#นิมฺมโลตอบโจทย์ เล่ม ๑ #เห็นจิตไหลจิตจะตั้งหมั่น ??? #ถาม : ขออนุญาตค่ะ มีคำถามว่า การที่พระอาจารย์หรือพระ หลายองค์ สอนให้โยมทั้งหลาย ปฏิบัติโดยดูการเคลื่อนไหวของจิต เช่น ดูจิตไหล วัตถุประสงค์จริงๆ แล้ว… การดูจิตไหล กับการที่ ทำให้จิตสะอาดหมดจดนี่เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ดิฉันไม่เข้าใจว่า เราดูจิตไหลเพื่ออะไร? เราได้อะไรจากการที่เห็นจิตไหลหรือคะ? #ตอบ : จิตสะอาดสดใสหมดจด..นี่เป็นเป้าหมายสูงสุด แต่จะสะอาด หมดจดได้นี่ ต้องใช้จิตที่มีคุณภาพ คุณภาพที่เราต้องการ คือจิตที่ตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นนี่ คนที่ไม่เคยทำก็จะทำไม่เป็น ฉะนั้นสิ่งที่เราทำเป็นกันอยู่ นี่คือ มันเคลื่อนไป ไหลไปหาอารมณ์ต่างๆ นี่ทำเป็น ทำง่าย แต่ทำแล้วนี่ เช่นสมมติว่าจะดูดอกไม้ ก็ไหลไปหาดอกไม้ได้ง่าย จะดูพระพุทธรูป ก็ไหลไปหาพระพุทธรูปง่าย แต่สิ่งนั้นไม่เอื้อต่อการให้เกิดปัญญา ไม่เอื้อต่อการให้จิตบริสุทธิ์ที่เป็นเป้าหมายของเรา เพราะว่าจิตจะบริสุทธิ์มีปัญญาอย่างนั้นได้อ่ะ ต้องเป็นจิตที่มีคุณภาพประกอบ ด้วยกุศลธรรม ๓ ประการสำคัญๆ คือ สติ สมาธิ และปัญญา สติ จะมีได้จากการที่เราเห็นสภาวะ เช่น กิเลสต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับใจ เห็นราคะ เห็นโทสะ เห็นโมหะ ที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่เห็นคนโน้น คนนี้ สมาธิ มี ๒ แบบ คือ สมาธิที่ไหลไปเพ่งอารมณ์ กับ สมาธิที่จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่น หมายความว่ามันไม่ไหลไปหาอารมณ์ ที่ทำเป็นกันส่วนใหญ่ ก็คือ ทำจิตให้ไหลไปหาอารมณ์หนึ่งที่เราชอบ ถ้าทำได้ก็ได้สมถะ เป็นเรื่องดี เป็นกุศล แต่ไม่พอ! ยังไม่เป็นจิตที่มีคุณภาพพอที่จะให้เกิดปัญญา ระดับที่ทำให้เกิดความเข้าใจและจิตบริสุทธิ์ เพราะว่าจิตจะเข้าใจเกิดปัญญา และเกิดความบริสุทธิ์ได้ ต้องเป็นปัญญาเห็นว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อจิตไหลไปอยู่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง มันจะเห็นว่าอารมณ์นั้นเที่ยง แล้วถ้ามีกิเลสขึ้นมา แล้วไม่ยอมใช้สติ ดู แต่หาอะไรก็ตามไปกลบให้กิเลสตัวนั้นดับไป เช่น มีความโกรธแล้ว เจริญเมตตาให้โกรธดับ หรือว่าเห็นคุณความดีของคนนั้นให้โกรธดับ อย่างนี้เป็นการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้กิเลสนั้นดับไป มีการกระทำเกิดขึ้น การกระทำอย่างนั้นเป็นลักษณะของการแทรกแซง และไม่เป็นกลาง เป็นได้เพียงการทำสมถกรรมฐาน หลักของสมถกรรมฐาน คือ เมื่อเกิดกิเลสขึ้นมา ก็หาทางสงบกิเลส ด้วยการกระทำของเรา อย่างนี้เราจะไม่เห็นความจริงของกิเลส คือ ไม่เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของกิเลส เราจะรู้สึกว่า กิเลสเกิดขึ้นมา เราสามารถทำให้กิเลสนั้นดับไปได้ หมายความว่า มันดับเพราะ “เราทำ” มันไม่ใช่ว่ากิเลสนั้นดับเอง ไม่สามารถที่จะเข้าใจความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของความปรุงแต่งที่ไม่ดี เมื่อกี้ที่เกิดขึ้นได้ กลับกลายเป็นว่า “กูเก่ง” ด้วยซํ้าไป อนัตตาไม่เห็น มีแต่อัตตาที่ใหญ่ขึ้น อัตตาที่ใหญ่ขึ้นก็ไม่เห็น อัตตาที่ใหญ่ขึ้นตรงนี้นะ ที่ว่า..