All posts by gade

สติ กับ สัมมาสติ ต่างกันยังไงคะ ?

ถาม : พระอาจารย์คะ สติ กับ สัมมาสติ ต่างกันยังไงคะ ?
สติ คือ สติโลก ๆ ปะคะ ? แล้ว.. สัมมาสติ คือ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงหรือเปล่าคะ ?

ตอบ : สติ ทั่ว ๆ ไปก็แปลว่า ระลึกได้, นึกได้, ไม่เผลอ
สัมมาสติ หมายเฉพาะสติปัฏฐาน ๔
คือเป็นสติที่ระลึกถึงกาย, เวทนา, จิต, ธรรม

ถ้าระลึกถึงสิ่งอื่นก็เป็นสติธรรมดา
ในสติปัฏฐานไม่ได้กล่าวเพียงการระลึกเท่านั้น
แต่กล่าวว่าระลึกรู้ตามที่เป็นจริง เท่าที่มันเป็น ไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย
เพราะถ้าถูกครอบงำ.. การเห็นสภาวะจะเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส

หมายเหตุ : ขอยกข้อความใน “มหาสติปัฏฐานสูตร” มาให้ศึกษา
สติปัฏฐาน ๔
ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙

เมื่อจิตรู้ เสมือนยืมขันธ์มาทิ้งขันธ์อีกที ใช่ไหมครับ

ถาม : เมื่อจิตรู้ เสมือนยืมขันธ์มาทิ้งขันธ์อีกที ใช่ไหมครับ

(ขยายความต่อจากคำถาม ตัวรู้ ที่ฝึกในการฝึกสติ ใช่เป็นนามในขันธ์ห้าหรือป่าวครับ ?)
ตอบ : ขอนำสำนวนของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ มาตอบ ดังนี้
“มนุษย์มีความโน้มเอียงที่จะยึดถืออยู่เสมอว่า ตัวตนที่แท้ของตนมีอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง
บ้างก็ยึดเอาจิตเป็นตัวตน บ้างก็ยึดว่ามีสิ่งที่เป็นตัวตนอยู่ต่างหาก แฝงซ้อนอยู่ในจิตนั้น
ซึ่งเป็นเจ้าของ และเป็นตัวการที่คอยควบคุมบังคับบัญชา กายและใจนั้นอีกชั้นหนึ่ง

การแสดงขันธ์ ๕ นี้ มุ่งให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า “สัตว์” “บุคคล” “ตัวตน” เป็นต้นนั้น เมื่อแยกออกไปแล้ว
ก็จะพบแต่ส่วนประกอบ ๕ ส่วนเหล่านี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นเหลืออยู่ที่จะมาเป็นตัวตนต่างหากได้
และแม้ขันธ์ ๕ เหล่านั้น แต่ละอย่างก็มีอยู่เพียงในรูปที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน ไม่เป็นอิสระ
ไม่มีโดยตัวของมันเอง ดังนั้นขันธ์ ๕ แต่ละอย่าง ๆ นั้นก็ไม่ใช่ตัวตนอีกเช่นกัน

รวมความว่า หลักขันธ์ ๕ แสดงถึงความเป็นอนัตตา ให้เห็นว่าชีวิตเป็นการประชุมเข้าของส่วนประกอบต่าง ๆ
หน่วยรวมของส่วนประกอบเหล่านี้ ก็ไม่ใช่ตัวตน ส่วนประกอบแต่ละอย่าง ๆ นั้นเอง ก็ไม่ใช่ตัวตน
และสิ่งที่เป็นตัวตนอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่านี้ก็ไม่มี
เมื่อมองเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะถอนความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวตนได้”

ดังนั้น จะเรียกว่า ยืมมาทิ้ง ก็ไม่ว่าอะไร แต่ทิ้งแล้วไม่หยิบมาอีก
จุดสำคัญอยู่ที่ เห็นความจริง แล้วถอนความถือมั่น
และขอนำ ภารสุตฺตคาถา มาแสดงประกอบ เพื่อให้เข้าใจชัดขึ้น
เป็นสำนวนที่แปลโดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ซึ่งหลวงปู่แปลได้สะใจดี
……………………………………….

ภารา หเว ปัญจักขันธา
ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนัก เว้ย

ภารหาโร จ ปุคคโล
แต่บุคคลยังยึดถือภาระไว้

ภาราทานัง ทุกขัง โลเก
การแบกภาระไว้ เป็นทุกข์ในโลก

ภารนิกเขปนัง สุขัง
การปล่อยวางภาระเสีย เป็นความสุข

นิกขิปิตวา ครุง ภารัง
บุคคลปล่อยวางภาระเสียได้แล้ว

อัญญัง ภารัง อนาทิย
ไม่เข้าไปยึดถือเอาสิ่งอื่นเป็นภาระอีก

สมูลัง ตัณหัง อัพพุยห
เป็นผู้รื้อถอนตัณหา กับทั้งมูลรากได้แล้ว

นิจฉาโต ปรินิพพุโต ติ
เป็นผู้หมดความอยาก แล้วปรินิพพาน ดังนี้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

ตัวรู้ ที่ฝึก ในการฝึกสติ ใช่เป็นนามในขันธ์ห้าหรือป่าวครับ ?

ถาม : ตัวรู้ ที่เราฝึกกัน ให้เรารู้ในการฝึกสติ ใช่เป็นนามในขันธ์ห้าหรือป่าวครับ ?

ตอบ : ใช่
“ตัวรู้” ที่เราฝึกในขั้นเจริญสติ ก็เป็นนามธรรม ซึ่งถ้าเทียบในขันธ์ ๕ ก็จัดอยู่ใน “สังขารขันธ์”
เพื่อให้มีความเข้าใจมากขึ้น จะแสดงคำอธิบาย “ขันธ์ ๕” ในที่นี้ไปด้วย
[นำมาจาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)]

ขันธ์ ๕ คือ
กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมห้าหมวดที่ประชุมกันเข้าเป็นหน่วยรวม ซึ่งบัญญัติเรียกว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา – เขา เป็นต้น,
ส่วนประกอบห้าอย่างที่รวมเข้าเป็นชีวิต)

1. รูปขันธ์ (กองรูป, ส่วนที่เป็นรูป, ร่างกาย พฤติกรรม และคุณสมบัติต่าง ๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย,
ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด, สิ่งที่เป็นร่างพร้อมทั้งคุณและอาการ)
2. เวทนาขันธ์ (กองเวทนา, ส่วนที่เป็นการเสวยรสอารมณ์, ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ)
3. สัญญาขันธ์ (กองสัญญา, ส่วนที่เป็นความกำหนดหมายให้จำอารมณ์นั้น ๆ ได้, ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์ ๖
เช่นว่า ขาว เขียว ดำ แดง เป็นต้น)
4. สังขารขันธ์ (กองสังขาร, ส่วนที่เป็นความปรุงแต่ง, สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลาง ๆ,
คุณสมบัติต่าง ๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิต ให้เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต)
5. วิญญาณขันธ์ (กองวิญญาณ, ส่วนที่เป็นความรู้แจ้งอารมณ์, ความรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง ๖
มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ได้แก่ วิญญาณ ๖)

ขันธ์ ๕ นี้ ย่อลงมาเป็น ๒ คือ นาม และ รูป; รูปขันธ์จัดเป็นรูป, ๔ ขันธ์นอกนั้นเป็นนาม.
อีกอย่างหนึ่ง จัดเข้าในปรมัตถธรรม ๔: วิญญาณขันธ์เป็น จิต, เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์
เป็น เจตสิก, รูปขันธ์ เป็น รูป, ส่วน นิพพาน เป็นขันธวินิมุต คือ พ้นจากขันธ์ ๕

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

คุณพ่อชอบเปิดเพลงเสียงดัง น่าหงุดหงิดทั้งวัน

ถาม : ขอปรึกษาค่ะ ตอนนี้อยู่บ้านทีไรจะมีเรื่องขัดใจอยู่เรื่อย ที่หนักมากช่วงนี้คือ
คุณพ่อชอบเปิดเพลงเสียงดัง รบกวนเรามาก เพลงก็โบราณ เราจะทำใจชอบไปด้วย
..ก็ทำใจยากค่ะ มันไม่ใช่แนวเราเลย พอจะเปิดเพลงแนวเรา พ่อก็ไม่เอาด้วย
บรรยากาศที่บ้านก็เลยน่าหงุดหงิดทั้งวัน จะทำยังไงดีคะ

ตอบ : ปัญหาระหว่างคนสองวัย.. ที่น่าเห็นใจจริง ๆ
ก่อนจะตอบปัญหานี้ ขอให้ถามเราเองก่อนว่า “เรารักพ่อมั้ย ?”
คำตอบจะออกมาว่า “รัก”

ถ้ารักพ่อ.. เราก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจที่ “เพลง”
ให้หันมาใส่ใจที่ “พ่อ”
มาใส่ใจว่า ขณะที่พ่อกำลังฟังเพลงอยู่นั้น “พ่อกำลังมีความสุข”!
คนที่เรารักกำลังมีความสุข.. เราก็สุขด้วย!!
แต่ถ้าไปใส่ใจที่เพลง (โบราณ!)

ใจเราก็พบแต่อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา เป็นเหตุให้ใจหงุดหงิด เป็นโทสะ
เราไม่จำเป็นต้องบังคับใจตนเองให้ชอบเพลงแนวเดียวกับพ่อ
เพียงแต่หันมาดู “พ่อกำลังมีความสุข”

“พ่อกำลังมีความสุข” เป็นอิฏฐารมณ์ คือ เป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนา
จิตได้เสพอารมณ์ที่น่าปรารถนา จิตก็มีความสุขแล้ว
เหมือนกับเราเลี้ยงแมว เรารักแมว อยากให้แมวมีความสุข

เราซื้ออาหารเม็ดสำหรับแมวมาให้แมวกิน
เราเห็นแมวกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เราก็มีความสุข
โดยที่เราไม่จำเป็นต้องชอบอาหารเม็ดสำหรับแมวนั้น
หรือไม่ต้องกินอาหารเม็ดสำหรับแมวเพื่อให้เราเองมีความสุข

พอเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนจุดใส่ใจ เราก็มีความสุขได้..
แบบไม่ต้องพยายามเลย สุขเดี๋ยวนั้นเลย
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเคยชิน ใจเราอาจจะแอบไปฟังเพลง (โบราณ!) ที่เราไม่ชอบอีก
คราวนี้จะเป็นโอกาสที่เราจะมาเจริญสติ

ใจเห็นพ่อสุข.. ใจเราสุข ก็รู้ทันว่าใจเราสุข
ใจแอบไปฟังเพลง.. หงุดหงิด ก็รู้ทันว่าหงุดหงิด
ใจคิดไปต่าง ๆ นานา ก็รู้ทันว่าฟุ้งซ่าน
ใจไหลไปหาเสียงเพลง ก็รู้ว่าใจไหลไป
ใจเป็นสุข ก็ไม่เคลิบเคลิ้มกับความสุข ..แค่รู้
ใจเป็นทุกข์ ก็ไม่ต่อต้านกับความทุกข์ ..แค่รู้
ไม่เป็นศัตรูและไม่มีอคติกับสิ่งเหล่านั้น
รู้สิ่งที่ปรากฏ ด้วยจิตที่เป็นกลาง
จิตจะฉลาด โดยที่เพลงอาจจะยังไม่ทันจบด้วยซ้ำไป!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๙

อะไรเป็นศัตรูของพระพุทธศาสนา

ถาม : อะไรเป็นศัตรูของพระพุทธศาสนา

ตอบ : คำถามนี้เป็นคำถามเปิด! ซึ่งคำตอบนี่หลากหลายมาก
(ผู้ถามเล่าว่า) เคยเอาไปถามคนหนึ่ง แล้วคนนั้นตอบว่า..
ศัตรูของพระพุทธศาสนา คือ ทุนนิยม!
อะไรอย่างนี้นะ! อันนี้เขาก็เป็นมุมมองหนึ่ง
#คำตอบ.. ถ้าอาตมาเป็นผู้ตอบ..
อาตมาก็จะต้องตีโจทย์ก่อน!
ตีโจทย์ว่า.. “ศัตรูของพระพุทธศาสนา”

