ถาม : ขอกราบอาราธนาธรรม ขอเมตตาจากพระอาจารย์
ขอทราบรายละเอียดเรื่องการกินเนื้อสัตว์ และการกินมังสวิรัติ
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
ขอเมตตาพระอาจารย์แปลเป็นภาษาไทยด้วย
ตอบ : เรื่องทำนองนี้ ได้เคยตอบในคอร์สคนจีน
ขอยกเอาคำตอบครั้งนั้นมาเรียบเรียงให้อ่านกัน…..
คำถามที่เกี่ยวกับ “ทำไมพระกินเนื้อสัตว์”
เรื่องการกินนี่นะ พระพุทธเจ้าสอนพระภิกษุว่า ให้พิจารณาก่อนฉัน
ครั้งหนึ่ง มีบริวารของนางวิสาขา ได้เดินติดตามนางวิสาขาเข้าไปในวัด
ก็ไปพบพระป่วยรูปหนึ่ง ก็ไปถามว่า “โรคที่ท่านเป็นอยู่เนี่ย ท่านเคยกินอะไรแล้วหาย?”
พระก็บอกว่า “เคยดื่มน้ำต้มเนื้อแล้วหาย”
โยมก็เลยบอกว่า “เดี๋ยวโยมจะจัดหาให้”
พอออกจากวัดมาแล้ว ปรากฏว่าวันนั้นเป็นวันพระ ไม่มีเนื้อขาย
วันอุโบสถ เป็นวันที่คนอินเดียสมัยนั้นเขานัดกันว่า จะไม่ฆ่าสัตว์ วันนั้นจึงไม่มีเนื้อสัตว์ขายในตลาด
เมื่อไม่มีเนื้อสัตว์ ก็เลยนึกว่า “ทำยังไงดี เรารับปากพระไว้แล้วว่าจะหาน้ำต้มเนื้อไปถวาย”
โยมก็เลยกลับไปบ้าน เฉือนเนื้อน่องตัวเอง แล้วก็เอาผ้าพันแผลมาพันไว้
แล้วก็เอาเนื้อน่องตัวเองไปใส่หม้อต้มน้ำ
แล้วก็เอาน้ำต้มเนื้อนั้น..ฝากสามีไปถวายพระรูปนั้น
สามีเห็นอย่างนั้น.. โยมคิดว่าสามีจะด่าเมียมั้ย..ถ้าเมียทำอย่างนี้ จะด่ามั้ย?
สามีคนนั้นนะ เห็นเมียทำอย่างนั้น ก็คิดว่า
“โห..เมียเราทำสิ่งที่ทำได้ยาก!” อนุโมทนากับเมียเลย!
สามีก็นำเอาน้ำต้มเนื้อนั้นไปถวายพระ พระรับมาแล้วก็ฉัน แล้วไม่นานก็หาย
ปรากฏว่า พระฉันน้ำที่เป็นน้ำต้มเนื้อมนุษย์ ข่าวก็ไปถึงพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปหาพระรูปนั้น ถามพระรูปนั้นว่า “ตอนจะฉันน่ะ..พิจารณารึเปล่า?”
พระรูปนั้นทูลตอบว่า “ไม่ทันพิจารณาพระเจ้าข้า! เพราะว่าเห็นโยมเขาเอามาถวาย..ก็ดื่มเลย”
ตรัสบอกว่า “รู้มั้ย นั่นน่ะ เป็นน้ำต้มเนื้อ..ที่เป็นเนื้อมนุษย์นะ”
แล้วจึงบัญญัติสิกขาบทสำหรับพระภิกษุว่า “ห้ามภิกษุฉันเนื้อมนุษย์” เนื้ออื่นยังไม่ห้าม
ครั้งหนึ่ง มีฤๅษีอยู่ที่ป่าหิมพานต์ของอินเดีย แล้วก็อยู่แต่ในป่า กินแต่ของป่า
ก็ขาดแคลนสารอาหารบางอย่าง เช่น พวกเกลือ หรือของเค็ม ของเปรี้ยวต่าง ๆ
ก็เลยพาบริวาร ๕๐๐ องค์ มาในเมือง มาปีละครั้ง
แต่ละครั้งก็ไม่ใช่วันเดียวนะ อาจจะประมาณเดือนหนึ่ง ประมาณนี้
มาแต่ละครั้งก็เหาะมา ชาวบ้านก็ศรัทธามาก ทำอาหารถวายเต็มที่
ฤๅษีบอกว่า “เอาเฉพาะอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์นะ”
โยมก็ต้องเอากลับบ้าน แล้วก็ทำใหม่ ก็ยอมทำตามที่ฤๅษีบอก ก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ
อยู่มาปีหนึ่ง ฤๅษีมาอีก ปรากฏว่าคราวนี้ชาวบ้านไม่ตื่นเต้น
ฤๅษีก็คิดว่า “เอ๊ะ! เดี๋ยวนี้เค้าเป็นอะไรไป?
