมีความรู้ที่จะเอาไปถ่ายทอดให้คนอื่น ให้เป็นคนที่มีคุณธรรมแบบที่เขาเป็น หรืออย่างน้อยก็เป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่น ถ้าให้กับคนที่มีศีลด้วย มีคุณธรรมทางจิตใจ มีสมาธิ มีปัญญา และบรรลุมรรคผลด้วย ก็ยิ่งดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะการบรรลุมรรคผล คือการทำให้ตนเองนั้นพ้นจากทุกข์ใหญ่ ๆ ไปได้ ถ้าให้กับพระโสดาบัน ก็จะมาอานิสงส์มาก เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ที่รู้ทาง ไม่สงสัยในพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในการประพฤติการปฏิบัติ ท่านก็อาจจะไปบอกวิธีการประพฤติปฏิบัติให้กับคนอื่นได้อย่างความมั่นใจด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำตารามา คนท่องตำรามาตอบ เมื่อเจอบางคำถามที่ตนเองไม่มีประสบการณ์ตรง ก็อาจจะตอบปัญหาแบบคลุมเครือฉะนั้น การให้กับครูบาอาจารย์ที่ท่านบรรลุมรรคผล ก็จะมีอานิสงส์มากกว่าให้กับท่านที่ไม่บรรลุมรรคผล (ในทานแบบเดียวกัน) การให้กับพระโสดาบัน..ก็มีอานิสงส์มากกว่าการให้กับปุถุชน การให้กับพระสกทาคามี..ซึ่งบรรลุธรรมขั้นที่ ๒ ก็จะมีอานิสงส์มากกว่าการให้กับพระโสดาบัน การให้กับพระอนาคามี.. ซึ่งบรรลุธรรมขั้นที่ ๓ ก็จะมีอานิสงส์มากกว่าการให้กับพระโสดาบัน หรือให้พระสกทาคามี การให้กับพระอรหันต์..ก็ย่อมมีอานิสงส์มากกว่าการให้กับพระอริยะ ๓ ขั้นต้น การให้ทานที่มีอานิสงส์สูงสุด ก็คือการให้สังฆทานที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ซึ่งยุคนี้ไม่มีโอกาสให้ทานอย่างนั้นแล้ว ก็อาจจะให้กับส่วนรวมที่ไหนก็ได้ สังฆทาน แปลว่า ให้ทานแก่สงฆ์ คือถวายเป็นกลางๆ ไม่จำเพาะเจาะจงรูปหนึ่งรูปใด ให้กับส่วนรวม ไม่เจาะจงบุคคล เป็นการให้แบบที่ไม่ยึดติดกับบุคคล ให้แบบใจกว้าง การให้แบบใจกว้างนี้ อานิสงส์จึงเกิดผลกับผู้ให้มากกว่าการให้แบบเจาะจงบุคคล การให้แบบเจาะจงบุคคลเนี่ย บุคคลนั้นทีแรกเราอาจจะเชื่อว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนที่มีคุณธรรม แต่ภายหลังกลับมารู้ว่า “อ้าว! เราเข้าใจมันผิดไป” อย่างนี้เราก็จะเสียศรัทธา ที่ให้ไปก็กลับเสียดาย มานึกภายหลังก็ไม่เกิดบุญกุศล การให้แบบเจาะจงบุคคลจึงมีข้อเสียอย่างนี้นะ เพราะบางทีเรามองไม่ออกว่าเขาดีจริงหรือเปล่า ฉะนั้น การให้กับส่วนรวมก็หมายความว่า ใครก็ตามที่เป็นผู้รักษาพระศาสนา ใครก็ตามที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา เราขอให้กับบุคคลเหล่านั้น ซึ่งเป็นส่วนรวมไป มีคนที่ไม่รักษาศาสนา เป็นคนที่ปฏิปทาไม่ดี เขาก็ไม่อยู่ในกลุ่มที่เรามุ่งหมายอยู่แล้ว ยังมีอีกกลุ่มใหญ่ ๆ ที่ยังมีความปรารถนาที่จะฝึกตนเอง แล้วก็รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็มุ่งหมายที่ผู้รับกลุ่มนั้น อันนี้เรียกว่าให้แบบสังฆทาน ให้เป็นส่วนรวม เราจะไม่ยึดติดในบุคคล ใครจะไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา เขาก็รับวิบากกรรมของเขาเอง แล้วเราก็จะรู้สึกว่าไม่เสียศรัทธาเวลาที่ได้ข่าวใครประพฤติไม่ดี แต่ทั้งนี้ พึงระลึกไว้เสมอว่า การให้ทานก็ยังเป็นเพียงบุญประเภทเดียวเท่านั้น บุญมี ๓ ประเภท แบ่งตามที่มาของบุญคือ ๑. ให้ทาน ๒. รักษาศีล และ ๓. เจริญภาวนา การให้แม้จะได้บุญมากแค่ไหน ไม่ว่าจะทำสังฆทานมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.. ก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าเราจะพ้นอบาย เราต้องทำตนเองให้พ้นอบายด้วย นั่นก็คือต้องป้องกันเหตุที่จะทำให้ไปสู่อบาย เหตุที่พาไปสู่อบาย คือการทำผิดศีลในเรื่องต่าง ๆ พ้นอบายแล้ว ก็ใช่ว่าจะพ้นทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้ ก็ต้องเจริญภาวนา ทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ไหนๆ จะทำบุญแล้ว ก็ทำให้ครบทั้ง ๓ ประเภทนะ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากรายการ คลิกใจให้ธรรม ตอนสมาธิมี ๒ แบบ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ลิงค์ยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=iDQUOZme8Xg (ระหว่าง นาทีที่ 34:23-40:50)

อ่านต่อ