All posts by gade

กรณีอาหารที่นำไวน์ บรั่นดี มาทำเหล้า โดยการเคี่ยวให้เหลือเพียง ๑ ใน ๑๐

ถาม : กราบนมัสการครับ
กรณีอาหารที่นำไวน์ บรั่นดี มาทำเหล้า โดยการเคี่ยวให้เหลือเพียง ๑ ใน ๑๐
ถือว่าเป็นส่วนประกอบอาหาร หรือว่าเป็น สุราเมรัยครับ ?

คนทำก็พยายามบอกว่า มันไม่มีแอลกอฮอล์อยู่แล้ว มีเพียงกลิ่นเท่านั้น แต่เขาจะเอามาใช้เพื่อปรุงรส
และ ดับกลิ่นอาหารเท่านั้น
ก็เอาว่า..มีคนรักผม อยากให้ได้ชิมของดี แต่ผมก็มัวคิดว่า..อาหารมีตั้งพันชนิด ล้านส่วนผสม
เหตุใดเราไม่หลีกสิ่งนี้..
ก็ไม่วายถูกมองว่าถือศีลพรตที่ไม่ถูกต้อง
พระอาจารย์ช่วยวิสัชนาทีครับ ว่าอาหารจานนี้ผิดศีลข้อ ๕ หรือไม่ ?

ตอบ : องค์ของศีลข้อ ๕ คือ
๑. ของที่ทำให้เมา เช่น สุรา เมรัย เป็นต้น
๒. จิตใคร่จะดื่มหรือเสพ
๓. พยายามดื่มหรือเสพ
๔. ของเมานั้นล่วงลำคอเข้าไป ถ้าเป็นการเสพวิธีอื่น เช่น ดูด ดม ฉีด ฯลฯ ก็นับตั้งแต่เข้ามาในร่างกาย
– สุราหยดเดียวก็ผิด
– สุราติดอยู่ปลายหญ้าคา ถ้ารู้อยู่ แล้วตั้งใจลิ้มเลีย ก็ผิด
– จะเพียว ๆ หรือผสมน้ำแข็ง ผสมโซดา ก็ผิด
(ไม่ได้ผิดที่น้ำแข็ง หรือโซดา แต่ผิดที่เป็นสุรา)
– ดื่มน้อยมีโทษน้อย ดื่มมากมีโทษมาก

ถ้าดูในพระวินัยของพระภิกษุ จะเข้าใจมากขึ้น
ในปาจิตตีย์ สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑ มีพระบัญญัติว่า
“ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะดื่มสุราและเมรัย”
ในบทบัญญัตินี้ ยังได้แจกแจงให้ชัดเจนขึ้นไปอีกว่า
– น้ำเมา ภิกษุสงสัยว่า จะเป็นน้ำเมาหรือไม่หนอ.. แล้วดื่ม ก็ผิด ต้องอาบัติปาจิตตีย์
– น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่น้ำเมา ดื่มไป ก็ผิด ต้องอาบัติปาจิตตีย์
(แสดงว่า ต้องพิจารณาให้ดีก่อนดื่ม
จะแกล้งมั่ว โมเม หรือตีมึน ก็ผิดทั้งนั้น)
– ไม่ใช่น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่าน้ำเมา ดื่มไป ก็ผิด แต่อาบัติเบากว่า เรียกชื่ออาบัติว่า อาบัติทุกกฎ
– ไม่ใช่น้ำเมา แต่สงสัยว่า จะเป็นสุราหรือไม่หนอ.. แล้วดื่ม อย่างนี้ก็ต้องอาบัติทุกกฎ
(แสดงว่า จะรักษาศีลข้อนี้ได้สมบูรณ์ ก็ต้องเจริญสติดูจิตด้วย ของดี ๆ แต่จิตเสีย คือเข้าใจว่าเป็นของต้องห้าม หรือสงสัย
แล้วขืนดื่ม, ขืนกินไป ก็ผิด
สองข้อหลังนี้ ไม่ได้ผิดที่น้ำ แต่ผิดที่จิต!)

