#นิมฺมโลตอบโจทย์ #จิตฟุ้งซ่านก็รู้ #จิตหดหู่ก็รู้ ?? #ถาม : การปฎิบัติแล้วไม่ก้าวหน้า เกิดความท้อแท้ มีวิธีแก้อย่างไร? การปฏิบัติที่ก้าวหน้าจะมีวิธีอย่างไร จะสังเกตได้? #ตอบ : ความท้อแท้เป็นเพียงอาการอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในจิต เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นกิเลสตัวหนึ่ง “ความท้อแท้” ถ้าเทียบในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน มันอยู่ในคู่ของ “จิตฟุ้งซ่านก็รู้ – จิตหดหู่ก็รู้” หดหู่ก็คือท้อแท้นั่นเอง ความท้อแท้ ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็เกิด มันมีเหตุของมัน เหตุของมัน คือ คิดขึ้นมาก่อน คิดเรื่องราวขึ้นมาเรื่องหนึ่งแล้วก็.. ‘โอ้โห! เราคงไปไม่ถึง..’ อย่างนี้ ท้อแท้ ความท้อแท้ที่เกิดขึ้น มันตามหลังความคิด ทีนี้ ถ้าเผลอไปคิดแบบนี้อีก ก็ “รู้ทัน” ซะ ก็สามารถยุติความท้อแท้ได้ เพราะไม่มีเหตุเกิดขึ้นมา ถ้าไม่รู้ตอนเหตุ จะรู้เอาง่าย ๆ ชัด ๆ ตอนที่ผลมันเกิดแล้วก็ได้ ก็คือ เวลาท้อแท้ – “รู้ว่าท้อแท้” ใช้ได้แล้ว เหมือนกับเวลาฟุ้งซ่าน – “รู้ว่าฟุ้งซ่าน” ก็ใช้ได้เช่นกัน หรือเหมือนกับตอนที่โกรธ มีโทสะ – “รู้ว่ามีโทสะ” ก็ใช้ได้เหมือนกัน มีราคะ – ก็ “รู้ว่ามีราคะ” หดหู่ – ก็ “รู้ว่าหดหู่” หดหู่ ท้อแท้ ก็เป็นกิเลสกลุ่มเดียวกัน ง่วงหงาวหาวนอน ก็เป็นอาการอย่างหนึ่งในกลุ่มนี้นะ เป็นเรื่องของ “โมหะ” ที่แสดงออกมาอีกแบบหนึ่ง จะรู้ว่าทันว่า “มีโมหะเกิดขึ้น” ก็ได้ *** ความท้อแท้จะทำให้เกิดความก้าวหน้า..ถ้าเรารู้จักความท้อแท้ ไม่ให้ความท้อแท้มันครอบงำจิตใจเราได้ !! ไม่ให้มันเข้ามาครอบงำ หมายถึงว่า ไม่ให้มันเกิดขึ้นมาแล้วมาปรุงอะไรให้จิตใจมันหมดแรงหมดกำลังไปเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยให้มันมาปรุงไปเรื่อย ๆ อย่างนี้.. ถูกครอบงำ แต่ถ้ากำลังท้อแท้ – “รู้ว่าท้อแท้” ไอ้ความท้อแท้จะแสดงไตรลักษณ์ให้ดู แล้วเราเจริญปัญญา เจริญวิปัสสนาจากสภาวะที่เรียกว่าท้อแท้นี้ มันเป็นพียงสภาวะหนึ่งให้เรามาเรียนเท่านั้นเอง ถ้าเราไม่เรียน ก็จะถูกมันหลอก *** เหมือนกับความโกรธ ความโกรธที่เข้ามาในใจ ก็เป็นเพียงสภาวะหนึ่งให้เราเรียน ถ้าเราไม่เรียน หรือไม่รู้ทันมัน จะถูกความโกรธนั้นหลอก หลอกไปทำอะไร? ..หลอกไปทำร้ายคนอื่น หลอกไปด่าคนอื่น หลอกไปตีคนอื่น ไอ้ความท้อแท้เนี่ย ถ้าเราไม่รู้ทันมัน ก็จะถูกมันหลอก หลอกไปทำอะไร? ..หลอกทำร้ายตัวเอง !!! เวลาท้อแท้ เป็นทุกข์นะใช่ไหม? ทุกข์เพราะอะไร? ..