ถูกพระราชาลงโทษหรือเปล่า..หมู่บ้านนี้ หรือว่าถูกโจรปล้น?
ทำไมมาคราวนี้เค้าไม่ตื่นเต้นกันเลย ไม่ต้อนรับเราเหมือนเมื่อก่อน”
คือต้อนรับใส่บาตรปกติ แต่ว่าไม่ฮือฮาเหมือนเมื่อก่อน
ก็เลยถามโยมว่า “เกิดอะไรขึ้น มีเหตุเภทภัยอะไรหรือเปล่า? ทำไมดูบ้านเมืองเงียบเหงา คนหายไปไหนหมด?”
โยมก็บอกว่า “อ้อ! พวกเขาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดในป่าอีกที่หนึ่งครับ”
ฤๅษีก็บอก “หา! พระพุทธเจ้าเหรอ!..” รู้สึกว่าคำนี้หาฟังยาก
ฤๅษีตื่นเต้นมาก ถามโยมว่า “พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน?”
ฤๅษีอยากจะไปหาพระพุทธเจ้า อยากจะไปเรียนธรรมะกับพระพุทธเจ้า
รู้ว่าตัวเองยังไม่ถึงที่สุดของทุกข์ ยังมีทุกข์อยู่ ก็อยากจะไปเข้าเฝ้า
แล้วก็แวบขึ้นมานิดหนึ่งในหัว มีความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วก็ถามโยมไปว่า
“พระพุทธเจ้ากินเนื้อกินปลามั้ย?”
โยมตอบว่า “กินครับ”
“โอ้!.. พระพุทธเจ้ากินเนื้อกินปลาหรือ? กินของคาวหรือ?”
ของคาวในที่นี้ คือ ของที่มีกลิ่นเนื้อ
ฤๅษีคิดว่า การกินผักกินผลไม้นี่มีกลิ่นสะอาด การกินเนื้อกินปลานี่มีกลิ่นเหม็น
การกินผักกินผลไม้นี่มีเมตตา การกินเนื้อกินปลาไม่มีเมตตา
ฤๅษีใช้คำแทนคนที่กินเนื้อกินปลาว่า..เป็นคนที่กินของเหม็น
เลยถามโยมไปว่า “ใช่พระพุทธเจ้าหรือ? พระพุทธเจ้าทำไมกินของเหม็น?”
โยมบอก “ใช่ครับ! พระพุทธเจ้าจริง ๆ โยมไปฟังธรรมแล้ว
ธรรมะของพระองค์ที่ทรงแสดงมา โยมเข้าใจแล้ว ดับทุกข์ได้จริง”
คือฤๅษีไปคุยกับพระโสดาบันเข้า!
ฤๅษีก็ชักลังเลว่า “เอ๊ะ! ยังไงกันแน่? จะเชื่อคำว่า ‘พุทธะ’ หรือจะเชื่อใจตัวเองว่า ‘ท่านกินของเหม็น’
จะเชื่ออันไหนดี?”
ฤๅษีก็ฉลาดอย่างหนึ่ง คือว่า..ต้องไปพิสูจน์! ก็ไปหาเลย พาบริวารไปด้วยนะ ไปทั้งหมดเลย
ไปเข้าเฝ้าแล้วก็ไปสนทนาสอบถามกับพระพุทธเจ้า เรียกว่าไปถึงไม่ให้เสียเวลาเลย..ถามทันที!
“พระองค์ยังกินเนื้อกินปลาอยู่หรือ?”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ใช่! เรายังกินอย่างที่ท่านว่า”
ฤๅษีถามไปอีก “ทำไมท่านยังกินของเหม็น?”
พระพุทธเจ้าตรัสย้อนถามว่า “อะไรเป็นของเหม็น?”