คำว่า “ศัตรู” นี่ไม่ยาก!
มาสนใจคำว่า “พระพุทธศาสนา” คืออะไร?
เพราะถ้าเราตีความหมายของ “พระพุทธศาสนา” ออก เราจะมองออกว่าศัตรูของ “พระพุทธศาสนา” คืออะไร ?
เหมือนอย่างที่คนไปตีความว่า..
พระพุทธศาสนาคืออะไรก็ไม่รู้
แล้วก็บอกว่า..ศัตรูของพระพุทธศาสนา คือทุนนิยมเนี่ยนะ!
มันก็กลายเป็นเขามองพุทธศาสนา เป็นแง่ที่ตรงข้ามกับทุนนิยม

ทีนี้ในความเห็นของอาตมา..
“พระพุทธศาสนา” ..ลองแยกคำดู!
“ศาสนา” แปลว่า คำสอน
คำสอนของใคร ? .. คือ คำสอนของ “พุทธะ”
“ศาสนา” แปลว่า คำสอน
“พุทธะ” คือ ผู้รู้
(ถ้าเป็นคำสอนของพระคริสต์ ก็เป็นศาสนาคริสต์)
“พุทธศาสนา” ก็แปลว่า คำสอนของพระพุทธะ

“พระพุทธะ” ในที่นี้ของพวกเราก็คือ พระพุทธะ
ผู้เป็นสัมมาสัมพุทธะ คือ ตรัสรู้เอง
ถ้าเราตีความได้อย่างนี้แล้วเนี่ย!
#ศัตรูของคำสอนของพระพุทธะ ก็คือ.. “#อะไรที่มันชวนให้โง่”
“พระพุทธะ” แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
อะไรที่มันชวนให้โง่ ให้ซึม ให้ทื่อ
อันนั้น.. คือศัตรูของพุทธศาสนา

ฉะนั้น มันไม่ใช่เป็นคน ไม่ใช่เป็นสัตว์
ไม่เป็นลัทธิ ไม่ใช่เป็นแก๊งอะไรที่ไหน
ไม่ใช่เป็นสำนักอะไรที่ไหน
แต่เป็นอะไรก็ตาม ที่ชวนให้จิตมันหลุดออกจากความเป็นพุทธะ
ก็คือ.. มันชวนให้เราโง่
ชวนให้เราติดยึด ชวนให้เรายึดมั่นถือมั่น
ทำให้มืด ทำให้มัวหมอง ให้ซึม ให้ทื่อ
ทำให้ไม่ปลอดโปร่ง ไม่เบิกบาน
นั่นคือ ภาวะที่ชวนให้จิตไม่เป็นพุทธะ

“พุทธะ” แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ไม่ใช่รู้ธรรมดาด้วย รู้แบบตื่นด้วย
แล้วไม่ใช่รู้แบบตื่นแบบปกติ
ไม่ใช่รู้ตื่น แต่ซึม ๆ ทื่อ ๆ แต่เป็น “รู้ตื่นและเบิกบาน”
ฉะนั้น อะไรที่ชวนให้ติดยึด กลายเป็นไม่รู้ – โง่
แล้วก็มัวหมอง แล้วก็หลับใหล
“หลับใหล” นี่คือ ไปติดอยู่กับโลก
“ติดอยู่กับโลก” นี่มันติดอะไรได้บ้าง ?

“ทุนนิยม” ก็เป็นคำหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นศัตรู
ถ้ามองในแง่แบบแคบ ๆ ก็คือ
ติดอยู่ในทุนนิยม แต่อะไรก็ตามที่ทำให้มันติดเนี่ยนะ !
แม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนเป็นนักบวชแล้ว เป็นตัวแทนพุทธศาสนา
แต่ถ้าสอนให้ไปติดยึดคำสอนของผู้ที่ห่มเหลือง และโกนหัวอย่างนี้นะ!
ถ้าสอนให้ติดยึดองค์นั้น อย่างนี้ก็เป็นศัตรูของพุทธศาสนา ..เข้าใจมั้ย ?
คำสอนนั้นเป็นศัตรูของพุทธศาสนา

แต่ถ้าเป็นโยมด้วยกัน..
สมมุติโยมด้วยกันตักเตือนกันเอง
แล้วทำให้เกิดมีภาวะตื่นรู้ขึ้นมา
คือ.. ตื่นรู้ยังไง ?
ตื่นรู้สภาวะแรกก็คือ มีสติ
คือ รู้สภาวะที่เป็นจริงขึ้นมา
คำเตือนนั้นก็เป็นคำเตือนของกัลยาณมิตรในพุทธศาสนา

ปกติเราจะรู้โลกข้างนอกใช่มั้ย ?
รู้คนนู้น รู้คนนี้ รู้ข่าวคราวบ้านเมือง
แต่พอเขาชี้ให้ดูว่า โทสะเป็นอย่างนี้ หรือกำลังคร่ำครวญ
ตอนกำลังคร่ำครวญ ในใจมันไม่มีคำว่า “คร่ำครวญ” นะ มีแต่คำว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ?
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? ทำไมมีแต่คนทิ้งเราไป ? เขาลืมเราแล้วเหรอ ?”
คิดอย่างนี้.. คือ กำลังคร่ำครวญอยู่
มีคนชี้ให้ดูว่านี่คือ คร่ำครวญนะ! เขาตื่นขึ้นมา!
ภาวะอย่างนี้เขาเรียกว่า “ภาวะรู้ตื่น”

ตอนรู้ตื่นเนี่ยไม่เหมือนตอนคร่ำครวญ ตอนคร่ำครวญไม่เบิกบาน
แต่พอรู้แล้วมันเบิกบาน.. เข้าใจมั้ย!
คนที่ชี้สภาวะอย่างนี้ได้
คนนั้นเป็นผู้ที่พาจิตเราให้มีภาวะแห่งพุทธะขึ้นมา

แม้เพียงชั่วคราว
พุทธะเบื้องแรกนี่ก็เป็นรู้ตื่นเบิกบาน
จากการมีสติรู้สภาวะแห่งความเป็นจริง แล้วก็รู้บ่อย ๆ
สภาวะที่จะชวนให้เราพลาด ก็คือ จิตมันพลาดจากความเป็นผู้รู้ไป
ขณะนั้นเรียกว่าเป็นศัตรูหมดเลย
ฉะนั้น มันไม่ได้เป็นบุคคล ไม่ได้เป็นแก๊ง ไม่ได้เป็นสำนักไหน คือจิตที่มันยังฝึกไม่ดีพอนั่นแหละ!

แต่พอฝึกได้ดีพอแล้ว
อะไรก็ไม่มาทำให้เราเป็นผู้หลงใหล
ผู้มัวหมอง หรือผู้หลับไปได้
เหมือนพระพุทธเจ้า.. พอตรัสรู้แล้ว หรือพระอรหันต์ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเป็นศัตรูกับท่านได้
ใจของท่านหลุดพ้นไปแล้ว
เบื้องหน้าของท่านก็มีแต่ว่า.. เมื่อไหร่ขันธ์ ๕ นี้จะดับไป.. เท่านั้นเอง

มองเห็นแล้วว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นเพียงภาระ
แต่ก็อาศัยขันธ์ ๕ นี้แหละ มาเป็นที่ฝึก
ฉะนั้น ท่านก็ไม่มองว่า “ศัตรูคือขันธ์ ๕” ด้วย!
ขันธ์ ๕ ก็เป็นเพียงอะไรอย่างหนึ่ง ที่อาศัยมาแล้ว ก็เกิดปัญญาขึ้นมา
ไม่ติดยึดในขันธ์ ๕ แล้วก็ไม่เห็นขันธ์ ๕ เป็นศัตรูนะ!
แต่ตอนนี้พวกเรายังรู้บ้าง หลงบ้าง
รู้บ้าง หลงบ้าง ไอ้ความหลงยังเป็นศัตรูอยู่
พระอรหันต์ไม่มองอะไรเป็นศัตรู พระพุทธเจ้าไม่มองพระเทวทัตเป็นศัตรู

ไม่มองว่าพราหมณ์เป็นศัตรู
ไม่มองว่าพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศัตรู ไม่มองอย่างนั้น
ถ้าเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยสมบูรณ์แล้ว
จะไม่มองอะไรเป็นศัตรู
มองเห็นแต่สัตว์ผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีแต่ความกรุณา.. ที่มองเห็นว่าเขายังเป็นผู้โง่
หรือเป็นผู้เขลา ยังมีทุกข์อยู่
มองเห็นว่าเขาเหล่านั้นเป็นทุกข์

มองขันธ์ ๕ ที่ตัวเองเคยยึด มองแล้วก็เห็นว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าเสียดายอาลัยอาวรณ์
ไม่อาลัยว่า.. “ฉันจะตายไปแล้ว” ไม่ใช่อย่างนั้น!
มองเป็นว่า อาศัยขันธ์ ๕ นี่แหละ
เมื่อครั้งหนึ่งมันทำให้ทุกข์ใจ
แต่ตอนนี้ฉลาดแล้ว จะตายก็ตายไป ไม่ได้ว่ากัน
ไม่อาลัยอาวรณ์
แล้วก็ไม่ถึงกับเกลียดมัน
จนกระทั่งเรียกว่า “เมื่อไหร่มันจะตายสักที”
ไม่คิดอย่างนั้นด้วย เข้าใจมั้ย ?

มันเป็นกลางแท้ ๆ เลย
ไม่มีเห็นว่าอะไรเป็นศัตรู
รวมทั้งไม่เห็นอะไรเป็นที่รักที่พอใจด้วยซ้ำไป
ไม่ติดยึดและไม่ผลักไส
อยู่กับมันไปอย่างนี้
แต่ของเรานี่นะ..

ขณะนี้อาจจะมีบ้างที่ไม่ชอบใจสิ่งนั้น
ไม่ชอบใจสิ่งนี้
ภาวะที่เป็นศัตรูจริง ๆ กลายเป็นว่า
คือ ความโง่ และ ความหลง
ที่ฝึกได้ของเราก็คือ..
ทำอย่างไรให้เรามีความรู้ขึ้นมาบ่อย ๆ คือรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในใจ
แล้วภาวะแห่งพุทธะนี้จะเบิกบานจะเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะก็จะเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ
สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเป็นศัตรู

ถาม: เกี่ยวกับศรัทธาด้วยไหม?

ตอบ : ศรัทธา เป็นสภาวะธรรมที่จำเป็นอยู่แล้ว
ตั้งแต่ต้น ควรจะมีศรัทธา มีศีล มีสุตะ มีจาคะ มีปัญญา
เป็นธรรมะที่ควรมีอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มต้น

ถ้าไม่มีศรัทธา ก็ไม่มีการเริ่มต้นที่จะมาเรียนรู้
เช่น ไม่มีศรัทธาว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าจริง
ก็หมดเลย!.. ไม่ต้องมาเรียนแล้ว! เพราะว่าไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าจริง
แล้วก็เป็นอันไม่ต้องเริ่มต้นเรียนรู้อะไร เพราะฟังคำสั่งสอนมาก็ไม่เชื่อว่าผู้สอนนั้นรู้จริง ก็หมดกันใช่มั้ย ?

หรือว่าแม้อาตมาเอง ถ้าผู้ฟังยังไม่ศรัทธาว่า
อาตมานี่เป็นพระดีแท้แค่ไหนนะ
แต่ว่า “เชื่อว่า” พระรูปนี้นำคำสอนของพระพุทธเจ้า.. ผู้รู้จริง มาบอกต่อ
อย่างนี้ก็ยังเป็นศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า
ศรัทธาต่อพระธรรม ศรัทธาต่อพระสงฆ์ ว่ามีผู้ที่รู้ธรรมตามพระพุทธเจ้าได้จริง

แม้ว่าผู้พูดนี้อาจจะยังไม่รู้นะ!
แต่เชื่อว่าผู้รู้จริงมีอยู่
และก็ศรัทธาตัวเอง
ว่าเราเองก็สามารถพัฒนาตัวเองให้รู้ตามได้ อย่างนี้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ที่วัดอินทาราม
ลิงก์ https://app.box.com/s/dboiakc96v1cz0e2cabdel1nz10cxn6k
คำถาม -อะไรเป็นศัตรูของพระพุทธศาสนา 590313-วัดอินทาราม

มีคำถามครับ ขันธ์คืออะไร ? แยกยังไงครับ ?

