All posts by admin
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๑ ??? #ถาม : เคยได้ยินมาว่า พระอรหันต์จะไม่หัวเราะเสียงดังหรือยิ้มแฉ่งจนเห็นฟัน…
#นิมฺมโลตอบโจทย์ ๑๑๑
???
#ถาม : เคยได้ยินมาว่า พระอรหันต์จะไม่หัวเราะเสียงดังหรือยิ้มแฉ่งจนเห็นฟัน อันนี้จริงไหมครับ?
#ตอบ : ขึ้นอยู่กับ “วาสนา” ของแต่ละท่านนะ
“วาสนา” ในพุทธศาสนามีความหมายว่า ..
อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมมาเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็ว หรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น
ท่านขยายความว่า วาสนา ที่เป็นกุศล ก็มี เป็นอกุศล ก็มี เป็นอัพยากฤต คือ เป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว ก็มี
ที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ
แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้น แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบายกับส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้ แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้
จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้ พร้อมทั้งวาสนา
[จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)]
ในคัมภีร์อรรถกถา มักบรรยายถึงการแย้มยิ้มของพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นเหตุให้ทรงแสดงธรรม เช่น ในอรรถกถาฆฏิการสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ มีข้อความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำเนินไปโดยมหามรรคา ทรงตรวจดูภูมิประเทศแห่งหนึ่ง แล้วทรงรำพึงว่า
“เมื่อเราประพฤติจริยาอยู่ เคยอยู่ในที่นี้บ้างหรือหนอ” ดังนี้
ทรงเห็นว่า “เมื่อศาสนาพระกัสสปพุทธเจ้า ที่นี้เป็นนิคมชื่อว่า เวภัลลิคะ ในกาลนั้น เราเป็นมาณพชื่อ โชติปาละ เรามีสหายเป็นช่างหม้อชื่อ ฆฏิการะ เรากับนายฆฏิการะนั้นได้กระทำเหตุอันดีไว้อย่างหนึ่งในที่นี้ ความดีนั้นยังปกปิดอยู่ ยังไม่ปรากฏแก่ภิกษุสงฆ์ เอาเถิด เราจะกระทำเรื่องนั้นให้ปรากฏแก่ภิกษุสงฆ์” ทรงดำริดังนี้แล้ว ทรงหลีกออกจากทางประทับยืนอยู่ ณ ประเทศหนึ่งเทียว ทรงกระทำความแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ ทรงแย้มพระโอษฐ์.
พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงพระสรวล เหมือนอย่างพวกมนุษย์ชาวโลกีย์ ย่อมตีท้องหัวเราะว่า ที่ไหน ที่ไหน ดังนี้.
ส่วนการยิ้มแย้มของพระพุทธเจ้าทั้งหลายปรากฏเพียงอาการยินดีร่าเริงเท่านั้น.
…..
อนึ่ง ความแย้มนี้นั้น ถึงมีประมาณเล็กน้อยอย่างนี้ ก็ได้ปรากฏแก่พระเถระ.
ถามว่า ปรากฏอย่างไร?
ตอบว่า ธรรมดาในกาลเช่นนั้น เกลียวรัศมีมีประมาณเท่าต้นตาลใหญ่ รุ่งเรืองแปลบปลาบประดุจสายฟ้ามีช่อตั้ง ๑๐๐ จากพระโอษฐ์ ประหนึ่งมหาเมฆที่จะยังฝนให้ตกในทวิปทั้ง ๔ ตั้งขึ้นจาก
พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ กระทำประทักษิณพระเศียรอันประเสริฐ ๓ รอบ แล้วก็อันตรธานหายไป ณ ปลายพระเขี้ยวแก้วนั่นแล.
เพราะเหตุนั้นท่านพระอานนท์ถึงจะเดินตามไปข้างพระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทราบถึงความแย้มพระโอษฐ์ด้วยสัญญานั้น.
…..