ฤๅษีก็ตอบว่า “เอ้า! ก็เนื้อสัตว์กับปลานี่แหละ..คือของเหม็น!”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ไม่ใช่! ใจที่เป็นอกุศลต่างหาก..เป็นของเหม็น
ใจขี้โกรธ เป็นของเหม็น
ใจที่เคียดแค้น อยากจะทำร้ายคนอื่น เป็นของเหม็น
ใจที่โลภอยากได้ของคนอื่น เป็นของเหม็น
ใจที่อยากจะอยู่กับเมียของคนอื่น เป็นของเหม็น
ใจที่คิดอยากจะพูดโกหก เป็นของเหม็น
ใจที่เคียดแค้น อยากจะด่าคนอื่น เป็นของเหม็น
เนื้อและปลาไม่ใช่ของเหม็น
ใจที่ถือตัว เป็นของเหม็น
ใจที่ยึดในความเห็นของตัวเองว่าถูก เป็นของเหม็น
แม้แต่นักบวชที่ถือศีลบำเพ็ญภาวนาแล้วอยากจะไปเป็นเทวดา นั่นก็เหม็น”
โดนใจฤๅษีหมดเลย!
“โอ้! ฉันอุตส่าห์บำเพ็ญภาวนาอยากจะไปเป็นเทวดา โอ..เราเหม็นเหรอเนี่ย!
โอ.. แล้วเรายึดความเห็นของตัวเองว่า กินเนื้อกินปลาว่าเหม็น
นี่เรายึดความเห็นของตัวเอง ไอ้ความยึดอันนี้..เหม็นหรือ!”
ฤๅษีเห็นสภาวะเหล่านี้ในใจตัวเอง เห็นแล้วมันน่ารังเกียจจริง ๆ
โดยเฉพาะตัว’มานะ’ ที่เห็นว่าตัวเองดีกว่าพระพุทธเจ้าเมื่อกี๊นี้ โอ้!..เหม็นมากเลย!
พอเห็นอย่างนี้แล้ว..ก้มกราบเลย!
เห็นแล้วว่า..ตัวเองเหม็นมาก
กินผักกินผลไม้มาตลอดชีวิตนะ ไม่ได้กินเนื้อกินปลาเลย แต่เหม็นมากเลย..เห็นว่าตัวเองเหม็นมาก
ก้มลงกราบพระพุทธเจ้า ขอบวชกับพระพุทธเจ้าเลยนะ
พอบวชแล้วไม่นานก็เป็นพระอรหันต์
เป็นพระอรหันต์ที่กินเนื้อกินปลาได้ แต่ใจไม่เหม็นเลย!
แต่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามไม่ให้ฉันเนื้ออยู่ ๑๐ อย่าง
เนื้อมนุษย์อย่างเมื่อกี๊นี้ที่บอกไป..มีสาเหตุอย่างที่เล่าแล้ว
ต่อมามีช้างตาย คนเลี้ยงช้างเอาเนื้อช้างมาถวายพระ พระก็ฉัน
คนทั้งหลายก็กล่าวกันว่า “โอ..ทำไมฉันเนื้อช้าง”
ช้างเป็นพาหนะของพระราชา พระราชาประทับนั่งบนหลังช้างแล้วเสด็จไปที่ต่าง ๆ
บางครั้งก็ยังช่วยทำสงครามปกป้องบ้านเมือง
ช้างตายแล้วควรทำศพ ควรฝังให้สมเกียรติของช้าง ไม่ใช่เอาเนื้อมากิน เพราะเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ
พอพระพุทธเจ้าทราบเรื่องแล้ว พระองค์ก็ห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อช้าง
เช่นเดียวกับเนื้อม้า มีม้าตายก็มีกรณีคล้าย ๆ กัน แล้วพระพุทธองค์ก็ห้ามไม่ให้พระภิกษุฉันเนื้อม้า
ต่อมาก็เหตุให้พระองค์ทรงบัญญัติห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ต่างชนิดมากขึ้น รวมแล้วมี ๑๐ อย่าง คือ
เนื้อคน เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อหมี เนื้อสุนัข เนื้องู เนื้อสิงโต เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือโคร่ง และเนื้อเสือดาว
นี่คือที่พระองค์ห้ามและระบุชื่อเอาไว้
นอกจากนั้นแล้ว เนื้อที่ไม่ได้ระบุชื่อ ถ้าเห็นว่าเขาฆ่ามาให้เรา เนื้ออย่างนี้ก็ห้าม
เช่นว่าเห็นเขาฆ่าไก่ แล้วก็ไปย่างไก่ แล้วมาให้เรา อันนี้ไม่ให้ฉัน
เนื้อไก่..ไม่ได้ห้าม แต่เห็นเขาฆ่ามาให้เรา อย่างนี้ห้ามไม่ให้ฉัน
หรือบางทีไม่เห็นหรอก แต่ได้ยินว่าเขาฆ่ามาให้เรา
เช่น พระเดินผ่านบ้านโยมไป แล้วโยมบอกว่า
“อุ๊ย! พระมา! เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะเอาไก่ตัวนี้มาต้มถวายพระดีกว่า”
พอเช้ามาบิณฑบาตได้ไก่ตัวนั้น เป็นต้มข่าไก่มาแล้ว อย่างนี้ก็ห้ามไม่ให้พระฉัน
กลายเป็นธรรมเนียมของชาวพุทธอย่างหนึ่งว่า
เวลาจะถวายอาหารพระ..จะไม่บอกก่อนว่าจะถวายอะไร บอกแค่ว่า “จะถวายอาหาร”
อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ได้เห็น..ไม่ได้ยิน..แต่สงสัย!