ถึงตรงนี้ ก็ต้องขอชมผู้ถาม ตอนที่บอกว่า
“…ผมก็มัวคิดว่าอาหารมีตั้งพันชนิด ล้านส่วนผสม เหตุใดเราไม่หลีกสิ่งนี้ …”
คิดอย่างนี้ แล้วปฏิเสธอาหารนั้น ก็เป็นวิธีรักษาศีลที่ปลอดภัย อานิสงส์ที่ได้คือ
จะมีจิตใจเข้มแข็ง มั่นคง สติก็ไวขึ้นด้วย

คราวนี้ก็มาเข้าประเด็น
คือในกรณีที่เป็นอาหาร หากมีสุราเจือปนลงไป เรากินอาหารจานนี้..จะผิดศีลข้อ ๕ มั้ย?
ก็มีคำอธิบายประเด็นนี้ ในตอนท้ายของสิกขาบทเดียวกันนี้ ระบุว่า
ภิกษุจะไม่ต้องอาบัติในกรณีต่อไปนี้ คือ :-
๑. ภิกษุดื่มน้ำที่มีกลิ่นรสเหมือนน้ำเมา แต่ไม่ใช่น้ำเมา
๒. ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในแกง
๓. ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในเนื้อ
๔. ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในน้ำมัน (เป็นยาระงับลม)
ฯลฯ
ในข้อ ๒-๔ หมายถึง ใส่เพียงเล็กน้อย ไม่มากเกินไปจนมีสี,กลิ่น
และรสของน้ำเมาปรากฏ ถ้าใส่มากเกินไป ก็ไม่ได้
ทีนี้ ถ้าสงสัยว่า แค่ไหนพอดี? แค่ไหนเกินไป? ก็เลี่ยง.. อย่างที่ผู้ถามได้คิดและทำ ก็นับว่าปลอดภัย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

การพูดความจริงไม่หมด พูดเพียงครึ่งเดียว (half-truth) หรือการโกหกสีขาว (White Lies)

ถาม : การพูดความจริงไม่หมด พูดเพียงครึ่งเดียว (half-truth)
หรือการโกหกสีขาว (White Lies) จะเพื่อประโยชน์ตัวเอง
หรือเพื่อประโยชน์ผู้อื่น นั้น เป็นการล่วงศีลข้อมุสาวาท หรือไม่ครับ?

ตัวอย่างเช่น .. พ่อแม่บอกลูกว่า “ถ้าไม่นั่งให้เรียบร้อยบนรถ (ชี้ไปยังคนแปลกหน้าบนถนน)
ตำรวจจะมาจับไปนะ!”
หรือเพื่อนบอกว่า “เดือนนี้รับเงินเดือน เกือบแสน น่ะ”
(นี่เป็นยอดรวมเงินเดือน และ Bonus ที่จ่ายในเดือน 12)
หรือเพื่อนร่วมงาน นาย ฮ. บอกกับที่ประชุม อาสากับประธานว่า
จะทำโครงการนั้น โครงการนี้ มากมาย แต่เวลาผ่านไป โครงการต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทำ
จนมีผู้อื่นเอาไปทำ จนแล้วเสร็จ ประธานก็ชม นาย ฮ.ก็ดีใจประกาศความสำเร็จ
ประหนึ่งตัวทำ โครงการนั้นเอง

จึงไม่แน่ใจว่าในตัวอย่างที่ยกขึ้นมา เป็นการล่วงศีลในข้อมุสาวาท หรือไม่ อย่างไรครับ
ขอความเมตตาพระอาจารย์ชี้แนะครับ

ตอบ : องค์ของศีลข้อมุสาวาท มีดังนี้
๑. เรื่องไม่จริง
๒. จิตคิดจะกล่าวคำไม่จริงนั้น
๓. พยายามกล่าวคำไม่จริงนั้น
๔. ผู้อื่นเข้าใจเรื่องนั้น
คือแค่เข้าใจ แม้ไม่เชื่อ ผู้พูดก็ศีลขาดแล้ว
การพูดความจริงไม่หมด พูดเพียงครึ่งเดียว (half-truth)
หรือการโกหกสีขาว (White Lies) จะผิดและมีโทษเพียงใด ก็อยู่ที่เจตนา และผลเสียที่เกิดขึ้นจากการพูดนั้น
ผลเสียมาก ก็มีโทษมาก
…..