การยิ้มแย้มและการหัวเราะนั้น ในคัมภีร์อลังการ ได้จำแนกไว้ ๖ ระดับ คือ
๑. สิตะ ยิ้มอยู่ในหน้า ไม่เห็นไรฟัน
๒. หสิตะ ยิ้มแย้มพอเห็นไรฟัน
๓. วิหสิตะ หัวเราะเบาๆ
๔. อุปหสิตะ หัวเราะจนกายไหว
๕. อปหสิตะ หัวเราะจนน้ำตาไหล
๖. อติหสิตะ หัวเราะจนสั่นพลิ้วและโยกโคลงไปทั้งตัว
แล้วระบุว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย จะยิ้มแย้มอยู่เพียงระดับ ๑ กับ ๒ เท่านั้น
พระเสขบุคคลจะยิ้มแย้มและหัวเราะได้ถึงระดับ ๔
ระดับ ๕ และ ๖ เฉพาะของปุถุชน
อันนี้ว่าตามคัมภีร์
แต่ครูบาอาจารย์ท่านชี้แจงว่า มันอยู่ที่วาสนาของพระอรหันต์แต่ละท่านนะ
พระอรหันต์จะยิ้มด้วยกิริยาจิต บางท่านก็ไม่ยิ้มอะไรมาก บางท่านก็ยิ้มน้อยๆ ยิ้มงาม บางท่านก็ยิ้มกว้าง เป็นวาสนาของแต่ละท่านนะ เพราะท่านไม่มีมารยาว่าจะทำอย่างไรให้ดูดีหรือให้คนนับถือ แต่มันเป็นกริยาที่แสดงออกไปเพื่อสื่อสารเท่านั้นเอง
ที่ว่า พระอรหันต์ยิ้มไม่ได้ ถ้ายิ้มแล้วแสดงว่าจิตมีโลภะ หน้าบึ้งก็ไม่ได้ ถ้าหน้าบึ้งก็แสดงว่าจิตมีโทสะ อันนี้น่าจะเป็นเพราะเอามาเทียบกับมาตรฐานของจิตปุถุชน
บางที ปุถุชนก็ยิ้มด้วยจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ที่เป็นกามาวจรกุศลจิตก็ได้ เช่น เบิกบานในกุศลที่กำลังทำอยู่ หรือ ฟังธรรมด้วยความซาบซึ้งผ่องใส เป็นต้น
บางที ปุถุชนก็ยิ้มด้วยจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา ที่เป็นอกุศลจิต เป็นโลภมูลจิตก็ได้ เช่น เพลิดเพลินไปกับการแสดงที่สนุกสนาน หรือ ดีใจที่มีคนชม เป็นต้น
เวลาพระอรหันต์ท่านยิ้มด้วยกิริยาจิต ซึ่งจะเป็นอย่างไรแน่ ก็ดูจะเป็นเรื่องไกลเกินไปที่จะทำความเข้าใจ
สำหรับปุถุชนแบบเราๆ หรือผู้ฝึกภาวนาทั้งหลาย มาหัดเจริญสติทำความรู้สึกตัวกันดีกว่า ว่าในแต่ละครั้งที่เรายิ้มหรือหัวเราะนั้น เรายิ้มหรือหัวเราะด้วยจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล
ถ้าแยกไม่ออก งง..ก็รู้ว่า งง !
หรือจะดูกายที่มันขยับไหวในขณะที่ยิ้มหรือหัวเราะก็ได้
หรือจะให้ง่ายกว่านั้น มาหัดเจริญสติดูโสมนัสเวทนา คือความสุขใจ ที่เกิดในขณะที่ยิ้มหรือหัวเราะนั้นก็ได้
ดูไป.. ทั้งกายที่ยิ้ม ที่เคลื่อนไหว ทั้งจิตที่สุข ทั้งปรุงกุศลหรืออกุศลนั้น ก็แสดงไตรลักษณ์ทั้งสิ้น
สุดท้ายของคำตอบนี้ ขอฝากภาพพระเถระที่ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง มาเป็นสังฆานุสสติ
๑๐ เมษายน ๒๕๖๑
ชวนม่วนชื่น 090 – การหัวเราะที่ดังสุดของหมามะกัน
ชวนม่วนชื่น 089 – หัวเราะตัวเอง
ชวนม่วนชื่น 088 – การแต่งตัวของพระ
ชวนม่วนชื่น 087 – อาหารค่ำกับองค์กรนิรโทษกรรมสากล
ชวนม่วนชื่น 086 – โลกเสรี
16 คำถาม ขยายคำว่าวิปัสสนา
15 คำถาม ทำกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแต่กลับมีพุทโธแทรกขึ้นมา
14 คำถาม เสียงในหัวคือจิตสังขารใช่หรือไม่
วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๑ วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ ??? พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๕๘ #ดีเล็กดีน้อยอย่ามองข้าม…
วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๑
วันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕
???
พระกฤช #ฝากคิด #ฝากคำ ๑๕๘
(ความ)ดีเพียงเล็กๆน้อยๆ
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อย่ามองข้าม
ยาหยอดตาเพียงหยดเดียว ก็สามารถทำให้ตาสว่างได้
(ความ)ชั่วเพียงเล็กๆน้อยๆก็อย่ามองข้าม
ยาพิษแม้เพียงหยดเดียว ก็ทำให้เราตายได้
ฉะนั้น เวลาเราอยู่ในชีวิตนะ
พยายามมองให้ออกว่า อะไรดี – อะไรไม่ดี
แยกแยะให้ได้
ไอ้ที่ไม่ดี.. ถ้าเห็นแล้ว (ให้)หลีกเลี่ยง
ไอ้ที่ดี.. ถ้าเห็นแล้ว (ให้)เจริญขึ้นมา
แล้วทำให้จริง!
บางทีเราใจร้อน
คิดว่า ‘ทำดีแล้ว.. ทำไมไม่เห็นผลสักที?’
(คือ)มันดี (แต่)ยังไม่พอ!
“ดี”ที่จะทำให้เห็นผล คือ “ดีให้เป็นประจำ”
ไม่ต้องดีให้ครบถ้วน ไม่ต้องทำดีทุกอย่าง
แต่ทำดีสักอย่างหนึ่งให้มันดีจริงๆ
แล้วมันจะดึงเอาสิ่งที่ดีๆอื่นๆเข้ามาในชีวิต
แล้วจะรู้สึกว่า ความดีนั้น.. จริงๆแล้วไม่ยาก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า..
คนดี.. ทำดีไม่ยาก
คนดี.. ทำเลวยาก
คนเลว.. ทำเลวง่าย ทำดียาก
พอเราคิดดีขึ้นมาเนี่ย ให้มันดีจริงๆสักอย่างหนึ่ง
ให้มันมีความตั้งใจ(จะทำความดี)สักอย่างหนึ่ง….
ธรรมบรรยายโดย..
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
???
เรียบเรียงจากไฟล์เสียง 610111 Renovateชีวิต
ลิงค์ไฟล์เสียง http://bit.ly/2Ha1eTk
นาทีที่ 14.01-1511