ทุกข์เพราะคิดเอง เพราะฉะนั้น เราก็มีวิธีแก้ เริ่มจากเราก็ “รู้” แค่เพียงว่า ‘เมื่อกี้นี้มีความท้อแท้เกิดขึ้น’ แต่ทีนี้ตอนรู้เนี่ย มันรู้แว๊บเดียว ! เดี๋ยวมันก็เผลอคิดไปท้อแท้ใหม่ ดังนั้น หลังจากรู้ว่าท้อแท้แล้วเนี่ย “หางานทำ” ! ที่ว่า “หางานทำ” มี ๒ แบบ – ถ้าทำกรรมฐานในรูปแบบอยู่ การหางานทำ ก็คือ หาที่อยู่ของจิต รู้ลมเข้า-รู้ลมออก ก็เรียกว่า หางานทำ เรียกว่า ทำสมถกรรมฐาน – แต่ถ้าอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็หางานที่เป็นประโยชน์ทำ งานที่ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เช่น ช่วยเหลือคนอื่น เป็นจิตอาสา หรือช่วยพ่อช่วยแม่ทำงานบ้าน ช่วยลักษณะที่ว่า เป็นคนมีน้ำใจ ทำแล้วคนถูกช่วยนั้นยิ้ม ! การสร้างรอยยิ้มให้ผู้อื่น..เราจะรู้สึกว่า ‘เรามีคุณค่า’ เช่น เห็นแมวหิวโซมา เราให้อาหารแมว อย่างนี้นะ แมวจะรู้สึกขอบคุณ มาไซ้เรา เราเองก็จะรู้สึกว่า ‘อ้า..! เรามีคุณค่า’ *** มีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่ง สามีตาย อีกไม่นานไม่กี่เดือน ลูกชายที่มีอยู่คนเดียวก็ตาย เธอต้องอยู่บ้านคนเดียวรู้สึกท้อแท้ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ใกล้จะฆ่าตัวตายแล้ว วันหนึ่ง เดินออกมาเจอแมว ในฤดูหนาว เจอแมวร้อง เห็นแมวแล้วสงสารแมว เป็นแมวพลัดถิ่น เขาเรียกว่าแมวจรจัด ไม่มีเจ้าของ ก็ดูแล้วแมวเนี่ยนะ มันน่าสงสารกว่าเราอีก หนาว ๆ อย่างนี้ เรายังมีบ้าน มีเตาผิง มีอาหาร เห็นแล้วก็สงสารมัน ก็เอาอาหารให้มันสักหน่อย ปรากฏว่าแมวได้กินแล้วมันเกิดสำนึกในบุญคุณของคนที่ให้อาหาร มันก็มาคลอเคลียเลียแข้งเลียขาเลียมือคนที่ให้อาหารมัน พอแมวคลอเคลียกับผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกว่าสดชื่น ยิ้มให้กับแมวอย่างมีความสุข ยิ้มให้กับอาการของแมวที่กำลังคลอเคลียกับตัวเองอยู่ พอยิ้มขึ้นมาก็เกิดเอะใจ.. ‘อ้าว! เรามีความสุข เรายิ้ม.. เราไม่เคยยิ้มมาหลายเดือนแล้ว หลังจากสามีและลูกตาย’ ‘ที่เรายิ้มก็เพราะว่าไปสงเคราะห์แมว’ เกิดนึกได้เอง เกิดปัญญาขึ้นมาเลยนะว่า.. ‘เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปสงเคราะห์คน มันน่าจะเกิดความปลื้มใจปีติใจมากกว่านี้’ ก็มองไปถึงว่า มีเพื่อนบ้านอยู่คนหนึ่ง เป็นคนป่วยติดเตียง ลูกหลานทิ้ง คนฝรั่งเนี่ยนะ เขาก็ประมาณว่า..อุเบกขากันง่ายนะ พ่อแม่เขาก็ไล่ลูกออกจากบ้านไปตั้งแต่อายุเป็นวัยรุ่นแล้วใช่ไหม ? พอตัวเองป่วย ลูกเขาก็ไม่ค่อยมาเยี่ยมหรอก คนแก่บางคนเนี่ยตายไปหลายวันเพื่อนบ้านจึงรู้ จนเหม็นแล้ว เพื่อนบ้านไปแจ้งตำรวจให้มาเอาศพออกไป ทีนี้ หญิงคนนั้น..