สงสัยนี่คือ สงสัยว่าเขาฆ่าสัตว์นั้นเฉพาะเพื่อเรา อย่างนี้ก็ห้ามไม่ให้ฉัน
เช่น พระเดินผ่านบ้านโยมเห็นไก่อยู่ ๓ ตัว กลับไปวัด
รุ่งเช้ามาบิณฑบาต เห็นไก่เหลืออยู่ ๒ ตัว แล้วที่โยมใส่บาตรมาเป็นไก่ย่าง! อย่างนี้นะ
“อ้าว! สงสัยไก่ตัวนั้นโดนฆ่ามาถวายเราซะแล้ว!” อย่างนี้ก็ห้ามไม่ให้พระฉัน
กรณีหลังนี้ คือไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน แต่คะเนเอาคิดเอาว่า..น่าจะเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ฉัน!
จะฆ่าเอง หรือสั่งให้เขาฆ่า ก็ไม่ได้ทั้งนั้น
ใครเคยเข้าร้านอาหารจำพวกซีฟู้ดบ้างมั้ย? ร้านอาหารทะเลน่ะ
จะมีปลาสด ๆ กุ้งสด ๆ คือปลามีชีวิต กุ้งมีชีวิตนะ แล้วให้ลูกค้าไปชี้..”เอาตัวนี้..เอาตัวนี้!”
ไม่ได้ฆ่าเอง..แต่สั่ง อย่างนี้ก็ห้ามนะ!
แต่ถ้าของที่เขามีอยู่ในตลาดอยู่แล้ว เป็นเหมือนซากศพ แล้วเราไปซื้อนะ อย่างนี้ก็ไม่เป็นไร
เราไม่ได้ไปสั่งพ่อค้าว่า “พรุ่งนี้เอาไก่มาให้ ๕ ตัวนะ พรุ่งนี้ฉันจะทำบุญ”
ถ้าสั่งอย่างนี้..ก็ไม่ได้!
แต่ถ้าเขาขายอยู่แล้วนะ แล้วเราเดินผ่านไป “เออ..เดี๋ยวจะเอาอันนี้ไปทำอาหาร” อย่างนี้ได้!
มีตัวอย่างนะ ในสมัยพุทธกาล มีเสนาบดีอยู่คนหนึ่ง ชื่อสีหเสนาบดี
เสนาบดีก็เหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีของแคว้น แคว้นนั้นชื่อว่าแคว้นวัชชี
วัชชีก็เป็นแคว้นหนึ่งที่อยู่ทางเหนือของแคว้นมคธในชมพูทวีป ปกครองด้วยระบบสามัคคีธรรม
มีเรื่องอะไรก็จะมาประชุมกัน ช่วงนั้นเวลาประชุมกันนะ เขาก็จะพูดกันถึงเรื่องพระพุทธเจ้า
พูดกันในที่ประชุมว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณมากมาย แล้วก็ท่อง “อิติปิโสฯ” กันในห้องประชุม
ก็คือเป็นคำกล่าวถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
แต่สีหเสนาบดีไม่ได้เป็นชาวพุทธ เขานับถือชีเปลือย นับถือนักบวชที่ไม่นุ่งผ้า ที่เดี๋ยวนี้เรียกกันว่าศาสนาเชน
พอสีหเสนาบดีได้ยินคนในห้องประชุมพูดกันถึงพระพุทธเจ้า ก็สนใจอยากจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
แต่ตัวเองมีอาจารย์เป็นชีเปลือย ก็เลยไปขออนุญาตอาจารย์ก่อน
ชีเปลือยไม่อนุญาต บอกว่า
“อย่าไปเลย เสียเวลา เขาไม่ใช่พระอรหันต์หรอก เรานี่แหละ..อรหันต์
เราไม่นุ่งผ้า เราไม่มีกิเลสเรื่องเครื่องนุ่งห่มแล้ว พระพุทธเจ้ายังห่มจีวรอยู่เลย!”