ถาม : มีคำถามครับ ขันธ์คืออะไร? แยกยังไงครับ?

ตอบ : ขอตอบทีละประเด็นนะ
ประเด็นแรก .. ขันธ์คืออะไร ?
ขันธ์ แปลว่า กอง
แปลอีกอย่างว่า สิ่งที่รวมตัวกัน
เพราะชีวิตคือการรวมตัวกันของสิ่งต่าง ๆ
พอรวมกันได้ก็เรียกว่าเป็นคน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
คือ มีความรู้สึกว่า มี “เรา” เป็นเจ้าของชีวิต

แต่ถ้าแยกส่วนประกอบที่รวมกันเหล่านั้น ก็จะพบว่า ไม่มี “เรา” อยู่ตรงไหน
เบื้องต้นก็แยกง่าย ๆ เป็น กาย กับ ใจ
ถ้าจะเรียกให้ตรงศัพท์ ก็เป็น รูปธรรม กับ นามธรรม
เรียกสั้น ๆ ว่า รูป กับ นาม

ลองแยกส่วนประกอบในส่วนของนามออกไปอีก ก็จะพบว่า
ที่เรียกรวมว่า ใจ หรือ นาม ก็เป็นที่รวมของ
– เวทนา ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
– สัญญา ความจำได้ ความหมายรู้
– สังขาร ความปรุงแต่งของจิต ที่ทำให้จิตเป็นกุศล อกุศล หรือเป็นกลาง ๆ
– วิญญาณ ความรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แยกนามเป็น ๔ ส่วน รวมกับรูปอีก ๑ ส่วน รวมเป็น ๕ ส่วน
เรียกเป็นศัพท์ว่า “ขันธ์ ๕”

ประเด็นที่สอง .. แยกขันธ์อย่างไร ?
ปกติมันก็แยกของมันอยู่แล้ว
แต่มนุษย์ส่วนมากไม่เคยมอง
จะมองแต่ในแง่ที่เป็นหน่วยรวม
คือ มองเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นนายนั่น นางนี่ ฯลฯ
ขันธ์ที่ว่ามี ๕ .. ก็รู้สึกว่ารวมเป็นเรา เป็นเขา

วิธีแยก .. ไม่ใช่ไปจงใจแยก
แค่ฝึกรู้สึกตัว
รู้สึกที่กายก็ได้ รู้สึกที่ใจก็ได้
เวลารู้สึกที่กาย ก็เห็นว่า.. “กาย” ถูกรู้ “ใจ” เป็นผู้รู้
แค่นี้ก็แยกมา ๒ ขันธ์แล้ว
กาย..เป็น “รูปขันธ์”
ใจที่รู้..เป็น “วิญญาณขันธ์”

เวลารู้สึกที่ใจ ก็เห็นว่ามีกิเลส เช่น เห็นความโกรธ
แค่นี้ก็แยกมา ๒ ขันธ์แล้วเช่นกัน
ความโกรธ..เป็น “สังขารขันธ์”
ใจที่รู้..เป็น “วิญญาณขันธ์”
เห็นสาวสวยใส ยิ้มให้ ใจเตลิด เกิดราคะ
แล้วรู้สึกตัวว่ามีราคะ

แค่นี้ก็แยกมา ๒ ขันธ์แล้วเช่นกัน
ราคะ..เป็น “สังขารขันธ์”
ใจที่รู้..เป็น “วิญญาณขันธ์”
เห็นไอ้หนุ่มอีกคน ยิ้มให้สาวคนนั้น
ใจไม่ชอบ

แล้วเกิดรู้สึกตัวขึ้นมา ว่ามีโทสะ
แค่นี้ก็แยกมา ๒ ขันธ์แล้วเช่นกัน
โทสะ..เป็น “สังขารขันธ์”
ใจที่รู้..เป็น “วิญญาณขันธ์”

ก็ฝึกรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันอย่างนี้ไปบ่อย ๆ
ไม่ต้องเรียกชื่อว่า “ราคะ-โทสะ” ก็ได้
เพียงแค่รู้ว่ามีการปรุงอะไรสักอย่างในใจ ก็ใช้ได้

ประเด็นเสริม..แยกขันธ์ไปทำไม ?
มนุษย์ทั่วไปมีความเข้าใจผิด และยึดถือว่า มีตัวตน หรือมีตัวเรา เป็นเจ้าของครองอยู่ในชีวิตคือกายและใจนี้
ยึดแล้วก็พยายามบังคับบัญชาให้มันเป็นไปตามปรารถนา
อยากได้ลาภ ได้ยศ ได้ชื่อเสียง ฯลฯ มาเสริมความเป็นเรา
อยากให้ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ฯลฯ เพราะรักและหวงความเป็นเรา

แล้วก็ทุกข์เพราะความเข้าใจผิดและถือผิดนั้น
เมื่อรู้สึกตัวบ่อย ๆ
สติ / สมาธิ / ปัญญา ก็พัฒนาขึ้นมา
มองเห็นว่า
ชีวิตก็คือขันธ์ ๕ ที่มีอยู่อย่างสัมพันธ์ และอาศัยซึ่งกันและกัน
ไม่มีตัวตนหรือตัวเราที่ไหน
เรียกว่า มีความเห็นถูก

เมื่อเห็นถูก เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น
ไม่เอาตัณหาเข้าไปจับ
ตัณหาก็ดับ และห่างทุกข์ไปทุกที
เพราะตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์
แยกขันธ์ได้ ก็คือเข้าใจโลก
เมื่อเข้าใจ .. ก็ไม่ทำร้ายโลกด้วย
เข้าใจแล้วก็เกื้อกูลกันและกัน
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโลกด้วยปัญญา
กลายเป็นชีวิตที่มีคุณค่า และมีความสุข

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙

ท่อง ‘อิติปิโสฯ’ อย่างไรจึงจะมีความสุข สงบ ?

ถาม : ท่อง ‘อิติปิโสฯ’ อย่างไรจึงจะมีความสุข สงบ ?

ตอบ : “อย่าหวังสงบ ให้สวดไปอย่างมีความสุข แล้วจะสงบเอง”
สวดไปแล้ว ถ้าไม่สงบ สวดแล้วฟุ้งซ่าน ..ก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน
ฟุ้งซ่านแล้วรำคาญใจ ..รู้ว่ารำคาญใจ
อย่าไปอยากสงบ

ถ้าอยากสงบนะ .. ยิ่งเครียด!
สวดไป .. แล้วคิดไป .. เป็นไปได้มั้ย?
สวด ๆ ไป .. แล้วก็คิดไปคิดเรื่องอื่น นอกจากบทสวดน่ะ มีมั้ย?..
สวดไปแล้วไม่มีคิดเลยเหรอ? .. เก่งมากนะ!
อาตมายังทำไม่ได้เลย!
อาตมาสวดไป .. แล้วฟุ้งซ่าน .. ฟุ้งไป ๆ
อย่างน้อย ๆ ‘คิดว่าเมื่อไหร่จะสงบเนี่ย?’
..นี่ก็ฟุ้งแล้ว!
แล้วก็มีรำคาญหน่อยๆ ด้วย

คือมันอยากสงบ แล้วไม่ได้ความสงบเนี่ยนะ! มันก็ยังมีทุกข์อยู่
แต่ถ้ามีความคิดอย่างนี้ขึ้นมา .. รู้ทัน! แล้วก็สวดต่อ
มีความปลื้มใจ .. สุขใจ ที่ได้กล่าวสรรเสริญพุทธคุณ
เป็นบุญเหลือเกิน ที่ชาตินี้ได้มาพบคำสอนของพระองค์ เป็นหนี้บุญคุณพระองค์อย่างมากมาย
ขอสรรเสริญพระองค์ เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณท่าน

อยากจะประกาศคุณของพระองค์ให้คนทั่วโลกได้รู้จัก
หรืออย่างน้อย ๆ ให้เทวดาแถว ๆ นี้ได้ยินคุณของพระพุทธเจ้า
ขออุทิศเสียงนี้ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
ปัญญาเราไม่สามารถจะบรรยายคุณของพระองค์ได้ครบถ้วน
ก็ขอใช้บทสวดนี้เป็นเครื่องทดแทนคุณ

ประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีก .. ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทำเท่าที่คน ๆ นี้ “ผู้มีบุญน้อย” นี้จะทำได้ เท่าที่จะประกาศคุณพระพุทธเจ้าได้ ก็สวดบทนี้เท่านั้นเอง
สมมุติว่า สวดไปจบแรก .. เทวดาฟังไป ๕ องค์ แล้วท่านก็เหาะผ่านไป
แล้วขอสวดอีกจบหนึ่ง เพื่อให้เทวดาอีกกลุ่มหนึ่งได้ฟัง …

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงตอบโจทย์จากการแสดงธรรม
ณ คอร์สจีน ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ไฟล์ 09.คำถาม-ท่อง ‘อิติปิโสฯ’ อย่างไรจึงจะมีความสุข สงบ ?
590513_คอร์สจีน-ธรรมที่ขวางมรรคผล

สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังได้ที่ http://bit.ly/1t6e7XO

ปฏิฆะ หมายความว่าอย่างไร สภาวะเป็นเช่นไร

ถาม : ปฏิฆะ หมายความว่าอย่างไร สภาวะเป็นเช่นไร

ตอบ : ปฏิฆะ แปลว่า ความขัดใจ, แค้นเคือง, ความขึงเคียด,
ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ความที่จิตหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ
จะโกรธจัด ระดับเป็นฟืนเป็นไฟ หรือเพียงหงุดหงิดนิด ๆหน่อย ๆ ในใจ ก็นับว่าเป็นปฏิฆะทั้งนั้น

ถูกนางอิจฉาตบหน้า แล้วโกรธ ..ก็เป็นปฏิฆะ
ถูกยุงกัด แล้วไม่พอใจ ..ก็เป็นปฏิฆะ
ยุงยังไม่ได้กัด แต่มันบินมาใกล้ ๆ เสียงหวี้ ๆ มาแถว ๆ หู แล้วรำคาญ ..ก็เป็นปฏิฆะ
นึกว่าบรรลุธรรม ครูบาอาจารย์ชี้กิเลสให้ดู บอกว่าไม่ใช่นะ แล้วรู้สึกผิดหวัง อย่างนี้ .. ก็เป็นปฏิฆะ
นับว่าปฏิฆะนี่ .. เป็นตัวทำลายความสงบสุขแห่งจิตที่ร้ายกาจจริง ๆ

ปฏิฆะ จึงเป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่ง ที่จัดว่าเป็นกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏสงสาร
คือเป็นสังโยชน์ข้อที่ ๕ เพราะมัดสัตว์ทั้งหลายไว้กับทุกข์
ผู้ที่ละปฏิฆะได้ คือ พระอนาคามี และพระอรหันต์

หมายเหตุ : สังโยชน์ ๑๐ ได้แก่
๑. สักกายทิฐิ
๒. วิจิกิจฉา
๓. สีลัพพตปรามาส
๔. กามราคะ
๕. ปฏิฆะ
๖. รูปราคะ
๗. อรูปราคะ
๘. มานะ
๙. อุทธัจจะ
๑๐. อวิชชา

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๙

ความทุกข์ใจเรื่องลูกที่ป่วย เป็นลมชัก

ถาม : พระอาจารย์คะ ดิฉันเคยฟังธรรมจากพระอาจารย์
ผ่านทางเว็บไซต์ และในยูทูบค่ะ
ดิฉันพยายามจะฝึกเจริญสติและฝึกอาณาฯ
แต่ความทุกข์ใจของดิฉัน เรื่องลูกที่ป่วย
เป็นลมชัก ที่มาจากโรค tuberous sclerosis