กูเก่ง กูเก่งนี่ก็ไม่เห็น (“อัตตา” ในที่นี้เป็นสำนวนพูด ที่ถูกควร ใช้คำว่า “มานะ”) เพราะฉะนั้น ถ้าทำสมถะเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถเข้าใจหรือเห็นความจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ที่ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ได้ จึงต้องมีการทำสมาธิอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน คือจิตไม่ไหลไปหาอารมณ์ จิตตั้งมั่นอยู่กับจิต แต่วิธีนี้บอกกันแล้วให้ทำ นะ! เราก็ทำกันไม่เป็น ทำยาก เหมือนให้นึกหน้าแม่ของประธานาธิบดี ประเทศวานูอาตู ไม่รู้จัก ให้นึก นึกตอนนี้ นึกไม่ได้เพราะว่าจิตไม่ คุ้นเคย เพราะฉะนั้นเอาสิ่งที่จิตมันคุ้นเคยมาทำ จิตมันเคยทำอะไร? จิตมันเคยไหล พอรู้ว่าจิตไหล จิตก็ตั้งมั่น สมมติว่านิ้ว เป็นจุดหมายที่จิตจะไหลไป พอความรับรู้มันไหลไปหา นิ้วแทนที่จะไปดูนิ้ว เห็นความไหลของจิต ตอนนี้เห็นจิตพอดี อยู่กับ จิตพอดี เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นความไหลของจิต มันจึงไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันอยู่กับจิตพอดี ตอนอยู่กับจิตพอดีนี่เรียกว่า…‘จิตตั้งมั่น’ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแบบหนึ่งที่เราต้องการ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมาธิ แบบลักขณูปนิชฌาน มันไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันตั้งมั่นอยู่กับจิต แล้วมันจะเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ที่มากระทบจิตนี่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.. เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.. มันจะเห็นความไม่เที่ยง เป็น ทุกข์ เป็นอนัตตา ของสิ่งต่างๆ ที่ปรุงแต่งได้ ซึ่งตอนที่จิตเพ่งอยู่กับ อารมณ์ นิ่งๆ สงบๆ อย่างนั้นจะมาดูให้เห็นไตรลักษณ์อย่างนี้ไม่ได้ จิตที่นิ่งที่สงบเป็นจิตที่ดีก็จริง แต่ว่าดีแบบโลกๆ ยังเป็นโลกียะ เป็น สมาธิที่อยู่ในโลก แต่จะให้พ้นโลกไป ต้องใช้สมาธิที่เห็นความจริงของ โลก ไม่ใช่เห็นว่าโลกดี ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้สงบ ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้เป็นสุข สุข สงบ ดี กลายเป็นตัวล่อให้เราอยากอยู่ในโลกนี้ต่อ เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นความจริงว่าสิ่งต่างๆ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น อนัตตา จิตที่มันมีความตั้งมั่นอยู่กับจิตนี่ จะเห็นสิ่งต่างๆ ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แม้แต่ตัวจิตเอง ตัวจิตเองก็เกิดดับ เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป.. เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป.. เพราะฉะนั้นเห็นว่ามัน ตั้งมั่นแว็บนึงนี่ดีมาก!! สำหรับที่จะเข้าใจได้ว่า จิตที่ตั้งมั่นก็เสื่อมได้ มันดับได้ เปลี่ยนไปได้ อย่างนี้นะ! จิตที่มีความเข้าใจอย่างนี้จึงจะเกิดมรรคผลขึ้นมา เข้าใจที่ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา เป็นการเข้าใจระดับปัญญาที่เป็นวิปัสสนา ถ้าไม่มีวิปัสสนาเกิดขึ้นจะไม่เกิดมรรคผล เพราะฉะนั้นเวลาเราฝึกอย่าพอใจ เพียงแค่สงบ เพ่งอารมณ์อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง แล้วสงบพอใจ แค่นั้น ได้กุศลก็จริง แต่ไม่พอ แล้วก็ไม่คุ้มกับการที่เกิดมาเป็นคนแล้ว พบพระพุทธศาสนาแล้ว ทำได้แค่ที่ฤๅษีเค้าทำกัน อย่างที่พระสารีบุตร บอกว่า.. ท่านเคยเป็นฤๅษีมา ๕๐๐ ชาติ ชำนาญวิธีนี้มามาก แล้วไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เกิดมรรคผล ถ้าเกิดมรรคผลได้ท่านสำเร็จตั้งแต่ ชาติแรกที่ทำได้แล้ว แต่ในที่สุด ท่านก็ต้องมาเรียนกับพระพุทธเจ้า เพื่อมาเรียน ลักขณูปนิชฌาน.. พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบโจทย์ ณ บ้านจิตสบาย วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๘

อ่านต่อ