สีหเสนาบดีได้ยินอย่างนั้น ก็เลยยังไม่ไป
อยู่มาอีกวัน ไปประชุมอีก ที่ประชุมก็คุยกันถึงพระพุทธเจ้าอีก ก็ศรัทธาอยากจะไปกราบพระพุทธเจ้าอีก
ก็ไปขออนุญาตอาจารย์ คือขออนุญาตชีเปลือย ก็ถูกปฏิเสธอีก ก็เลยไม่ได้ไปอีก เป็นครั้งที่ ๒
แต่เนื่องจากว่าเขามีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องมีการประชุมอยู่บ่อย ๆ
ในห้องประชุมก็พูดถึงแต่เรื่องพระพุทธเจ้า เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาก็คุยกันบ่อย
คราวนี้ก็เลยตัดสินใจไม่ไปขออนุญาตอาจารย์แล้ว อาจารย์จะอนุญาตไม่อนุญาต ฉันก็จะไปแล้ว
ปรากฏว่าเมื่อไปถึง..พอฟังธรรมแล้วก็บรรลุเป็นโสดาบัน
ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้าให้ไปฉันอาหารที่บ้าน สั่งคนที่บ้านให้ไปซื้อเนื้อในตลาด
ข่าวก็ร่ำลือกันว่า ลูกศิษย์ชีเปลือยตอนนี้เปลี่ยนแล้ว.. เปลี่ยนไปนับถือพระพุทธเจ้าแล้ว
ข่าวใหญ่มาก เพราะว่าสีหเสนาบดีเขาเป็นคนสำคัญ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี
แล้วก็รู้มากด้วย รู้ขนาดที่ว่าสั่งให้ไปซื้อเนื้อด้วย
ชีเปลือยได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่า “โอ้โห! พวกชาวพุทธนี่ไม่ได้เรื่องเลย
ลูกศิษย์ก็ไม่ได้เรื่องเลย..ไปซื้อเนื้อ!
ศาสดาก็ไม่ได้เรื่องเลย..กินเนื้อ!”
ก็ให้ลูกศิษย์ตัวเองไปโพนทะนาว่า “เนี่ย! พวกโหดร้าย..กินเนื้อ!”
พวกลูกน้องของสีหเสนาบดีได้ยินอย่างนั้นก็ไปรายงานเจ้านาย
“จะทำยังไงดีครับ? จะทิ้งเนื้อนี้มั้ย? จะทำอาหารใหม่มั้ย?”
สีหเสนาบดีบอกว่า “ไม่ต้องทิ้ง เราไม่ได้ฆ่าเอง เป็นของที่เขาขายอยู่เป็นปกติอยู่แล้วในตลาด
เราไม่ซื้อก็มีคนอื่นซื้อ และเขาก็ฆ่ามาขายอย่างนี้เป็นปกติ”
แล้วก็นำอาหารนั้นไปถวายพระพุทธเจ้า
คนทั้งหลายก็สนใจจ้องดูกันว่า..พระพุทธเจ้าจะฉันมั้ย? ปรากฏว่า พระองค์ก็ฉัน!
แล้วพระพุทธเจ้าก็สอนพระภิกษุว่า “เวลาจะฉันอาหาร..ให้พิจารณาก่อน”
คือแม้จะเว้นจากเนื้อที่ห้ามแล้ว ก็ต้องฉันให้ถูกต้องด้วย
ไม่ใช่พอเว้นเนื้อที่ห้ามทุกอย่าง..ฉันได้แล้ว..ก็โซ้ยแหลกเลย! กินอย่างมูมมามอะไรอย่างนี้..ก็ไม่ได้
ก็คือบอกว่า อาหารที่โยมเขาถวายมานี่นะ ถ้าเราจะฉันนะ
– ไม่ใช่ฉันเพื่อเพลิดเพลินสนุกสนาน หรือให้อ้วนพี
– ไม่ได้ฉันเพื่อโอ้อวดว่า ‘เรามีอาหารดี’
เคยมั้ย?.. รู้สึกว่ากินร้านนี้แล้วโก้มากเลย อะไรอย่างนี้นะ เคยมั้ย กินที่นี่แล้วรู้สึกหรู ๆ
ถ้ากินอย่างนี้นะ.. ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
– พระพุทธเจ้าสอนว่า เวลาจะกิน ให้พิจารณาว่า เป็นเพียงเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้อยู่ได้
ถ้าเป็นพระเป็นนักบวช..ก็เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป
ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา..ก็เพื่ออยู่ทำความดี ภาวนาต่อไป
– กินเพื่อดับความลำบากทางกาย
– กินเพื่อดับทุกขเวทนาเก่า คือความหิว
ความหิวเป็นทุกขเวทนาเก่า คือกินแล้ว ทุกขเวทนาเก่าจะดับไป
– แล้วก็กินให้พอดี อย่าให้ทุกขเวทนาใหม่เกิดขึ้นมา
มีมั้ย กินแล้ว “โฮ้ย! กินแล้วท้องอืด อึดอัด” อย่างนี้เรียกว่า มีทุกขเวทนาใหม่เกิดขึ้น
เป็นการกินที่ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน
เวลากินก็ให้พิจารณาว่าเป็นธาตุ
อาหารที่อยู่ต่อหน้าเรานี่เป็นธาตุ เป็นธาตุดินน้ำลมไฟ
ทั้งอาหารและผู้กินก็เป็นธาตุด้วยกัน
ธาตุที่เป็นอาหารกับธาตุที่เป็นผู้กินนี่นะ มีข้อสังเกต..