แกมีก้อนในสมอง มีก้อนในหัวใจ
มีที่ไตเป็นจุดเล็ก ๆ ที่สมองทำให้แกชัก
ทุกวันนี้ รักษาที่ รพ. รามา ค่ะ
ทานยากันชักทุกวัน วันละสามเวลา
แต่ก็ยังชักอยู่ทุกวัน ปรับยาไปเรื่อย ๆ
ไม่รู้เมื่อไหร่แกจะหยุดชัก
ตอนนี้ลูกได้สามขวบค่ะ
ดิฉัน หลายครั้งมองที่ลูกแล้วน้ำตาไหลทุกที
แกจะใช้ชีวิต โดยที่ไม่มีพ่อและแม่ ได้อย่างไร
จะขับรถเองก็ไม่ได้ จะใช้ชีวิตยังไง

แกเป็นลูกคนเดียว
ทุกครั้งที่ดิฉัน นึกถึงปัญหานี้ทีไร
น้ำตาไหล สะเทือนใจมากค่ะ
วันใด ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ คอยดูแลแก
ไม่รู้แกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
พระอาจารย์ ช่วยสอน วิธีคิด ให้ดิฉัน
ทำใจกับเรื่องนี้ ทีค่ะ
ดิฉันทุกข์ใจมาก เพราะเป็นห่วงลูก
บางวันไม่อยากพูดกับใครเลยค่ะ มันตื้อ ๆ แน่น ๆ

อยากเจริญสติ ให้มีจิตตั้งมั่น
แต่พอเจอลูกชัก ในหนึ่งวัน น้ำตามันก็เหมือนจะไหลออกมาทุกที
ทุกข์ กับอนาคต ว่าถ้าเราตาย ใครจะพาเค้าไปหาหมอ
ใครจะขับรถพาเค้าไปนู้นไปนี่ ได้เหมือนพ่อกับแม่
พระอาจารย์ช่วยทีคะ ดิฉันเศร้ามากจริง ๆ
ความรู้สึกที่ยังห่วงคนข้างหลัง ที่เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
มันทำให้ ดิฉัน ไม่สามารถมีจิตตั้งมั่นได้เลยค่ะ พอเจอเหตุการณ์นี้ทีไร
จิตใจมันพังทะลายทุกทีเลย มันเป็นจุดอ่อนที่สุดต่อการเจริญสติของดิฉัน จริง ๆ ค่ะ
ขอความเมตตาด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

ตอบ : เป็นสถานการณ์ที่น่าเห็นใจจริง ๆ
แต่ก็เป็นบุญเหลือเกิน.. ที่มาเผชิญทุกข์ในห้วงที่ยังมีพระพุทธศาสนา
เพราะทุกข์เป็นความจริงที่กำลังปรากฏอยู่
และพระพุทธองค์ทรงสอนให้เรา “รู้” ทุกข์
ไม่ใช่ให้ “เป็น” ทุกข์
แล้วก็ไม่ใช่ให้ “หนี” ทุกข์
ถ้าเราครุ่นคิด ติดอยู่ในความรู้สึก ก็จะจมอยู่กับทุกข์
เอาความคิดผิดมาซ้ำเติมปัญหา
เรียกว่าปฏิบัติผิด
กลายเป็น.. “เพิ่มทุกข์”
ถ้าเราไม่ชอบทุกข์ที่กำลังเป็น
ก็จะมีตัณหา.. “อยาก” ที่จะพ้นจากทุกข์นี้
แต่ตัณหาเป็นสมุทัย คือเป็นเหตุแห่งทุกข์
ก็เรียกว่าปฏิบัติผิด
เหมือนอยากดับไฟ แต่กลับไปเพิ่มเชื้อ
ผลที่ได้ ก็กลายเป็น.. “ยิ่งทุกข์”

อาการป่วยของลูก..เป็นวิบาก
ผู้เป็นพ่อแม่ก็ดูแลไปตามกำลัง
ตรงนี้เป็นบุญกุศลที่สร้างใหม่ของพ่อแม่
การที่คิดว่า ‘วันใด ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ คอยดูแลแก ไม่รู้แกจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร’ ..เป็นความกังวล
ความกังวลเป็นอกุศล และไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา
ซ้ำยังนำทุกข์มาให้
เมื่อมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นมาอีก ให้ “รู้” ว่ากังวล
ขณะกังวล เป็นอกุศล
ขณะรู้ เป็นกุศล
ความกังวลเป็นตัวสร้างทุกข์ฟรี ๆ
ถ้าอีก ๑๐ ปี ลูกหายป่วย เราก็ทุกข์ฟรีไป ๑๐ ปี
ถ้าอีก ๕ ปี ลูกหายป่วย เราก็ทุกข์ฟรีไป ๕ ปี

แต่มันอดที่จะกังวลไม่ได้หรอก
แต่ก็อาศัยว่ามีความกังวลนี่แหละ ให้เรารู้ ให้เราฝึกเจริญสติ
จิตปลอดจากความกังวลแล้ว เราก็แก้ปัญหาด้วยปัญญา
ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยความกังวล
มีลูกป่วย ดีกว่ามีลูกเลว!
ดูดี ๆ ช่วงที่อาการของลูกเป็นปกติ หรือดีขึ้น
เรามีความสุข
ก็อย่าให้สุขนั้นผ่านไปเปล่า
ให้ใจชุ่มชื่นบ้าง
อย่าจมกับความทุกข์
เพราะคนรอบข้างจะพลอยทุกข์ไปด้วย
โดยเฉพาะลูก

กรรมที่ทำให้ได้รับวิบากอย่างนี้ ก็เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว
อย่าเสียเวลาคำนึงน้อยใจ
เรื่องที่น่าหวาดหวั่นในกาลข้างหน้า ก็เป็นอนาคตที่ยังไม่เกิด
อย่าเสียเวลากังวล
ทำปัจจุบันให้ดี อนาคตจะดีเอง
ปัจจุบันน้อยใจ ให้รู้
ปัจจุบันหวั่นใจ ให้รู้
ปัจจุบันเศร้าใจ ให้รู้
ปัจจุบันกังวล ให้รู้
ปัจจุบันทุกข์ ให้รู้
ขณะที่รู้ ขณะนั้นละสมุทัย
ขณะที่รู้ ขณะนั้นทุกข์ดับ
ขณะที่รู้ ขณะนั้นกำลังเจริญมรรค

#ขอเพียงไม่หนีปัญหาเผชิญหน้าด้วยสติ
ทุกข์ที่เห็น.. จะสอนใจให้เข้มแข็ง
และมีปัญญาพ้นทุกข์ในที่สุด

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙

ตอนเราบริกรรมแล้วฟังธรรมไปด้วย ขันธ์ไหนทำงานบ้างครับ

ถาม : ตอนเราบริกรรมแล้วฟังธรรมไปด้วย ขันธ์ไหนทำงานบ้างครับ

ตอบ : ก็ทำงานอยู่ทุกขันธ์นั่นแหละ เพียงแต่ว่าจะเห็นหรือไม่
– กายนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ก็ชื่อว่า “รูปขันธ์” ทำงานอยู่ในอิริยาบถนั้น
– จิตทุกขณะ จะมีเวทนาเกิดร่วมด้วยเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นสุข, ทุกข์, หรือไม่สุขไม่ทุกข์
ก็ชื่อว่า “เวทนาขันธ์” ทำงานอยู่ทุกขณะ

– จิตทุกขณะ จะมีสัญญาเกิดร่วมด้วยเสมอ
บางทีก็ทำงานในลักษณะจำ, บางทีก็หมายรู้, บางทีก็เป็นลักษณะคุ้นเคยในอารมณ์
ก็ชื่อว่า “สัญญาขันธ์” ทำงานอยู่ทุกขณะ
– ขณะที่เราบริกรรม เช่น “พุทโธ” ในใจ
ขณะนั้นก็ต้องมีการปรุงแต่งคำว่า “พุทโธ” ขึ้นมา
การปรุงแต่งนี้มีศัพท์เรียกว่า “สังขาร”
ขณะนั้นก็ชื่อว่า “สังขารขันธ์” กำลังทำงาน

– การรับรู้ทุก ๆ ขณะ ก็ต้องมีจิต
ขณะใดมีการรับรู้ทางตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ
ขณะนั้นก็ชื่อว่า “วิญญาณขันธ์” กำลังทำงาน
แต่เราไม่ต้องไปจงใจแยก
จะกลายเป็นฟุ้งซ่านไป
รู้ได้แค่ไหนก็รู้แค่นั้น ค่อยๆเรียนรู้ไป
เช่น
– บริกรรม “พุทโธ”
ขันธ์ก็ทำงานครบ
แต่เรารู้แค่ “พุทโธ” อย่างเดียว
ใจก็รวมอยู่กับคำว่า “พุทโธ”
ก็ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องการแยกขันธ์

– บริกรรม “พุทโธ”
แล้วใจลอย คิดนึกฟุ้งซ่านไป
ใจก็ไปรู้อยู่แต่เรื่องราวที่คิด
ขันธ์ก็ทำงานครบ
แต่ความรับรู้อยู่แต่เรื่องที่คิด
คิดจนชำนาญ แต่ไม่รู้การทำงานของใจตัวเอง
ก็ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องการแยกขันธ์

– บริกรรม “พุทโธ”
แล้วเกิดนิมิต
เห็นสวรรค์วิมาน
ขันธ์ก็ทำงานครบ
แต่ใจสนใจอยู่แต่ภาพนิมิตที่เห็น
เห็นสวรรค์ไปทั่ว แต่ไม่รู้ใจตัวเอง
ก็ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องการแยกขันธ์

– บริกรรม “พุทโธ”
แล้วรู้สึกว่า มี “ใจผู้รู้” อยู่ต่างหาก
คำว่า “พุทโธ” ก็ถูกรู้อยู่ต่างหาก
อย่างนี้ จิตเริ่มเรียนรู้ว่า
“ใจผู้รู้” เป็นส่วนหนึ่ง
ความปรุงแต่งเป็นคำว่า “พุทโธ” ก็เป็นส่วนหนึ่ง
อาจจะไม่มีคำว่า “วิญญาณขันธ์” หรือ “สังขารขันธ์” ก็ได้
แต่จิตเรียนรู้การแยกขันธ์แล้ว

– บริกรรม “พุทโธ” แล้วเผลอ
ไม่ว่าจะเป็นเผลอคิด เผลอดู เผลอฟัง ฯลฯ ก็เรียกว่าเผลอทั้งหมด
ถ้าเห็น “ความเผลอ” ที่ปรากฏ
จิตก็จะเรียนรู้ “สังขารขันธ์” ขึ้นมาอีก
“ความเผลอ” ทั้งหมด เป็นสังขารฝ่ายอกุศล
ดูไปบ่อยๆ ก็จะเห็น “สังขารขันธ์” ที่หลากหลาย
ทั้งกุศลและอกุศล

เผลออย่างเดียว ก็เป็นโมหะ
เผลอไปรัก ก็เป็นราคะ
เผลอไปเกลียด ก็เป็นโทสะ
เห็นความเผลอ ก็มีสติ
สติ ก็จัดอยู่ใน “สังขารขันธ์”
เป็นสังขารฝ่ายกุศล
ถ้าเห็นว่า “ความเผลอ” เป็นส่วนหนึ่ง ที่ถูกรู้อยู่
มีผู้รู้อยู่ต่างหาก
อย่างนี้ จิตก็เรียนรู้การแยกขันธ์แล้ว

