#นิมฺมโลตอบโจทย์ #ทั้งคนพาลและบัณทิตพบได้ในใจตน #คนพาล #บัณฑิต #มงคลชีวิต ??? #ถาม : คนแบบไหนเรียกว่า “คนพาล”? #ตอบ : วิธีสังเกต “คนพาล” ก็คือ “คนที่ไม่สร้างประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่น” ไม่สร้างประโยชน์ให้กับตนเอง.. ก็เช่นว่า :- ขี้เกียจ, เกียจคร้านการงาน ถ้าเป็นเด็ก ก็ขี้เกียจเรียนหนังสือ ตื่นนอนสาย ไม่ทำการบ้าน ก็เป็นเด็กพาล แค่อย่างเดียว แค่ข้อแรกนะ! เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคนพาล ก็คือ เกียจคร้านการงาน ถ้าเป็นคนอายุมากแล้ว วัยทำงานแล้ว ก็คือ เกียจคร้านในการหาทรัพย์ ไม่แสวงหาทรัพย์ใหม่ นี่คือลักษณะที่ ๑ ของคนพาลนะ ลักษณะที่ ๒ คือ ทรัพย์เดิม ๆ ที่มีอยู่ก็ไม่รักษา สินทรัพย์ที่ตัวเองที่มีอยู่ก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่รักษาให้ดี ไม่ใช้จ่ายตามที่จำเป็น ใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย ของใหม่ก็ไม่หา ของเก่าก็ไม่รักษา นี่คือลักษณะคนพาลในแง่ของการครองเรือน ถ้าในแง่ของทั่ว ๆ ไป คนพาลก็คือ คนที่ไม่ทำบุญ ไม่เสริมสิ่งดีงามให้กับชีวิตของตัวเอง ไม่แสวงหาวิธีที่จะสร้างบุญกุศล ไม่แสวงหาวิธีที่จะรักษากายวาจาที่จะให้มีศีล ไม่แสวงหาวิธีที่จะสร้างบารมีด้วยการให้ทานบริจาคสิ่งของต่าง ๆ ช่วยเหลือผู้คนที่เกี่ยวข้องในสังคม คือเราอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ผูกจิตใจกัน ไม่ให้ของซึ่งกันและกัน ก็ไม่สร้างมิตร สร้างแต่ศัตรู ไม่สร้างมิตร ก็เป็นคนพาลอย่างหนึ่งแล้วนะ ไปสร้างศัตรูอีก ก็เป็นคนพาลอีกแบบหนึ่ง สรุปง่าย ๆ ก็คือว่า คนพาลแบบฆราวาส ก็คือไม่รักษาทรัพย์ และไม่แสวงหาทรัพย์ คนพาลแบบทั่ว ๆ ไป ก็คือว่า ทำบาป และไม่ทำบุญ บุญก็ไม่ทำ แล้วยังทำบาปอีก ! บุญไม่ทำ .. นี่ก็แย่อย่างหนึ่งแล้ว คือไม่พัฒนาตนเองในการให้ทาน รักษาศีล เจริญปัญญา แถมยังทำตัวเองให้ตกต่ำมากขึ้น ด้วยการไปทำบาป เอาเวลาที่ไม่ทำบุญนั้นไปทำบาป ! ถ้าอยู่นิ่ง ๆ เสีย..ก็ยังนับว่าเสียเวลา คนอย่างนี้ก็ยังเรียกว่าเสียเวลานะ ไม่ทำบุญเลย แต่ไม่ทำบาป เกิดมาเสียเวลา ก็ไม่ถูกยกย่องว่าเป็นบัณฑิต “บัณฑิต” ก็คือ ผู้ที่ใช้เวลาในชีวิตนี้ทำบุญและละบาป จริง ๆ ละบาปก่อน ! พระพุทธเจ้าสอนให้ละบาปก่อน แล้วค่อยทำบุญ ถ้าเป็นบัณฑิตชั้นเลิศเลย ก็คือว่า ยังทำจิตใจให้บริสุทธิ์จากกิเลสต่าง ๆ ด้วย “คนพาล” จะตรงข้ามกับ “บัณฑิตทั้งหลาย” ตรงที่ว่า แทนที่จะเอาเวลาไปทำบุญ กลับไปทำบาป ไม่ทำบุญแล้วยังสั่งสมบาปไปเรื่อย ๆ แถมยังทำจิตใจให้เศร้าหมองมากขึ้น ๆ ด้วยการมีกิเลสสะสมไปเรื่อย ๆ โดยไม่เห็นโทษของกิเลสนั้น นอกจากนี้ยังรู้สึกว่า ‘ฉันยิ่งใหญ่ ฉันทำอะไรก็ได้ ฉันทำแล้วไม่มีใครกล้าขัดขวาง’ สั่งสมกิเลสและลำพองในความมีกิเลสของตัว นี่คือ “คนพาลที่มืดบอด” “คนพาลที่มืดบอด” จะมีคำศัพท์เฉพาะเจาะจงว่า “อันธพาล” อันธ แปลว่า มืด ทึบ ถ้าเป็นป่าก็เรียกว่า อันธวัน แปลว่า ป่ามืดทึบ คนพาลที่มืดบอด มืดบอดอย่างนี้นะ บางทีพระพุทธเจ้ามาสอนก็ยังไม่เชื่อ เป็นคนพาลแบบนี้ควรเลี่ยง *** พระพุทธเจ้าสอนในมงคล ๓๘ ก่อนที่จะไปคบบัณฑิต เลี่ยงคนพาลให้ได้ก่อน มองให้ออกก่อนว่าคนพาลมีลักษณะเป็นอย่างนี้ ก็อย่าไปคบ แล้วจึงจะมองออกว่าบัณฑิตมีลักษณะเป็นอย่างไร จึงค่อยไปคบหา แล้วจะเริ่มมองออกมากขึ้นว่า คนไหนควรเลี่ยง? คนไหนควรคบ? *** ถ้าได้เริ่มศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะสามารถแยกแยะได้ว่า คนไหนเป็นคนพาล? คนไหนเป็นบัณฑิต? และที่สำคัญที่สุด .. มองตัวเองให้ออกว่า บางขณะตนเองก็เป็นพาล บางขณะก็เป็นบัณฑิต บางขณะที่เป็นพาล ก็ไม่เอากับมัน จิตใจที่เป็นพาลในตัวของเรา ถ้ามันเกิดขึ้นมา เห็นแล้วไม่เอา เราไม่คบกับพาลที่อยู่ในใจตนเองด้วย เวลามีบัณฑิต ก็คือมีความคิดดี ปรารถนาดีอะไรขึ้นมา .. คบมันไว้ บัณฑิตในใจต้องคบให้มาก และหาให้บ่อย ๆ พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการคนตัวเบา EP.74 ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=eXTa7_If2vA&t=24s (นาทีที่ 6.40-11.20 ) Shortlink: December 16, 2020นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อFacebookTwitterLine