ไอ้ผู้กินเนี่ย..สกปรก!
อาหารที่สะอาดน่ากินนะ พอมาถูกเข้ากับธาตุผู้กินปุ๊บ! อาหารนั้นสกปรกทันที
ตักเข้าปากแล้วไปแบ่งคนอื่น.. ไม่มีใครอยากกินแล้ว..ใช่มั้ย?
อาหารอยู่ในจานน่ากิน พอโดนลิ้นเรา แล้วเราไปแบ่งคนอื่นนะ ไม่มีใครเอา
แสดงว่าอะไรน่ารังเกียจ? อะไรสกปรก?
อาหารที่น่ากิน เมื่อถูกกับเราแล้ว..น่ารังเกียจทันทีเลย!
ถูกแป๊บเดียวนะ! ถูกแปบเดียวก็น่ารังเกียจเลย
กินเข้าไปแล้วนะ ตอนออกมา..ก็ยิ่งน่ารังเกียจ
ตอนกินน่ะ..น่ากินมาก แต่ตอนออก..ก็น่ารังเกียจมากเลย
เพราะมันอยู่ในร่างกายนี้นาน
แสดงว่าร่างกายนี้น่ารังเกียจ ร่างกายนี้สกปรก ร่างกายนี้ไม่สวยไม่งาม
พิจารณาอย่างนี้ พิจารณาก่อนกินอย่างนี้
แล้วกินอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่เนื้อ ๑๐ อย่าง
แล้วก็กินอะไรก็ได้ ที่
– ไม่ได้เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา
– หรือไม่ได้ยินว่าเขาฆ่าเพื่อเรา
– หรือว่าไม่ได้สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อเรา
เข้าใจมั้ย?
ตอบยาวมากเลยนะ!
มีคนถามว่า : ถ้าหากเราไม่กินเนื้อสัตว์ คนก็จะไม่ฆ่าสัตว์
ตอบว่า : เป็นไปไม่ได้ มันคนละเรื่อง คือเราไปห้ามคนอื่นไม่ได้
ที่เมืองจีน คนกินมังสวิรัติน่าจะมาก คนอินเดียก็กินมังสวิรัติมากเหมือนกัน
แต่ทั้ง ๒ ประเทศไม่สามารถห้ามการฆ่าสัตว์ได้เลย
ถ้าเราเจริญเมตตาแล้วไม่กินเนื้อสัตว์ ก็เป็นส่วนดีของเรา
เป็นบุญ เป็นกุศลของเรา น่าอนุโมทนา
แต่ถ้าคิดเลยไปถึงว่า ขอคนอื่นอย่าฆ่าสัตว์..
หมายถึงว่า การกินของเรา จงทำให้คนอื่นไม่ฆ่าสัตว์ อย่างนี้มันเกินไป!
ข้อที่ควรระวังอย่างหนึ่งก็คือ ความถือตัวว่า “ตัวเราเองไม่กินเนื้อ แล้วดีกว่าคนกินเนื้อ”
หรือความคิดที่ว่า “คนกินเนื้อเป็นคนโหดร้าย เราไม่กินเนื้อ..เราเป็นผู้มีเมตตา”
ความคิดอันนี้เป็นความคิดของฤๅษีตอนที่ไปเจอพระพุทธเจ้า เข้าใจมั้ย?