– อาตมาสงสัยว่า
บริกรรมไปด้วย แล้วก็ฟังธรรมไปด้วย
แล้วจะฟังธรรมรู้เรื่องหรือ?
เพราะจิตทำงานได้ขณะละอย่าง
ขณะบริกรรม จิตก็ต้องนึกคำบริกรรม ก็ไม่ได้ฟังธรรม
ขณะฟังธรรม จิตก็ต้องสนใจเนื้อหาธรรมะ
ก็ไม่ได้นึกคำบริกรรม
ถ้าจะฟังธรรมก็กังวลเรื่องบริกรรม
แล้วรู้ทัน “ความกังวล”
ก็ใช้ได้
เดี๋ยวก็ฟังธรรม เดี๋ยวก็บริกรรม
ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง..เกิดหงุดหงิด
แล้วรู้ทัน “ความหงุดหงิด” ก็ใช้ได้
แต่จะทำอะไรก็ทำสักอย่างหนึ่งดีกว่า

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙

เคยนั่งสมาธิแบบทำเอง อยากจับตัวเองนั่งนิ่ง ๆ แค่วันละ 10-15 นาทีต่อวัน

ถาม : เคยนั่งสมาธิแบบทำเอง
อยากจับตัวเองนั่งนิ่ง ๆ แค่วันละ 10-15 นาทีต่อวัน
โดยมีคำภาวนาว่า “พุทโธ” ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร
พอเวลาผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ บางวันเริ่มมีอาการนั่งแล้วก็มืดยิ่งกว่าหลับตา
แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ก็นั่งดูความมืด

หรือบางวันก็สว่างมาก ๆ จนรู้สึกว่าแสบตา ก็นั่งเฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไร
แต่พอนั่งไปเรื่อย ๆ เริ่มมีอาการเหมือนขนหัวลุก ก็ไม่ได้สนใจอะไรก็นั่งเฉย ๆ
หลังจากที่นั่งไปเรื่อย ๆ ประมาณ 1 เดือน ก็จะเริ่มมีอาการขนหัวลุก ตัวเย็น และก็เริ่มเหมือนตัวหาย
แต่เหมือนมีอย่างเดียวคือ จิตที่รู้ว่าตัวมันหาย ก็นั่งดูเฉย ๆ
แต่พอสักพัก เหมือนจิตเราโดนดึงแบบแรง ๆ (เหมือนเราจะวูบ แต่พอดูแล้วเราก็ไม่ได้หลับ)
พอถึงตอนนี้ก็จะถอนสมาธิ เพราะกลัว (ในใจก็กลัวผี) ก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรต่อ
ฝากถามพระอาจารย์ว่า ควรจะปฏิบัติต่อไหมหรือยังไงต่อ ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

ตอบ : หลักของการปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ สามารถนำมาใช้ได้ในช่วงนี้ คือ
“มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง”
ขณะที่รู้ “สว่าง”- รู้ “มืด” ขณะนั้นกำลังรู้ “อารมณ์”
ก็กลับมารู้ที่ “จิต” บ้าง เป็นระยะ ๆ
จะเรียกว่ากลับมาที่ “รู้สึก” ก็ได้
เพื่อไม่ให้กลายเป็น “จิตไหลไปหาอารมณ์” อย่างเดียว
ขณะที่รู้ “ขนหัวลุก – ตัวเย็น” ขณะนั้นก็กำลังรู้ “อารมณ์” เช่นกัน
ก็กลับมารู้ที่ “จิต” บ้าง ว่ามียินดี – ยินร้ายหรือไม่

ถ้าตัวหาย แล้วมีจิตผู้รู้อยู่ ก็ใช้ได้
พอออกจากสมาธิมา จะรู้สึกได้ชัดเจนว่า กายกับใจ เป็นคนละส่วนกันจริง ๆ
พอกลัวผี ก็เป็นธรรมดาที่จะออกจากสมาธิ
เพราะต้องคิดก่อน จึงจะกลัว
พอคิดเรื่องผี..จิตก็ฟุ้งซ่านแล้ว ซึ่งเราก็ห้ามไม่ได้
กลัว ก็รู้ว่ากลัว เสียดาย ก็รู้ว่าเสียดาย
มีอะไรปรากฏ ก็รู้ไปตามนั้น
โดยไม่ต้องรอดักดู ว่าจะมีอะไรปรากฏขึ้นมาอีก
จิตไหลไปหาอารมณ์ ก็รู้ทัน
รู้แล้วมียินดี – ยินร้าย ก็รู้ซ้ำลงไปอีก
ก่อนดู ไม่ดักดู ขณะดู ไม่ถลำไปดู
ดูแล้วใจไม่เป็นกลาง คือมียินดี – ยินร้าย ก็รู้ทัน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙

เคยปฏิบัติแบบดูลมหายใจ ที่ปลายจมูก นั่งสมาธินานหลายชั่วโมง ดูความรู้สึกทางกาย

ถาม : ดิฉันเคยปฏิบัติแบบดูลมหายใจ
ที่ปลายจมูก นั่งสมาธินานหลายชั่วโมง ดูความรู้สึกทางกาย จนตอนหลังเริ่มรู้สึก
ปวดกลางกระหม่อม ท้ายทอย ขมับ และตาด้านซ้าย เหมือนตาจะแตก จนไม่กล้านั่งสมาธิ

ได้ฟังพระอาจารย์ ก็เคยเป็นบ้างเหมือนกัน
ตอนนี้จึงเปลี่ยนมาเดินจงกรมทุกวัน ตามรู้จิต
จึงรู้ว่าตัวเองคงติดเพ่งมานาน เพราะยังเป็น ๆหาย ๆ บางครั้งก็ยังปวดมาก
พยายามบอกว่ามันเป็นแค่อาการทางกาย ที่จิตไปรับรู้ และไม่เที่ยง บางครั้งก็เหมือนจะหาย แต่เดี๋ยวก็มาอีก
ขอความกรุณาพระอาจารย์ให้คำแนะนำการปฏิบัติในแนวทางที่ถูกต้องด้วยค่ะ

ตอบ : อาการอย่างนี้มีสาเหตุมาจากว่าเรา “อยากดี” “อยากสงบ” “อยากนิ่ง”
ให้รู้ทัน “ความอยาก” อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นแรงผลักดันให้เราปฏิบัติ
ความอยากเหล่านี้ เรียกรวม ๆ ว่า “ตัณหา”
ตัณหาเป็นสมุทัย คือเป็นเหตุแห่งทุกข์
ฉะนั้น เมื่อเราเริ่มปฏิบัติด้วยความอยาก
ผลจึงออกมาเป็นทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างที่โยมประสบมา เป็นต้น

ลองตั้งใจใหม่
“เราจะปฏิบัติเพื่อให้เกิด ‘ปัญญา’ รู้ความจริง”
ฉะนั้น จริง ๆ ใจขณะนี้เป็นอย่างไร ก็รู้ไปตามตรง
ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้
ดีก็รู้ ไม่ดีก็รู้ ..ซึ่งที่จริงแล้ว..ส่วนมากไม่ดี
เราก็แค่รู้
เมื่อก่อน เรายอมไม่ได้ ถ้าเห็นว่ามันไม่ดี..เราจะรีบ “จัดการ” ทันที
ไอ้ “จัดการ” นี่แหละ คือการแทรกแซง

พอแทรกแซง จะเกิดผลเสียอย่างน้อย ๒ แบบ คือ
๑. เพราะไม่ชอบจิตที่ไม่ดี จึงพยายามบังคับให้จิตดี
“จิตดี” ในความเข้าใจของเรา คือ จิตนิ่ง จิตสงบ
จิตไม่นิ่ง ก็บังคับให้นิ่ง
จิตไม่สงบ ก็บังคับให้สงบ
“เพ่ง” ก็คือบังคับนั่นแหละ
ผลของการบังคับ คือจิตเครียด
พอจิตเครียด ก็แสดงออกทางกาย เป็นปวดหัว ปวดตา ต่าง ๆ นานา
แท้ที่จริง ถ้าจิตได้อารมณ์ที่ชอบ ที่สบาย จิตจะสงบเอง

๒. ที่แทรกแซง ก็เพราะจิต “ไม่ยอมรับ” ความจริง
ความจริงคือตอนนี้ไม่ดี ก็รีบ “ทำ” ให้มันดี
แทนที่จะ “รู้” ไปตรง ๆ ว่า..ไม่ดี
ความจริงคือตอนนี้ไม่สงบ ก็รีบ “ทำ” ให้สงบ
แทนที่จะ “รู้” ไปตรง ๆ ว่า..ไม่สงบ
จิตจึงไม่เกิดปัญญาสักที
เพราะไม่ “รู้” มีแต่ “ทำ” นั่นเอง
สรุปคือ หาที่อยู่ให้จิต
ถ้าจิตมาอยู่ในที่อยู่ แล้วชอบ
จิตก็จะสงบเอง
ถ้าจิตมาอยู่ในที่อยู่ แล้ว
– จิตดิ้นรน ก็รู้
– จิตเคลื่อนไปหาอารมณ์อื่น ก็รู้
– จิตเผลอ ก็รู้
จิตแสดงความจริงใด ๆ ก็ยอมรับ และรู้ไปตามนั้น
รู้แล้วก็กลับมาที่ “ที่อยู่” อีก
เพื่อเรียนรู้ความจริงของจิตต่อไป

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๙

เวลานั่งสมาธิ การเห็นเกิดดับ ใช้ความรู้สึกได้ใช่ไหมครับ?

ถาม : เวลานั่งสมาธิ การเห็นเกิดดับ ใช้ความรู้สึกได้ใช่ไหมครับ?

เช่น เวลาเรื่องโน้นเข้ามา หรือจิตปรุงแต่งขึ้นมา หรือบางครั้งมีอะไรซักอย่างดันขึ้นมากลางอก แล้วก็หายไป (หลังจากนั่งจนจิตรวมแล้วจิตตั้งมั่น)
อย่างนี้ถูกไหมครับ?
เวลานั่งประมาณ ๔๐-๕๐ นาที จะเกิดเวทนาปวดเมื่อยที่ขา บางครั้งจะเห็นชัดว่า หายใจ เวทนา คนละส่วนกัน แต่บางครั้งก็ดูไม่ชัด จะสู้กับเวทนาได้ไม่นาน
ก็ต้องถอย อย่างนี้เดินปัญญาไหมครับ?

ตอบ : ขอแยกตอบทีละประเด็นนะ

๑. เวลานั่งสมาธิ การเห็นเกิดดับ ใช้ความรู้สึกได้ใช่ไหมครับ?
ตอบ ๑ : การภาวนาแบบแค่ “รู้สึก” เมื่อมีสภาวะอะไรก็ตามเกิดขึ้น ก็จะทำให้เห็นว่า..
สภาวะนั้น ๆ เกิดแล้วก็ดับ

๒. เวลาเรื่องโน้นเข้ามา หรือจิตปรุงแต่งขึ้นมา หรือบางครั้งมีอะไรซักอย่างดันขึ้นมากลางอก แล้วก็หายไป (หลังจากนั่งจนจิตรวมแล้วจิตตั้งมั่น)
อย่างนี้ถูกไหมครับ?
ตอบ ๒ : ถ้าเป็นตามที่บอก ก็ถูกนะ
แต่ถ้าสงสัยว่าจะบอกตามที่เป็นหรือไม่ ก็ต้องไปส่งการบ้านกับครูบาอาจารย์แล้วล่ะ

๓. เวลานั่งประมาณ ๔๐-๕๐ นาที จะเกิดเวทนาปวดเมื่อยที่ขา บางครั้งจะเห็นชัดว่า หายใจ เวทนา
คนละส่วนกัน แต่บางครั้งก็ดูไม่ชัด จะสู้กับเวทนาได้ไม่นาน ก็ต้องถอย อย่างนี้เดินปัญญาไหมครับ?
ตอบ ๓ : จุดมุ่งหมายของการภาวนา ไม่ใช่เพื่อ “สู้” กับเวทนานะ
แต่ภาวนาเพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงว่า เวทนาก็เป็นเพียงสภาวะหนึ่ง ที่ไม่ใช่เรา เกิดแล้วก็ดับ
เปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย

แรก ๆ อาจจะเห็นแบบแยกขันธ์ เช่น เวทนาเป็นส่วนหนึ่ง กายเป็นส่วนหนึ่ง หรือเห็นว่าเวทนาเป็นส่วนหนึ่ง
จิตเป็นอีกส่วนหนึ่ง แยกขันธ์อย่างนี้ก็นับว่าเริ่มเดินปัญญา