กรณีที่ ๑
พ่อแม่บอกลูกว่า “ถ้าไม่นั่งให้เรียบร้อยบนรถ (ชี้ไปยังคนแปลกหน้าบนถนน) ตำรวจจะมาจับไปนะ!”
– ถ้าคนแปลกหน้าที่ถูกชี้นั้นไม่ใช่ตำรวจ ก็ผิดศีล
– ถ้าเป็นตำรวจจริง ๆ แต่การนั่งของลูก (ที่ว่าไม่เรียบร้อยน่ะ) เป็นเหตุให้ตำรวจจับจริงหรือไม่
ถ้ารู้ว่าไม่ใช่ แล้วพูดไป ก็ผิดศีล
– แม้ว่าพ่อแม่จะมีเจตนาเพียงจะสั่งสอนลูก แต่ถ้านำคำไม่จริงมาสอน ก็มีผลเสีย เช่น ทำให้ลูกเข้าใจผิดว่าคนนั้นเป็นตำรวจ,
เข้าใจว่าเพียงนั่งไม่เรียบร้อยก็เป็นให้ถูกจับ, สร้างภาพในใจว่าตำรวจดุร้ายน่ากลัว เป็นต้น

ซึ่งก็จะส่งผลถึงทัศนคติ บุคลิกภาพ และการใช้ชีวิตต่อไป
นี่ยังดีนะ .. อาตมาเคยเดินผ่านโยมแม่-ลูก ลูกทำอะไรไม่ทันสังเกต ได้ยินแต่เสียงแม่ดุลูกว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพระตี!” โถ.. มาใส่ร้ายพระ!
คงจะคิดผลักภาระให้พ้นตัว แต่ก็กลายเป็นกล่าววจีทุจริต
เลยต้องเลี้ยวไปปรับทัศนคติสักหน่อย

ตัวอย่างคำที่ควรพูดในกรณีที่ ๑ :
“นั่งให้เรียบร้อยนะคะ เดี๋ยวถ้าจำเป็นต้องเบรก ลูกจะได้ไม่ล้มคะมำ จะได้ไม่เจ็บตัว”
“นั่งให้เรียบร้อยหน่อยนะจ๊ะ พ่อจะได้มีสมาธิขับรถ ถ้าต้องมาดูลูกบ้าง ดูถนนบ้าง เดี๋ยวมันจะเกิดอุบัติเหตุนะ”
เป็นต้น
คือหันมาใช้คำพูดในเชิงแนะนำด้วยเมตตา ไม่ใช่พูดสั่งห้ามที่ระคนด้วยความโกรธ
หรือพูดเอาง่าย..ด้วยการโกหกหลอกเด็ก
…..

กรณีที่ ๒
เพื่อนบอกว่า “เดือนนี้รับเงินเดือนเกือบแสน น่ะ” (นี้เป็นยอดรวมเงินเดือน และ Bonus ที่จ่ายในเดือน 12)
– ถ้าเพื่อนตั้งใจอวดรวย แล้วพูดเพื่อให้เราเข้าใจว่า เขามีรายได้มากกว่าที่เป็นจริง เพื่อนก็ผิดศีล ข้อมุสาวาท
– ถ้าเพื่อนพูดอำเราเล่นๆ ก็เป็นพูดหยอกล้อ โทษก็เบากว่า
คือต้องดูที่เจตนา
…..

กรณีที่ ๓
เพื่อนร่วมงาน นาย ฮ. บอกกับที่ประชุม อาสากับประธานว่า จะทำโครงการนั้น
โครงการนี้ มากมาย แต่เวลาผ่านไป โครงการต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทำ
จนมีผู้อื่นเอาไปทำ จนแล้วเสร็จ ประธานก็ชม นาย ฮ.ก็ดีใจประกาศความสำเร็จ
ประหนึ่งตัวทำ โครงการนั้นเอง
กรณีนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า นาย ฮ. กล่าวมุสาวาท

นาย ฮ. อาจจะได้รับคำชมจากประธาน แต่เพื่อนร่วมงานก็จะรังเกียจ
และคาดว่า อีกไม่นาน..ความจริงก็จะปรากฏ
เมื่อถึงเวลานั้น.. ก็จะตกต่ำแบบไม่มีใครเห็นใจ! …..
ขอยกหลักการตรัสของพระพุทธเจ้า มาแสดงประกอบ เพื่อความเข้าใจแจ่มชัดยิ่งขึ้นว่า
เวลาเราจะพูดอะไรกับใคร ควรพูดหรือไม่ จะพูดอย่างไร พูดเมื่อไร

หลักนั้นมีดังนี้ :-
๑. คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ไม่ตรัส
๒. คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ไม่ตรัส
๓. คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์เลือกเวลาตรัส
๔. คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ก็ไม่ตรัส
๕. คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ แม้จะเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์ก็ไม่ตรัส
๖. คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น พระองค์เลือกเวลาตรัส