คือ เราทำดีของเรา..อันนี้ดีแล้ว
เราเว้นเนื้อสัตว์ด้วยเมตตาของเรา..ก็เป็นความดีของเรา
แต่พอเห็นคนอื่นเขากิน แล้วเราไม่สบายใจ.. ตอนนี้เป็นทุกข์ในใจของเรา
จิตใจขณะนั้นผิดปกติไปเลย
ถ้าเห็นความผิดปกติในใจ..ก็ใช้ได้!
พระเทวทัตเคยใช้เรื่องนี้มาเป็นอุบายในการแยกสงฆ์ออกจากกัน
เคยได้ยินมั้ย?
พระเทวทัตมีความคิดอย่างหนึ่ง คือ อยากเป็นใหญ่
ก็ไปคุยกับเพื่อนกันว่า จะทำยังไงดีให้เราเป็นใหญ่ และมีบริวารเยอะๆ
ทำยังไงให้พระมาหาเรา และนับถือเราเป็นอาจารย์
เพื่อนที่เป็นลูกน้องของพระเทวทัตก็บอก “โอ่..ยากน้า..! พระพุทธเจ้าเนี่ยเก่งน้า..!”
พระเทวทัตบอก “เรามีอุบาย! เดี๋ยวเราจะไปขอพรจากพระพุทธเจ้า ๕ ข้อ ให้พระทั้งหลายถือปฏิบัติ
๕ ข้อนั้น คือ
๑. ขอให้พระอยู่ป่าตลอดชีวิต ห้ามอยู่ในบ้านในเมือง
๒. ให้พระบิณฑบาตตลอดชีวิต ห้ามรับกิจนิมนต์
๓. ให้ถือผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว หรือผ้าห่อศพ ให้นุ่งห่มผ้าที่เป็นผ้าบังสุกุลอย่างนี้ตลอดชีวิต
ห้ามรับจีวรที่โยมถวาย
๔. ให้อยู่ในที่โคนไม้ตลอดชีวิต ถ้าแดดร้อนก็อยู่โคนไม้ ถ้าแดดไม่ร้อนก็อยู่กลางแจ้ง คือ ห้ามเข้าที่มุงที่บัง
ห้ามอยู่กุฏิตลอดชีวิต
ข้อสุดท้าย..
๕. ห้ามกินเนื้อกินปลาตลอดชีวิต!
ขออนุญาตให้พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นสิกขาบท ให้เป็นศีลเป็นระเบียบเลยว่าให้พระถือปฏิบัติ ๕ ข้อนี้
ใครละเมิดมีโทษ
ไอ้เพื่อนก็ถาม “แล้วถ้าขอ..แล้วพระองค์อนุญาตตามนี้ล่ะ แล้วจะเป็นยังไง?
ถ้าท่านอนุญาตแล้วจะมีผลดีอะไรกับเรา?”
พระเทวทัตก็ว่า “อ้าว! เราก็ได้หน้าสิ ว่าเราเป็นคนเสนอ พระในวงการพระพุทธศาสนาเจริญขึ้นมาได้เพราะเรา
พระมักน้อย สันโดษ ไม่สะสม น่าเลื่อมใสอย่างนี้ ก็เพราะเรา
เห็นมั้ย พระพุทธเจ้ายังรับคำเสนอแนะจากเราเลย
อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีลูกศิษย์มาหาเรามากขึ้น”
เพื่อนก็แย้งอีก “เอ้า! แล้วถ้าพระพุทธเจ้าปฏิเสธล่ะ ไม่อนุญาต ๕ ข้อนี้ล่ะ มันจะมีผลดีอะไรกะเรา?”