พอเริ่มเดินปัญญาแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะเดินปัญญาอยู่ตลอด บางทีก็เผลอ ขันธ์ก็รวมมาเป็นเราอีก เพราะใจลึก ๆ มันยังไม่เชื่อ จึงต้องเพียรฝึกเจริญสติ เจริญสมาธิ
ให้จิตตั้งมั่น ก็จะเกิดปัญญาแยกขันธ์ เห็นไตรลักษณ์ได้ใหม่
ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าใจจะยอมรับความจริง

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

ขอทราบรายละเอียดเรื่องการกินเนื้อสัตว์ และการกินมังสวิรัติ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ

ถาม : ขอกราบอาราธนาธรรม ขอเมตตาจากพระอาจารย์
ขอทราบรายละเอียดเรื่องการกินเนื้อสัตว์ และการกินมังสวิรัติ
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
ขอเมตตาพระอาจารย์แปลเป็นภาษาไทยด้วย

ตอบ : เรื่องทำนองนี้ ได้เคยตอบในคอร์สคนจีน
ขอยกเอาคำตอบครั้งนั้นมาเรียบเรียงให้อ่านกัน…..
คำถามที่เกี่ยวกับ “ทำไมพระกินเนื้อสัตว์”
เรื่องการกินนี่นะ พระพุทธเจ้าสอนพระภิกษุว่า ให้พิจารณาก่อนฉัน
ครั้งหนึ่ง มีบริวารของนางวิสาขา ได้เดินติดตามนางวิสาขาเข้าไปในวัด
ก็ไปพบพระป่วยรูปหนึ่ง ก็ไปถามว่า “โรคที่ท่านเป็นอยู่เนี่ย ท่านเคยกินอะไรแล้วหาย?”
พระก็บอกว่า “เคยดื่มน้ำต้มเนื้อแล้วหาย”
โยมก็เลยบอกว่า “เดี๋ยวโยมจะจัดหาให้”
พอออกจากวัดมาแล้ว ปรากฏว่าวันนั้นเป็นวันพระ ไม่มีเนื้อขาย

วันอุโบสถ เป็นวันที่คนอินเดียสมัยนั้นเขานัดกันว่า จะไม่ฆ่าสัตว์ วันนั้นจึงไม่มีเนื้อสัตว์ขายในตลาด
เมื่อไม่มีเนื้อสัตว์ ก็เลยนึกว่า “ทำยังไงดี เรารับปากพระไว้แล้วว่าจะหาน้ำต้มเนื้อไปถวาย”
โยมก็เลยกลับไปบ้าน เฉือนเนื้อน่องตัวเอง แล้วก็เอาผ้าพันแผลมาพันไว้
แล้วก็เอาเนื้อน่องตัวเองไปใส่หม้อต้มน้ำ
แล้วก็เอาน้ำต้มเนื้อนั้น..ฝากสามีไปถวายพระรูปนั้น
สามีเห็นอย่างนั้น.. โยมคิดว่าสามีจะด่าเมียมั้ย..ถ้าเมียทำอย่างนี้ จะด่ามั้ย?
สามีคนนั้นนะ เห็นเมียทำอย่างนั้น ก็คิดว่า

“โห..เมียเราทำสิ่งที่ทำได้ยาก!” อนุโมทนากับเมียเลย!
สามีก็นำเอาน้ำต้มเนื้อนั้นไปถวายพระ พระรับมาแล้วก็ฉัน แล้วไม่นานก็หาย
ปรากฏว่า พระฉันน้ำที่เป็นน้ำต้มเนื้อมนุษย์ ข่าวก็ไปถึงพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปหาพระรูปนั้น ถามพระรูปนั้นว่า “ตอนจะฉันน่ะ..พิจารณารึเปล่า?”
พระรูปนั้นทูลตอบว่า “ไม่ทันพิจารณาพระเจ้าข้า! เพราะว่าเห็นโยมเขาเอามาถวาย..ก็ดื่มเลย”
ตรัสบอกว่า “รู้มั้ย นั่นน่ะ เป็นน้ำต้มเนื้อ..ที่เป็นเนื้อมนุษย์นะ”

แล้วจึงบัญญัติสิกขาบทสำหรับพระภิกษุว่า “ห้ามภิกษุฉันเนื้อมนุษย์” เนื้ออื่นยังไม่ห้าม
ครั้งหนึ่ง มีฤๅษีอยู่ที่ป่าหิมพานต์ของอินเดีย แล้วก็อยู่แต่ในป่า กินแต่ของป่า
ก็ขาดแคลนสารอาหารบางอย่าง เช่น พวกเกลือ หรือของเค็ม ของเปรี้ยวต่าง ๆ
ก็เลยพาบริวาร ๕๐๐ องค์ มาในเมือง มาปีละครั้ง
แต่ละครั้งก็ไม่ใช่วันเดียวนะ อาจจะประมาณเดือนหนึ่ง ประมาณนี้
มาแต่ละครั้งก็เหาะมา ชาวบ้านก็ศรัทธามาก ทำอาหารถวายเต็มที่

ฤๅษีบอกว่า “เอาเฉพาะอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์นะ”
โยมก็ต้องเอากลับบ้าน แล้วก็ทำใหม่ ก็ยอมทำตามที่ฤๅษีบอก ก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ
อยู่มาปีหนึ่ง ฤๅษีมาอีก ปรากฏว่าคราวนี้ชาวบ้านไม่ตื่นเต้น
ฤๅษีก็คิดว่า “เอ๊ะ! เดี๋ยวนี้เค้าเป็นอะไรไป?
ถูกพระราชาลงโทษหรือเปล่า..หมู่บ้านนี้ หรือว่าถูกโจรปล้น?
ทำไมมาคราวนี้เค้าไม่ตื่นเต้นกันเลย ไม่ต้อนรับเราเหมือนเมื่อก่อน”

คือต้อนรับใส่บาตรปกติ แต่ว่าไม่ฮือฮาเหมือนเมื่อก่อน
ก็เลยถามโยมว่า “เกิดอะไรขึ้น มีเหตุเภทภัยอะไรหรือเปล่า? ทำไมดูบ้านเมืองเงียบเหงา คนหายไปไหนหมด?”
โยมก็บอกว่า “อ้อ! พวกเขาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดในป่าอีกที่หนึ่งครับ”
ฤๅษีก็บอก “หา! พระพุทธเจ้าเหรอ!..” รู้สึกว่าคำนี้หาฟังยาก
ฤๅษีตื่นเต้นมาก ถามโยมว่า “พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน?”
ฤๅษีอยากจะไปหาพระพุทธเจ้า อยากจะไปเรียนธรรมะกับพระพุทธเจ้า
รู้ว่าตัวเองยังไม่ถึงที่สุดของทุกข์ ยังมีทุกข์อยู่ ก็อยากจะไปเข้าเฝ้า
แล้วก็แวบขึ้นมานิดหนึ่งในหัว มีความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วก็ถามโยมไปว่า
“พระพุทธเจ้ากินเนื้อกินปลามั้ย?”
โยมตอบว่า “กินครับ”
“โอ้!.. พระพุทธเจ้ากินเนื้อกินปลาหรือ? กินของคาวหรือ?”

ของคาวในที่นี้ คือ ของที่มีกลิ่นเนื้อ
ฤๅษีคิดว่า การกินผักกินผลไม้นี่มีกลิ่นสะอาด การกินเนื้อกินปลานี่มีกลิ่นเหม็น
การกินผักกินผลไม้นี่มีเมตตา การกินเนื้อกินปลาไม่มีเมตตา
ฤๅษีใช้คำแทนคนที่กินเนื้อกินปลาว่า..เป็นคนที่กินของเหม็น
เลยถามโยมไปว่า “ใช่พระพุทธเจ้าหรือ? พระพุทธเจ้าทำไมกินของเหม็น?”
โยมบอก “ใช่ครับ! พระพุทธเจ้าจริง ๆ โยมไปฟังธรรมแล้ว
ธรรมะของพระองค์ที่ทรงแสดงมา โยมเข้าใจแล้ว ดับทุกข์ได้จริง”
คือฤๅษีไปคุยกับพระโสดาบันเข้า!

ฤๅษีก็ชักลังเลว่า “เอ๊ะ! ยังไงกันแน่? จะเชื่อคำว่า ‘พุทธะ’ หรือจะเชื่อใจตัวเองว่า ‘ท่านกินของเหม็น’
จะเชื่ออันไหนดี?”
ฤๅษีก็ฉลาดอย่างหนึ่ง คือว่า..ต้องไปพิสูจน์! ก็ไปหาเลย พาบริวารไปด้วยนะ ไปทั้งหมดเลย
ไปเข้าเฝ้าแล้วก็ไปสนทนาสอบถามกับพระพุทธเจ้า เรียกว่าไปถึงไม่ให้เสียเวลาเลย..ถามทันที!
“พระองค์ยังกินเนื้อกินปลาอยู่หรือ?”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ใช่! เรายังกินอย่างที่ท่านว่า”
ฤๅษีถามไปอีก “ทำไมท่านยังกินของเหม็น?”
พระพุทธเจ้าตรัสย้อนถามว่า “อะไรเป็นของเหม็น?”
ฤๅษีก็ตอบว่า “เอ้า! ก็เนื้อสัตว์กับปลานี่แหละ..คือของเหม็น!”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ไม่ใช่! ใจที่เป็นอกุศลต่างหาก..เป็นของเหม็น

ใจขี้โกรธ เป็นของเหม็น
ใจที่เคียดแค้น อยากจะทำร้ายคนอื่น เป็นของเหม็น
ใจที่โลภอยากได้ของคนอื่น เป็นของเหม็น
ใจที่อยากจะอยู่กับเมียของคนอื่น เป็นของเหม็น
ใจที่คิดอยากจะพูดโกหก เป็นของเหม็น
ใจที่เคียดแค้น อยากจะด่าคนอื่น เป็นของเหม็น
เนื้อและปลาไม่ใช่ของเหม็น
ใจที่ถือตัว เป็นของเหม็น
ใจที่ยึดในความเห็นของตัวเองว่าถูก เป็นของเหม็น
แม้แต่นักบวชที่ถือศีลบำเพ็ญภาวนาแล้วอยากจะไปเป็นเทวดา นั่นก็เหม็น”
โดนใจฤๅษีหมดเลย!

“โอ้! ฉันอุตส่าห์บำเพ็ญภาวนาอยากจะไปเป็นเทวดา โอ..เราเหม็นเหรอเนี่ย!
โอ.. แล้วเรายึดความเห็นของตัวเองว่า กินเนื้อกินปลาว่าเหม็น
นี่เรายึดความเห็นของตัวเอง ไอ้ความยึดอันนี้..เหม็นหรือ!”
ฤๅษีเห็นสภาวะเหล่านี้ในใจตัวเอง เห็นแล้วมันน่ารังเกียจจริง ๆ
โดยเฉพาะตัว’มานะ’ ที่เห็นว่าตัวเองดีกว่าพระพุทธเจ้าเมื่อกี๊นี้ โอ้!..เหม็นมากเลย!
พอเห็นอย่างนี้แล้ว..ก้มกราบเลย!
เห็นแล้วว่า..ตัวเองเหม็นมาก
กินผักกินผลไม้มาตลอดชีวิตนะ ไม่ได้กินเนื้อกินปลาเลย แต่เหม็นมากเลย..เห็นว่าตัวเองเหม็นมาก
ก้มลงกราบพระพุทธเจ้า ขอบวชกับพระพุทธเจ้าเลยนะ
พอบวชแล้วไม่นานก็เป็นพระอรหันต์
เป็นพระอรหันต์ที่กินเนื้อกินปลาได้ แต่ใจไม่เหม็นเลย!