ขอแถมอีกชุด คือ องค์ประกอบของวาจาสุภาษิต ได้แก่
๑. กล่าวถูกต้องตามกาล
๒. กล่าวคำจริง
๓. กล่าวคำอ่อนหวาน
๔. กล่าวด้วยจิตเมตตา

สรุปคือ
– เว้นมุสาวาท
– กล่าววาจาสุภาษิต
– เลือกเวลาที่เหมาะสม แล้วจึงพูดเฉพาะคำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ส่วนผู้ฟังจะชอบใจหรือไม่..
เราบังคับเขาไม่ได้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

สอบถามเรื่องการสวดมนต์แปล

ถาม : ผมขออนุญาตเรียนถามพระอาจารย์ว่า
เวลาผมสวดมนต์แปล บท
อะนิจจา วะตะ สังขารา – สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ…
อุปปาทะวะยะธัมมิโน – มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา…
อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ – บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป…
เตสัง วูปะสะโม สุโข – การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุขฯ

ผมสงสัยว่า สังขารในที่นี้
หมายถึงร่างกาย หรือการปรุงแต่ง
วรรคแรกน่าจะหมายถึงร่างกาย ว่ามันไม่เที่ยง
ส่วนวรรคสุดท้าย การเข้าไประงับสังขาร หมายถึง ระงับการปรุงแต่ง หรืออย่างไรครับ

ตอบ : พระคาถานี้ แปลความได้ว่า
“สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ
มีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดา
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นสุข” ดังนี้.

ท่อนแรกที่ว่า
“สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ” หมายความว่า สังขารทั้งหลาย
ซึ่งจะจำแนกเป็นขันธ์ ๕ หรืออายตนะ ๖ เป็นต้นก็ได้ ซึ่งนับเป็นความปรุงแต่งทั้งฝ่ายรูปธรรม
และนามธรรมทั้งหมดนั้น ชื่อว่าไม่เที่ยงไปทั้งสิ้น
เพราะบรรดาสังขารเหล่านี้ ถ้าจำแนกเป็นขันธ์ ๕ ก็เป็น :
รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง
สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
ถ้าจำแนกเป็นอายตนะ ๖ ก็เป็น :
จักขุ (ตา) ไม่เที่ยง โสตะ (หู) ไม่เที่ยง
ฆานะ (จมูก) ไม่เที่ยง ชิวหา (ลิ้น) ไม่เที่ยง
กายไม่เที่ยง มโน (ใจ) ไม่เที่ยง

เพราะเหตุใดจึงไม่เที่ยง?
เพราะสังขารเหล่านั้นทั้งหมด
เป็น “อุปปาทวยธรรม”
คือ เพราะสังขารเหล่านี้ทั้งหมด
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วย และมีความเสื่อมเป็นธรรมดาด้วย ล้วนมีความเกิดขึ้นและความแตกดับทั้งนั้น
แล้วก็เพราะไม่เที่ยง จึง “เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป”
คือแม้จะเกิดแล้ว ถึงความดำรงอยู่ได้เพียงชั่วขณะ
ก็ต้องดับทั้งนั้น ถ้าดูให้ละเอียดขึ้น
ก็จะเป็น “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”
เพราะเหตุนั้น สังขารเหล่านี้แม้ทั้งหมด
จึงเป็นของไม่เที่ยง เป็นไปชั่วขณะ
เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ยั่งยืน
ตั้งอยู่ได้ไม่นาน เป็นของชั่วคราว
ไร้สาระ เป็นเหมือนกับของหลอกลวง

ท่อนที่ว่า “เตสัง วูปะสะโม สุโข” จึงหมายถึงสภาพที่ชื่อว่าระงับเสียซึ่งสังขารเหล่านั้น
สังขารในท่อนนี้จึงมีความหมายเดียวกัน
คือ จำแนกเป็นขันธ์ ๕ หรืออายตนะ ๖ เป็นต้นก็ได้
ซึ่งนับเป็นความปรุงแต่งทั้งฝ่ายรูปธรรม และนามธรรมทั้งหมด
เพราะระงับดับเสียได้ซึ่งสังขาร ก็ระงับวัฏฏะทั้งมวล ก็ได้แก่พระนิพพาน
และพระนิพพานนี้อย่างเดียวเท่านั้น
ชื่อว่าเป็นสุขโดยส่วนเดียว ไม่ปรากฏลักษณะทุกข์เลย
สภาวะที่ยังเป็นความปรุงแต่งใด ๆ
ที่จะชื่อว่าเป็นสุขโดยส่วนเดียวอย่างนี้ ไม่มีเลย!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๙

“เข้าใจ” กับ “รับได้” นี่มันไม่เหมือนกันใช่ไหม?