เทวทัตก็บอก “ก็ยิ่งดีเลย! เราจะได้ประกาศไปเลยว่า พระพุทธเจ้านี่มักมาก ไม่สันโดษแล้ว
ใครอยากสันโดษ ใครอยากมักน้อยให้มาหาเรา ใครอยากไปนิพพานให้มาหาเรา
ตอนนี้พระพุทธเจ้ามักมากแล้ว ไม่พาไปนิพพานได้แล้ว
พระพุทธเจ้ายังรักสุขรักสบาย ยังอยากอยู่กุฏิอยู่เลย จึงไม่ยอมสั่งให้ทุกรูปอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต
พระพุทธเจ้าอยากได้จีวรสวย ๆ อยากได้จีวรจากโยม
ก็เลยไม่ยอมสั่งให้ทุกรูปใช้ผ้าห่อศพ หรือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต
พระพุทธเจ้าขี้เกียจแล้ว ไม่ยอมบิณฑบาต รอแต่ให้โยมมาถวาย จึงไม่สั่งให้ทุกรูปบิณฑบาตตลอดชีวิต
พระพุทธเจ้ายังติดรสชาติ เลยไม่ยอมให้เลิกกินเนื้อและปลา แถมยังโหดร้ายด้วย
เนี่ย..ประกาศไปอย่างนี้ เดี๋ยวคนทั้งหลาย ทั้งพระทั้งโยม ก็จะมาหาเราเอง”
ปรากฏว่าที่คุยกันนั้น เพื่อนพระเทวทัตก็บอกว่า “แจ๋วมาก! ความคิดนี้แจ๋วมาก ไปเลยๆ”
ก็ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทำเป็นนอบน้อมนะ กราบ แล้วก็พูดว่า
“ขอโอกาสครับ! ขอโอกาสให้พระองค์บัญญัติ ๕ ข้อนี้ เป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุทุกรูปตลอดชีวิต … ”
พระพุทธเจ้าฟังแล้วก็ตรัสว่า
“อย่าเลยเทวทัต อย่าเลย..
ถ้าใครปรารถนาจะอยู่ป่าตลอดชีวิต ก็อยู่ไป ใครปรารถนาจะอยู่บ้าน ก็อยู่ได้
ใครปรารถนาจะบิณฑบาตตลอดชีวิต ก็บิณฑบาตไป ใครปรารถนาจะรับกิจนิมนต์บ้าง ก็ทำได้
ใครปรารถนาจะถือผ้าบังสุกุล ใช้ผ้าห่อศพตลอดชีวิต ก็ใช้ไป ใครจะรับจีวรจากโยม ก็รับได้”
๓ ข้อนี้ ท่านให้ไปอยู่ในเรื่องของธุดงค์ คือ ข้อปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลส
ใครตั้งใจจะทำให้ยิ่งขึ้น ก็คือมาสมาทานธุดงค์ ก็ทำได้ แต่ไม่บังคับ
พระจะไม่ถือธุดงค์เลยก็ได้ แต่อย่าผิดศีล
แต่ถ้าทำ ๓ ข้อนี้ได้ก็ดี แต่ถ้าจะให้บังคับทุกรูปถือปฏิบัติอย่างนี้ พระองค์ไม่บังคับ
แต่ส่วนข้อที่ ๔ ที่ให้อยู่โคนไม้ตลอดชีวิตนี่.. ไม่ได้!
ให้อยู่ได้เฉพาะหน้าแล้ง พอฤดูฝนก็ต้องหาที่มุงที่บัง
ฤดูฝน ๔ เดือนให้หากุฏิ ถ้าไม่มีกุฏิก็อยู่ถ้ำ
๓ ข้อแรกให้อยู่ในข้อธุดงค์
ส่วนข้อ ๔ อนุญาตให้ได้แค่ ๘ เดือน
ส่วนข้อสุดท้าย เรื่องกินเนื้อกินปลา พระพุทธเจ้าไม่ห้าม!
เพียงแต่เว้นเนื้อ ๑๐ อย่าง ที่กล่าวแล้วข้างต้น
และเว้นเนื้อที่ได้มาด้วยอาการ ๓ อย่างที่ว่า คือ ได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัย ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา อย่างนี้ไม่ให้ฉัน
แล้วพระองค์ก็ให้พิจารณาก่อนฉันก่อนกิน อย่างที่ว่าเมื่อกี๊
น่าจะเคลียร์นะ น่าจะเข้าใจแล้วนะ
แต่ไม่ใช่หมายความว่าคนไม่กินเนื้อสัตว์ผิดด้วยนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ
คือคนกินเนื้อสัตว์ คนไม่กินเนื้อสัตว์เนี่ย ถ้า..
“โอ้! พระพุทธเจ้าอนุญาตแล้ว”
แล้วไปบอกโยม “ไก่นี่อร่อยนะ ไปหามาให้หน่อย” อย่างงี้ไม่ได้
หรือว่าไปยึดในความเห็นของตัวเองว่า อย่างนี้เท่านั้นถูก
เช่นว่า..ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วยึดว่าตรงนี้ถูก คนอื่นผิด อย่างนี้ก็เป็นการยึดในความเห็น
แล้วถ้ายึดถึงขนาดที่ว่า ต้องทำอย่างนี้จึงจะไปนิพพานได้
ตรงนี้ก็กลายเป็นเรื่องของ “สีลัพตปรามาส” ซึ่งพระโสดาบันละได้แล้ว!
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