แต่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามไม่ให้ฉันเนื้ออยู่ ๑๐ อย่าง
เนื้อมนุษย์อย่างเมื่อกี๊นี้ที่บอกไป..มีสาเหตุอย่างที่เล่าแล้ว
ต่อมามีช้างตาย คนเลี้ยงช้างเอาเนื้อช้างมาถวายพระ พระก็ฉัน
คนทั้งหลายก็กล่าวกันว่า “โอ..ทำไมฉันเนื้อช้าง”
ช้างเป็นพาหนะของพระราชา พระราชาประทับนั่งบนหลังช้างแล้วเสด็จไปที่ต่าง ๆ
บางครั้งก็ยังช่วยทำสงครามปกป้องบ้านเมือง
ช้างตายแล้วควรทำศพ ควรฝังให้สมเกียรติของช้าง ไม่ใช่เอาเนื้อมากิน เพราะเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ

พอพระพุทธเจ้าทราบเรื่องแล้ว พระองค์ก็ห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อช้าง
เช่นเดียวกับเนื้อม้า มีม้าตายก็มีกรณีคล้าย ๆ กัน แล้วพระพุทธองค์ก็ห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อม้า
ต่อมาก็เหตุให้พระองค์ทรงบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ต่างชนิดมากขึ้น รวมแล้วมี ๑๐ อย่าง คือ
เนื้อคน เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อหมี เนื้อสุนัข เนื้องู เนื้อสิงโต เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือโคร่ง และเนื้อเสือดาว
นี่คือที่พระองค์ห้ามและระบุชื่อเอาไว้

นอกจากนั้นแล้ว เนื้อที่ไม่ได้ระบุชื่อ ถ้าเห็นว่าเขาฆ่ามาให้เรา เนื้ออย่างนี้ก็ห้าม
เช่นว่าเห็นเขาฆ่าไก่ แล้วก็ไปย่างไก่ แล้วมาให้เรา อันนี้ไม่ให้ฉัน
เนื้อไก่..ไม่ได้ห้าม แต่เห็นเขาฆ่ามาให้เรา อย่างนี้ห้ามไม่ให้ฉัน
หรือบางทีไม่เห็นหรอก แต่ได้ยินว่าเขาฆ่ามาให้เรา
เช่น พระเดินผ่านบ้านโยมไป แล้วโยมบอกว่า
“อุ๊ย! พระมา! เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะเอาไก่ตัวนี้มาต้มถวายพระดีกว่า”
พอเช้ามาบิณฑบาตได้ไก่ตัวนั้น เป็นต้มข่าไก่มาแล้ว อย่างนี้ก็ห้ามไม่ให้พระฉัน
กลายเป็นธรรมเนียมของชาวพุทธอย่างหนึ่งว่า
เวลาจะถวายอาหารพระ..จะไม่บอกก่อนว่าจะถวายอะไร บอกแค่ว่า “จะถวายอาหาร”

อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ได้เห็น..ไม่ได้ยิน..แต่สงสัย!
สงสัยนี่คือ สงสัยว่าเขาฆ่าสัตว์นั้นเฉพาะเพื่อเรา อย่างนี้ก็ห้ามไม่ให้ฉัน
เช่น พระเดินผ่านบ้านโยมเห็นไก่อยู่ ๓ ตัว กลับไปวัด
รุ่งเช้ามาบิณฑบาต เห็นไก่เหลืออยู่ ๒ ตัว แล้วที่โยมใส่บาตรมาเป็นไก่ย่าง! อย่างนี้นะ
“อ้าว! สงสัยไก่ตัวนั้นโดนฆ่ามาถวายเราซะแล้ว!” อย่างนี้ก็ห้ามไม่ให้พระฉัน
กรณีหลังนี้ คือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน แต่คะเนเอาคิดเอาว่า..น่าจะเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ฉัน!
จะฆ่าเอง หรือสั่งให้เขาฆ่า ก็ไม่ได้ทั้งนั้น

ใครเคยเข้าร้านอาหารจำพวกซีฟู้ดบ้างมั้ย? ร้านอาหารทะเลน่ะ
จะมีปลาสด ๆ กุ้งสด ๆ คือปลามีชีวิต กุ้งมีชีวิตนะ แล้วให้ลูกค้าไปชี้..”เอาตัวนี้..เอาตัวนี้!”
ไม่ได้ฆ่าเอง..แต่สั่ง อย่างนี้ก็ห้ามนะ!
แต่ถ้าของที่เขามีอยู่ในตลาดอยู่แล้ว เป็นเหมือนซากศพ แล้วเราไปซื้อนะ อย่างนี้ก็ไม่เป็นไร
เราไม่ได้ไปสั่งพ่อค้าว่า “พรุ่งนี้เอาไก่มาให้ ๕ ตัวนะ พรุ่งนี้ฉันจะทำบุญ”
ถ้าสั่งอย่างนี้..ก็ไม่ได้!
แต่ถ้าเขาขายอยู่แล้วนะ แล้วเราเดินผ่านไป “เออ..เดี๋ยวจะเอาอันนี้ไปทำอาหาร” อย่างนี้ได้!

มีตัวอย่างนะ ในสมัยพุทธกาล มีเสนาบดีอยู่คนหนึ่ง ชื่อสีหเสนาบดี
เสนาบดีก็เหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีของแคว้น แคว้นนั้นชื่อว่าแคว้นวัชชี
วัชชีก็เป็นแคว้นหนึ่งที่อยู่ทางเหนือของแคว้นมคธในชมพูทวีป ปกครองด้วยระบบสามัคคีธรรม
มีเรื่องอะไรก็จะมาประชุมกัน ช่วงนั้นเวลาประชุมกันนะ เขาก็จะพูดกันถึงเรื่องพระพุทธเจ้า
พูดกันในที่ประชุมว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณมากมาย แล้วก็ท่อง “อิติปิโสฯ” กันในห้องประชุม
ก็คือเป็นคำกล่าวถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า

แต่สีหเสนาบดีไม่ได้เป็นชาวพุทธ เขานับถือชีเปลือย นับถือนักบวชที่ไม่นุ่งผ้า ที่เดี๋ยวนี้เรียกกันว่าศาสนาเชน
พอสีหเสนาบดีได้ยินคนในห้องประชุมพูดกันถึงพระพุทธเจ้า ก็สนใจอยากจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
แต่ตัวเองมีอาจารย์เป็นชีเปลือย ก็เลยไปขออนุญาตอาจารย์ก่อน
ชีเปลือยไม่อนุญาต บอกว่า
“อย่าไปเลย เสียเวลา เขาไม่ใช่พระอรหันต์หรอก เรานี่แหละ..อรหันต์
เราไม่นุ่งผ้า เราไม่มีกิเลสเรื่องเครื่องนุ่งห่มแล้ว พระพุทธเจ้ายังห่มจีวรอยู่เลย!”
สีหเสนาบดีได้ยินอย่างนั้น ก็เลยยังไม่ไป

อยู่มาอีกวัน ไปประชุมอีก ที่ประชุมก็คุยกันถึงพระพุทธเจ้าอีก ก็ศรัทธาอยากจะไปกราบพระพุทธเจ้าอีก
ก็ไปขออนุญาตอาจารย์ คือขออนุญาตชีเปลือย ก็ถูกปฏิเสธอีก ก็เลยไม่ได้ไปอีก เป็นครั้งที่ ๒
แต่เนื่องจากว่าเขามีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องมีการประชุมอยู่บ่อย ๆ
ในห้องประชุมก็พูดถึงแต่เรื่องพระพุทธเจ้า เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาก็คุยกันบ่อย
คราวนี้ก็เลยตัดสินใจไม่ไปขออนุญาตอาจารย์แล้ว อาจารย์จะอนุญาตไม่อนุญาต ฉันก็จะไปแล้ว
ปรากฏว่าเมื่อไปถึง..พอฟังธรรมแล้วก็บรรลุเป็นโสดาบัน

ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้าให้ไปฉันอาหารที่บ้าน สั่งคนที่บ้านให้ไปซื้อเนื้อในตลาด
ข่าวก็ร่ำลือกันว่า ลูกศิษย์ชีเปลือยตอนนี้เปลี่ยนแล้ว.. เปลี่ยนไปนับถือพระพุทธเจ้าแล้ว
ข่าวใหญ่มาก เพราะว่าสีหเสนาบดีเขาเป็นคนสำคัญ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี
แล้วก็รู้มากด้วย รู้ขนาดที่ว่าสั่งให้ไปซื้อเนื้อด้วย
ชีเปลือยได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่า “โอ้โห! พวกชาวพุทธนี่ไม่ได้เรื่องเลย
ลูกศิษย์ก็ไม่ได้เรื่องเลย..ไปซื้อเนื้อ!

ศาสดาก็ไม่ได้เรื่องเลย..กินเนื้อ!”
ก็ให้ลูกศิษย์ตัวเองไปโพนทะนาว่า “เนี่ย! พวกโหดร้าย..กินเนื้อ!”
พวกลูกน้องของสีหเสนาบดีได้ยินอย่างนั้นก็ไปรายงานเจ้านาย
“จะทำยังไงดีครับ? จะทิ้งเนื้อนี้มั้ย? จะทำอาหารใหม่มั้ย?”
สีหเสนาบดีบอกว่า “ไม่ต้องทิ้ง เราไม่ได้ฆ่าเอง เป็นของที่เขาขายอยู่เป็นปกติอยู่แล้วในตลาด
เราไม่ซื้อก็มีคนอื่นซื้อ และเขาก็ฆ่ามาขายอย่างนี้เป็นปกติ”
แล้วก็นำอาหารนั้นไปถวายพระพุทธเจ้า
คนทั้งหลายก็สนใจจ้องดูกันว่า..พระพุทธเจ้าจะฉันมั้ย? ปรากฏว่า พระองค์ก็ฉัน!
แล้วพระพุทธเจ้าก็สอนพระภิกษุว่า “เวลาจะฉันอาหาร..ให้พิจารณาก่อน”
คือแม้จะเว้นจากเนื้อที่ห้ามแล้ว ก็ต้องฉันให้ถูกต้องด้วย
ไม่ใช่พอเว้นเนื้อที่ห้ามทุกอย่าง..ฉันได้แล้ว..ก็โซ้ยแหลกเลย! กินอย่างมูมมามอะไรอย่างนี้..ก็ไม่ได้

ก็คือบอกว่า อาหารที่โยมเขาถวายมานี่นะ ถ้าเราจะฉันนะ
– ไม่ใช่ฉันเพื่อเพลิดเพลินสนุกสนาน หรือให้อ้วนพี
– ไม่ได้ฉันเพื่อโอ้อวดว่า ‘เรามีอาหารดี’
เคยมั้ย?.. รู้สึกว่ากินร้านนี้แล้วโก้มากเลย อะไรอย่างนี้นะ เคยมั้ย กินที่นี่แล้วรู้สึกหรู ๆ
ถ้ากินอย่างนี้นะ.. ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
– พระพุทธเจ้าสอนว่า เวลาจะกิน ให้พิจารณาว่า เป็นเพียงเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้อยู่ได้

ถ้าเป็นพระเป็นนักบวช..ก็เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป
ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา..ก็เพื่ออยู่ทำความดี ภาวนาต่อไป
– กินเพื่อดับความลำบากทางกาย
– กินเพื่อดับทุกขเวทนาเก่า คือความหิว
ความหิวเป็นทุกขเวทนาเก่า คือกินแล้ว ทุกขเวทนาเก่าจะดับไป
– แล้วก็กินให้พอดี อย่าให้ทุกขเวทนาใหม่เกิดขึ้นมา
มีมั้ย กินแล้ว “โฮ้ย! กินแล้วท้องอืด อึดอัด” อย่างนี้เรียกว่า มีทุกขเวทนาใหม่เกิดขึ้น
เป็นการกินที่ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน

เวลากินก็ให้พิจารณาว่าเป็นธาตุ
อาหารที่อยู่ต่อหน้าเรานี่เป็นธาตุ เป็นธาตุดินน้ำลมไฟ
ทั้งอาหารและผู้กินก็เป็นธาตุด้วยกัน
ธาตุที่เป็นอาหารกับธาตุที่เป็นผู้กินนี่นะ มีข้อสังเกต..
ไอ้ผู้กินเนี่ย..สกปรก!
อาหารที่สะอาดน่ากินนะ พอมาถูกเข้ากับธาตุผู้กินปุ๊บ! อาหารนั้นสกปรกทันที
ตักเข้าปากแล้วไปแบ่งคนอื่น.. ไม่มีใครอยากกินแล้ว..ใช่มั้ย?
อาหารอยู่ในจานน่ากิน พอโดนลิ้นเรา แล้วเราไปแบ่งคนอื่นนะ ไม่มีใครเอา
แสดงว่าอะไรน่ารังเกียจ? อะไรสกปรก?