ถาม : “เข้าใจ” กับ “รับได้” นี่มันไม่เหมือนกันใช่ไหม?
เข้าใจ ไม่ได้แปลว่า รับได้ แต่ก็แอบงงว่าถ้าเข้าใจจริง ๆ
มันยังต้องมีรับได้ตามมาอีกเหรอ ก็เข้าใจไปแล้ว มันก็คือจบแล้วไม่ใช่เหรอ ?

ตอบ : 555 โดยภาษา สองคำนี้ก็ต่างกัน
เข้าใจ ก็คือ รู้เรื่อง รู้ความหมาย
อาจจะหมายความคลุมถึงรู้เหตุรู้ผล รู้ที่มาที่ไป
ส่วน รับได้ ก็คือ ยอมที่จะรับได้ หรือสามารถรับได้
อาจจะทุกข์ หรือผิดหวัง แต่รับได้ .. ฉะนั้น
– ทั้งเข้าใจและรับได้ ก็มี
– เข้าใจแต่รับไม่ได้ ก็มี
– ไม่เข้าใจแต่รับได้ ก็มี
– ทั้งไม่เข้าใจและรับไม่ได้ ก็มี
– ตอนไม่เข้าใจ..รับได้ แต่พอเข้าใจแล้วรับไม่ได้ ก็มี
– ตอนไม่เข้าใจ..รับไม่ได้ แต่พอเข้าใจแล้วรับได้ ก็มี
รับได้ บางทีก็จัดอยู่ในสมถะได้
เข้าใจ บางทีก็จัดอยู่ในปัญญาได้
ขึ้นอยู่กับว่า ที่เข้าใจนั้น
เข้าใจอะไร เข้าใจใคร เข้าใจระดับไหน
ใจหนอใจ !?!?

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๙

หน้าที่ของเรา

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๑

หน้าที่ของเรา

หน้าที่ของเราคือ..สังเกตจิตทำงาน!
จิตเวลามันทำงาน มันปรุงเป็นภาพบ้าง ปรุงเป็นเสียงบ้าง
เราแค่คอยสังเกต เก็บข้อมูลไปเรื่อย ๆ
ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน
หน้าที่ของเราคือ..รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป
รู้ว่าสิ่งนั้นคงอยู่กับที่ไม่ได้
สิ่งนั้นเกิดขึ้นเอง-ดับไปเอง
สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาและดับไป
แสดงให้เห็นถึง ‘อนิจจัง’
สิ่งนั้นเกิดขึ้นมา แล้วทนอยู่นิ่งไม่ได้ แสดงถึง ‘ทุกขัง’
สิ่งนั้นเวลาเกิด..ก็เกิดเอง เวลาดับ..ก็ดับเอง
นี่ก็เป็น ‘อนัตตา’
แล้วแต่มุมมอง ในการเข้าใจของจิตด้วย
แค่เห็นสิ่งนั้นขึ้นมา เห็นปรากฏการณ์
เห็นสภาวะปรากฏขึ้นมา
แล้วสภาวะเหล่านั้นก็แสดงความจริงให้จิตเข้าใจ
ถ้าเรามัวแต่อธิบาย..ก็กลายเป็นปรุงแต่ง!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๙
ไฟล์ 590424_ พระอริยเจ้า มีใจดั่งมฤค Track08.ความปรุงของใจ
ระหว่างเวลา ๐๒.๐๔-๐๕.๐๑
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1NIiYHx

สมถกรรมฐาน..เพื่อใจมีกำลัง

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๐

สมถกรรมฐาน..เพื่อใจมีกำลัง

เวลาเรากำลังใจมันอ่อนเปลี้ย..
รู้จักอ่อนเปลี้ยมั้ย ?
หมดแรง..หมดกำลังใจเนี่ยนะ!
ท่านจะให้ทำสมถกรรมฐาน
เพื่อให้ใจมันมีกำลังขึ้นมา
สมถกรรมฐานเนี่ย..ท่านไม่ได้ห้ามนะ!
คือให้ทำได้..แต่ต้องทำด้วยปัญญา
หมายความว่า ทำแล้วรู้ว่า..อันนี้แค่สงบ
ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าจะให้เกิดมรรคผล
ไม่ได้พอใจอยู่แค่นี้
แต่ทำเพื่อให้เกิดกำลังทางใจ..มีปีติ
ฉะนั้น ท่านจะแสดงกรรมฐานอยู่ ๒ อย่าง คือ
“สมถกรรมฐาน” กับ “วิปัสสนากรรมฐาน”
คู่กัน!
ไม่ได้ให้ทำสมถะอย่างเดียวเพื่อไปลุยโลก!
แต่ให้ทำสมถกรรมฐาน .. เพื่อมาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ ฐนิชาฌ์รีสอร์ท อัมพวา
วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๘

