#นิมฺมโลตอบโจทย์ #กิเลส #กรรม #วิบาก 🤔🤔 #ถาม : “กิเลส” แปลว่าอะไร? รบกวนพระอาจารย์ช่วยแนะนำให้ทราบ #ตอบ : “กิเลส” คำนี้เราน่าจะคุ้นเคยกันมากเลยนะ ได้ยินกันบ่อย และก็พูดกันบ่อยด้วย “กิเลส” แปลว่า สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง “กิเลส แปลว่า เศร้าหมอง” ถ้าโดยความหมายแล้ว.. คือสิ่งที่มันมาปน หรือเกิดขึ้นกับจิต แล้วทำให้จิตมันเศร้าหมองไป แปลหนัก ๆ ก็เรียกว่าเป็น “ความชั่ว” ที่แฝงอยู่ก็ได้นะ แต่บางทีกิเลสบางตัวนะ มันจะบอกว่า “ชั่ว” ก็ดูจะรุนแรง กิเลสเราเคยได้ยินกันว่ามี โลภะ โทสะ โมหะ ๓ ตัวใช่ไหม? ทีนี้ในกิเลสวัตถุ จะระบุไว้ถึง ๑๐ ข้อ มี.. ๑. โลภะ ๒. โทสะ ๓. โมหะ ๔. มานะ ๕. ทิฏฐิ ๖. วิจิกิจฉา ๗. ถีนะ ๘. อุทธัจจะ ๙. อหิริกะ ๑๐. อโนตตัปปะ “ถีนะ” ก็คือ ความซึม ความง่วง ความขี้เกียจ ประมาณนี้ “อหิริกะ” ก็คือ ความไม่ละอาย “อโนตตัปปะ” ก็คือ ความไม่เกรงกลัว ความไม่ละอายและความไม่เกรงกลัว คือ ไม่ละลายต่อบาป และ ไม่เกรงกลัวต่อบาป อันนี้ถือเป็นกิเลสด้วยเหมือนกัน ก็ทั้งหมดนี้เป็น “เหตุ” ให้ไปทำ “กรรม” มีกิเลสตัวใดตัวหนึ่งก็แล้วแต่ ..เป็นเหตุให้ไปทำกรรม ..เมื่อทำกรรม ก็รับวิบาก วิบากที่ทำ ด้วย “กรรมที่มีกิเลส” ก็จะเป็นวิบากที่ “เผ็ดร้อน” เพราะว่าทำจากจิตที่มันเศร้าหมองจากกิเลสในแง่ต่างๆ เช่น โลภ ก็ไปลักของเขาก็ได้ หรือจะไปฆ่าเขาก็ได้ใช่ไหม? โลภแล้วไปฆ่า อยากได้เงินล้าน – เป็น ๒ ล้าน ก็โลภนะ! อยากได้ แล้วก็ไปฆ่า นี่ก็เพราะโลภ ก็ไปทำความชั่ว พอไปทำชั่ว แล้วก็ได้รับวิบาก ได้รับวิบาก แล้วบางทีก็ไม่รู้หรอกว่า เป็นผลมาจากการที่มีกิเลส มีกิเลส – ทำกรรม – แล้วรับวิบาก พอรับวิบากมา..ไม่รู้ว่า ‘ทำไมเราต้องทุกข์อย่างนี้?’ ก็ไปทำความไม่พอใจ แล้วก็สร้างตัณหา สร้างกิเลสขึ้นมาใหม่ สร้างกรรมอีก! ทำกรรมลงไปอีก! แล้วรับวิบากไปอีก! ก็เลยเรียกว่าเป็น “ไตรวัฏฏ์” กิเลส – กรรม – วิบาก รับ “วิบาก” แล้วก็มี “กิเลส” มี “กิเลส” ก็ทำ “กรรม” ทำ “กรรม” แล้วรับ “วิบาก” “วิบาก” ก็คือ ผลของการกระทำ ที่เราไปไหนไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้ทันวงจรอันนี้ ที่เรียกว่า ไตรวัฏฏ์ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ที่ว่า “ไตรวัฏฏ์” ก็คือ มันวนอยู่อย่างนี้ วัฏฏะ-วนอยู่อย่างนี้ วนไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่จบเลย แต่เราก็มีโอกาสที่จะพ้นไปจากวัฏฏะนี้ โดยการที่มา “รู้ทันกิเลส” ในขณะที่ตอนรู้ทันกิเลส เราได้ทำกรรมตัวหนึ่งเรียกว่า “กรรมฐาน” “กรรมฐาน” จะเป็นการทำกรรม เพื่อพ้นจากกรรมที่มันจะเกิดวิบาก ..แล้วก็มีกิเลส ..แล้วก็ทำกรรม คือ พ้นจากไตรวัฏฏ์นี้เอง ที่เรามาเรียนรู้พุทธศาสนา ก็คือมาเรียนรู้ที่จะรู้จักกิเลส เพื่อจะได้ไม่ถูกมันครอบงำ แล้วจะได้ไม่หลงวนเวียนอยู่ในไตรวัฏฏ์อันนี้ ก็ต้องทำความรู้จัก.. “กิเลสไม่ได้อยู่ที่อื่นใดเลย มันอยู่ที่ใจ” เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเวลาสอนให้เจริญสติปัฏฐาน จึงมาให้ดูที่ “จิตตัวเอง” จิตมีราคะ ให้รู้ว่ามีราคะ จิตมีโทสะ ให้รู้ว่ามีโทสะ จิตมีโมหะ ให้รู้ว่ามีโมหะ จิตฟุ้งซ่าน..ให้รู้ จิตหดหู่..ก็ให้รู้ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ก็อยู่ในกิเลส ๑๐ ตัวนี้เหมือนกัน คือแล้วแต่ว่าจะอธิบายกิเลสในแง่มุมไหน กิเลสที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่ก็ ๓ ตัวแรก ก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ถ้าจะแยกออกมาเป็น ๑๐ ตัวก็ได้ หรือจะเป็นอุปกิเสล ๑๖ อย่างที่เราสวดกันบ่อย ๆ ก็ได้ แล้วแต่ว่าพระพุทธเจ้าจะสอนใคร ด้วยวัตถุประสงค์แบบไหน บางทีการแจกแจงกิเลสก็จะมีโดยย่อ ๓ ข้อ ขยายออกมาหน่อยเป็น ๑๐ ข้อ ขยายออกไปอีกก็เป็น ๑๖ ข้อ (บางคัมภีร์นับจำนวนกิเลสได้ถึง ๑,๕๐๐) พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=0uL7F3FS-5Q (นาทีที่ 3.16-8.29)

อ่านต่อ