รู้ว่ามีเพื่อนบ้านอยู่คนหนึ่ง เป็นผู้ป่วยติดเตียง ก็ทำขนม ขนมปัง ขนมคุกกี้ (cookies) ไปเยี่ยมไข้เพื่อนบ้าน ซึ่งเมื่อก่อนนี้ ไม่เคยไปเยี่ยมเลย แม้แต่จะคิดก็ไม่เคย พอได้ไปแล้ว ก็ไปคุยกัน มีขนมไปด้วย เพื่อนบ้านดีใจมาก ภูมิใจมาก มีความสุขมาก ขอบคุณเธอจเป็นการใหญ่เลย เพราะไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลย แต่คนนี้ไปเยี่ยม แล้วไปให้กำลังใจ หญิงคนนั้นดีใจมากเลยว่า ตัวเองเนี่ยมีประโยชน์ จากการที่คิดว่าตัวเองไร้ค่าแล้ว จากที่คิดว่า ‘สามีก็ตาย ลูกก็ตาย จะอยู่ไปทำไม?’ กลายเป็นว่า เมื่อได้ทำตนให้เป็นประโยชน์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองยังมีค่า เกิดมีแนวคิดขึ้นมาว่า.. ‘งั้นเราไปเป็นจิตอาสาทำงานที่โรงพยาบาล’ ไปโรงพยาบาล ไปดูแลคนป่วย ไปให้กำลังใจกับคนป่วย กลายเป็นว่า “เป็นคนที่มีคุณค่า” ทั้งคนอื่นก็มองว่าเขามีคุณค่า ทั้งตนเองก็มองว่าตนเองมีคุณค่า เพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด อย่าจมอยู่กับความคิดแบบที่ซ้ำเติมตัวเอง เพราะฉะนั้น เวลาโยมที่ถามมาเนี่ย ถ้าเกิดความท้อแท้อะไรขึ้นมา ลองเปลี่ยนวิธีคิดนิดหนึ่ง ‘ทำอย่างไร ที่เราจะหางาน ที่เราไปทำแล้วเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง?’ แม้จะเป็นประโยชน์กับสัตว์ก็ยังดี ใช่ไหม? ดังตัวอย่างที่ยกมา เขาไปเพียงแค่ให้อาหารแมว เขาเริ่มรู้สึกว่า เขามีคุณค่าขึ้นมาแล้ว แล้วก็พัฒนาคุณค่าตัวเองไปช่วยคนให้มากขึ้น ไปช่วยคนให้กว้างไกลขึ้น อย่างนี้ลองไปทำดู แล้วความหดหู่ที่เกิดขึ้น มันจะไม่มีโอกาสมากวนใจ แต่ทีนี้เบื่องต้นนะ ตอนที่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรเนี่ยนะ ถ้าจิตหดหู่ขึ้นมาให้ “รู้ทันความหดหู่” ก่อนนะ แล้วก็หางานอะไรที่เป็นประโยชน์มาทำ อย่าปล่อยให้ว่าง ๆ ว่างมาก ก็คิดมาก อย่างน้อย ๆ ก็หางานกรรมฐานทำ ก็คือ.. เอาใจรู้ไว้ที่ ๆ หนึ่ง แล้วรู้ทันตอนที่มันจิตมันปรุงความคิดอะไรขึ้นมา แต่วิธีนี้วิธีเดียวเนี่ย..ไม่พอ จำไว้นะ ! เพียงแค่ทำกรรมฐาน ก็เพื่อตัดความหดหู่ไปชั่วขณะ เป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า นานไปจะหมดแรง จะดูไม่ทัน ตัวที่จะแก้ไขปัญหาได้จริง คือ ทำชีวิตให้มีคุณค่าด้วยการทำประโยชน์ให้กับคนอื่น ลองไปทำดู! พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.facebook.com/Watsanghathan.Nonthaburi/videos/143188167619870 (นาทีที่ 1.12.05-1.20.14) Shortlink: March 5, 2021นิมฺมโลตอบโจทย์admin อ่านต่อFacebookTwitterLine