อาหารที่น่ากิน เมื่อถูกกับเราแล้ว..น่ารังเกียจทันทีเลย!
ถูกแป๊บเดียวนะ! ถูกแปบเดียวก็น่ารังเกียจเลย
กินเข้าไปแล้วนะ ตอนออกมา..ก็ยิ่งน่ารังเกียจ
ตอนกินน่ะ..น่ากินมาก แต่ตอนออก..ก็น่ารังเกียจมากเลย
เพราะมันอยู่ในร่างกายนี้นาน

แสดงว่าร่างกายนี้น่ารังเกียจ ร่างกายนี้สกปรก ร่างกายนี้ไม่สวยไม่งาม
พิจารณาอย่างนี้ พิจารณาก่อนกินอย่างนี้
แล้วกินอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่เนื้อ ๑๐ อย่าง
แล้วก็กินอะไรก็ได้ ที่
– ไม่ได้เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา
– หรือไม่ได้ยินว่าเขาฆ่าเพื่อเรา
– หรือว่าไม่ได้สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อเรา
เข้าใจมั้ย?
ตอบยาวมากเลยนะ!

มีคนถามว่า : ถ้าหากเราไม่กินเนื้อสัตว์ คนก็จะไม่ฆ่าสัตว์
ตอบว่า : เป็นไปไม่ได้ มันคนละเรื่อง คือเราไปห้ามคนอื่นไม่ได้
ที่เมืองจีน คนกินมังสวิรัติน่าจะมาก คนอินเดียก็กินมังสวิรัติมากเหมือนกัน
แต่ทั้ง ๒ ประเทศไม่สามารถห้ามการฆ่าสัตว์ได้เลย
ถ้าเราเจริญเมตตาแล้วไม่กินเนื้อสัตว์ ก็เป็นส่วนดีของเรา
เป็นบุญ เป็นกุศลของเรา น่าอนุโมทนา
แต่ถ้าคิดเลยไปถึงว่า ขอคนอื่นอย่าฆ่าสัตว์..
หมายถึงว่า การกินของเรา จงทำให้คนอื่นไม่ฆ่าสัตว์ อย่างนี้มันเกินไป!
ข้อที่ควรระวังอย่างหนึ่งก็คือ ความถือตัวว่า “ตัวเราเองไม่กินเนื้อ แล้วดีกว่าคนกินเนื้อ”
หรือความคิดที่ว่า “คนกินเนื้อเป็นคนโหดร้าย เราไม่กินเนื้อ..เราเป็นผู้มีเมตตา”

ความคิดอันนี้เป็นความคิดของฤๅษีตอนที่ไปเจอพระพุทธเจ้า เข้าใจมั้ย?
คือ เราทำดีของเรา..อันนี้ดีแล้ว
เราเว้นเนื้อสัตว์ด้วยเมตตาของเรา..ก็เป็นความดีของเรา
แต่พอเห็นคนอื่นเขากิน แล้วเราไม่สบายใจ.. ตอนนี้เป็นทุกข์ในใจของเรา
จิตใจขณะนั้นผิดปกติไปเลย
ถ้าเห็นความผิดปกติในใจ..ก็ใช้ได้!
พระเทวทัตเคยใช้เรื่องนี้มาเป็นอุบายในการแยกสงฆ์ออกจากกัน
เคยได้ยินมั้ย?
พระเทวทัตมีความคิดอย่างหนึ่ง คือ อยากเป็นใหญ่
ก็ไปคุยกับเพื่อนกันว่า จะทำยังไงดีให้เราเป็นใหญ่ และมีบริวารเยอะๆ
ทำยังไงให้พระมาหาเรา และนับถือเราเป็นอาจารย์

เพื่อนที่เป็นลูกน้องของพระเทวทัตก็บอก “โอ่..ยากน้า..! พระพุทธเจ้าเนี่ยเก่งน้า..!”
พระเทวทัตบอก “เรามีอุบาย! เดี๋ยวเราจะไปขอพรจากพระพุทธเจ้า ๕ ข้อ ให้พระทั้งหลายถือปฏิบัติ
๕ ข้อนั้น คือ
๑. ขอให้พระอยู่ป่าตลอดชีวิต ห้ามอยู่ในบ้านในเมือง
๒. ให้พระบิณฑบาตตลอดชีวิต ห้ามรับกิจนิมนต์
๓. ให้ถือผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว หรือผ้าห่อศพ ให้นุ่งห่มผ้าที่เป็นผ้าบังสุกุลอย่างนี้ตลอดชีวิต
ห้ามรับจีวรที่โยมถวาย
๔. ให้อยู่ในที่โคนไม้ตลอดชีวิต ถ้าแดดร้อนก็อยู่โคนไม้ ถ้าแดดไม่ร้อนก็อยู่กลางแจ้ง คือ ห้ามเข้าที่มุงที่บัง
ห้ามอยู่กุฏิตลอดชีวิต
ข้อสุดท้าย..
๕. ห้ามกินเนื้อกินปลาตลอดชีวิต!

ขออนุญาตให้พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นสิกขาบท ให้เป็นศีลเป็นระเบียบเลยว่าให้พระถือปฏิบัติ ๕ ข้อนี้
ใครละเมิดมีโทษ
ไอ้เพื่อนก็ถาม “แล้วถ้าขอ..แล้วพระองค์อนุญาตตามนี้ล่ะ แล้วจะเป็นยังไง?
ถ้าท่านอนุญาตแล้วจะมีผลดีอะไรกับเรา?”

พระเทวทัตก็ว่า “อ้าว! เราก็ได้หน้าสิ ว่าเราเป็นคนเสนอ พระในวงการพระพุทธศาสนาเจริญขึ้นมาได้เพราะเรา
พระมักน้อย สันโดษ ไม่สะสม น่าเลื่อมใสอย่างนี้ ก็เพราะเรา
เห็นมั้ย พระพุทธเจ้ายังรับคำเสนอแนะจากเราเลย
อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีลูกศิษย์มาหาเรามากขึ้น”
เพื่อนก็แย้งอีก “เอ้า! แล้วถ้าพระพุทธเจ้าปฏิเสธล่ะ ไม่อนุญาต ๕ ข้อนี้ล่ะ มันจะมีผลดีอะไรกะเรา?”
เทวทัตก็บอก “ก็ยิ่งดีเลย! เราจะได้ประกาศไปเลยว่า พระพุทธเจ้านี่มักมาก ไม่สันโดษแล้ว
ใครอยากสันโดษ ใครอยากมักน้อยให้มาหาเรา ใครอยากไปนิพพานให้มาหาเรา
ตอนนี้พระพุทธเจ้ามักมากแล้ว ไม่พาไปนิพพานได้แล้ว
พระพุทธเจ้ายังรักสุขรักสบาย ยังอยากอยู่กุฏิอยู่เลย จึงไม่ยอมสั่งให้ทุกรูปอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต
พระพุทธเจ้าอยากได้จีวรสวย ๆ อยากได้จีวรจากโยม
ก็เลยไม่ยอมสั่งให้ทุกรูปใช้ผ้าห่อศพ หรือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต

พระพุทธเจ้าขี้เกียจแล้ว ไม่ยอมบิณฑบาต รอแต่ให้โยมมาถวาย จึงไม่สั่งให้ทุกรูปบิณฑบาตตลอดชีวิต
พระพุทธเจ้ายังติดรสชาติ เลยไม่ยอมให้เลิกกินเนื้อและปลา แถมยังโหดร้ายด้วย
เนี่ย..ประกาศไปอย่างนี้ เดี๋ยวคนทั้งหลาย ทั้งพระทั้งโยม ก็จะมาหาเราเอง”
ปรากฏว่าที่คุยกันนั้น เพื่อนพระเทวทัตก็บอกว่า “แจ๋วมาก! ความคิดนี้แจ๋วมาก ไปเลยๆ”
ก็ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทำเป็นนอบน้อมนะ กราบ แล้วก็พูดว่า
“ขอโอกาสครับ! ขอโอกาสให้พระองค์บัญญัติ ๕ ข้อนี้ เป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุทุกรูปตลอดชีวิต … ”

พระพุทธเจ้าฟังแล้วก็ตรัสว่า
“อย่าเลยเทวทัต อย่าเลย..
ถ้าใครปรารถนาจะอยู่ป่าตลอดชีวิต ก็อยู่ไป ใครปรารถนาจะอยู่บ้าน ก็อยู่ได้
ใครปรารถนาจะบิณฑบาตตลอดชีวิต ก็บิณฑบาตไป ใครปรารถนาจะรับกิจนิมนต์บ้าง ก็ทำได้
ใครปรารถนาจะถือผ้าบังสุกุล ใช้ผ้าห่อศพตลอดชีวิต ก็ใช้ไป ใครจะรับจีวรจากโยม ก็รับได้”
๓ ข้อนี้ ท่านให้ไปอยู่ในเรื่องของธุดงค์ คือ ข้อปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส
ใครตั้งใจจะทำให้ยิ่งขึ้น ก็คือมาสมาทานธุดงค์ ก็ทำได้ แต่ไม่บังคับ
พระจะไม่ถือธุดงค์เลยก็ได้ แต่อย่าผิดศีล
แต่ถ้าทำ ๓ ข้อนี้ได้ก็ดี แต่ถ้าจะให้บังคับทุกรูปถือปฏิบัติอย่างนี้ พระองค์ไม่บังคับ
แต่ส่วนข้อที่ ๔ ที่ให้อยู่โคนไม้ตลอดชีวิตนี่.. ไม่ได้!
ให้อยู่ได้เฉพาะหน้าแล้ง พอฤดูฝนก็ต้องหาที่มุงที่บัง
ฤดูฝน ๔ เดือนให้หากุฏิ ถ้าไม่มีกุฏิก็อยู่ถ้ำ

๓ ข้อแรกให้อยู่ในข้อธุดงค์
ส่วนข้อ ๔ อนุญาตให้ได้แค่ ๘ เดือน
ส่วนข้อสุดท้าย เรื่องกินเนื้อกินปลา พระพุทธเจ้าไม่ห้าม!
เพียงแต่เว้นเนื้อ ๑๐ อย่าง ที่กล่าวแล้วข้างต้น
และเว้นเนื้อที่ได้มาด้วยอาการ ๓ อย่างที่ว่า คือ ได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัย ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา อย่างนี้ไม่ให้ฉัน
แล้วพระองค์ก็ให้พิจารณาก่อนฉันก่อนกิน อย่างที่ว่าเมื่อกี๊
น่าจะเคลียร์นะ น่าจะเข้าใจแล้วนะ

แต่ไม่ใช่หมายความว่าคนไม่กินเนื้อสัตว์ผิดด้วยนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ
คือคนกินเนื้อสัตว์ คนไม่กินเนื้อสัตว์เนี่ย ถ้า..
“โอ้! พระพุทธเจ้าอนุญาตแล้ว”
แล้วไปบอกโยม “ไก่นี่อร่อยนะ ไปหามาให้หน่อย” อย่างงี้ไม่ได้
หรือว่าไปยึดในความเห็นของตัวเองว่า อย่างนี้เท่านั้นถูก
เช่นว่า..ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วยึดว่าตรงนี้ถูก คนอื่นผิด อย่างนี้ก็เป็นการยึดในความเห็น
แล้วถ้ายึดถึงขนาดที่ว่า ต้องทำอย่างนี้จึงจะไปนิพพานได้
ตรงนี้ก็กลายเป็นเรื่องของ “สีลัพตปรามาส” ซึ่งพระโสดาบันละได้แล้ว!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