ไฟล์ 151011-ฐนิชาฌ์1 ระหว่างนาทีที่ ๓๘.๓๒-๔๑.๒๕
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงธรรมได้ที่ bit.ly/1T2KHnF

ชีวิตกับน้ำค้าง

วรรคทอง.. วรรคธรรม #๖๙

ชีวิตกับน้ำค้าง
น้ำค้างบนปลายหญ้า
มีอยู่ตอนเช้า
แปดโมงก็หายแล้ว
มีอยู่จริง..แต่แปบเดียว!
ชีวิตนี้ก็มีอยู่จริง..แต่แปบเดียว!
ถ้าปล่อยเพลิดเพลิน หลงเพลิน เสพสุข
โดยที่ไม่ได้ความรู้ ความเข้าใจอะไร
ชีวิตนี้..น่าเสียดาย!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ คอร์ส เสียดาย..ตายไปไม่รู้ธรรม
วันที่ ๖-๘ เมษายน ๒๕๕๖

แผ่นซีดี เสียดาย..ตายไปไม่รู้ธรรม ๑
track ๐๗.นาทีทอง
ระหว่างเวลา ๐๑.๑๓-๐๑.๓๖
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1nrd9BN

ระลึกถึง”วันวิสาขบูชา”

วรรคทอง..วรรคธรรม #๖๘

ระลึกถึง”วันวิสาขบูชา”

ถ้าระลึกถึงวันตรัสรู้ ให้ระลึกถึงว่า..เราต้องฝึกตน
ฝึกเพื่อให้เป็นคนเก่งในแง่พุทธ
คือ พ้นทุกข์แล้ว..พาคนอื่นพ้นทุกข์ด้วย
เวลาระลึกถึงวันตรัสรู้ ให้ระลึกถึงว่า..จุดมุ่งหมายการปฏิบัติ คือเพื่อให้เกิดปัญญา
ไม่ติดแช่อยู่กับความสุขของความสงบ
เอาความสุขของความสงบเป็นบันได ก้าวต่อไปให้ถึง..ปัญญา
คือ “ต้องสงบแบบตั้งมั่น”
แล้วก็เตือนตัวเอง..ให้ไม่ประมาท!
คือไม่ปล่อยชีวิตให้ผ่านไปโดยไม่เกิดประโยชน์
“ขณะอย่าล่วงเลยท่านไป”
“ขโณ โว มา อุปจฺจคา”
ท่านไม่เอาแค่วันแล้วนะ!..
ขณะหนึ่ง ๆ สภาวะธรรมอันหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว
อย่าให้มันผ่านไป! ..มีสติไปรู้
รู้ว่า..ขณะนี้อะไรเกิดขึ้นกับ ‘กาย’ หรือกับ ‘ใจ’
ขณะตรงนั้นมันจะแสดงความจริง
สติที่เห็นสภาวะธรรม..เป็นขณะ ๆ
แสดงความจริงชัดเจนว่า ‘ไม่มีเรา’
เป็นสภาวธรรมแท้ ๆ
แต่ละขณะ “เกิด-ดับ .. เกิด-ดับ” อยู่ตรงนั้น!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๕

แผ่นซีดีบ้านจิตฯ ๒
02-550610 เกร็ดธรรม วันวิสาขบูชา
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/25qAyFw

“พุทโธ..รู้ใจ”

วรรคทอง..วรรคธรรม #๖๗

“พุทโธ..รู้ใจ”

ถ้าคน ‘พุทโธ’ ก็ให้ ‘พุทโธ’ อยู่ในใจ
ใช้ ‘พุทโธ’ นั้นเป็นที่อยู่ของจิต
เวลา ‘พุทโธ’ ให้รู้ว่า..จิตเป็นผู้ว่า ‘พุทโธ’
เรียกว่า..”พุทโธ..มีใจรู้”
แล้วเมื่อใจมันลืม ‘พุทโธ’ ไป
มันคิดเรื่องอื่น ให้..”รู้ใจ”
“พุทโธ..มีใจรู้ พุทโธ..รู้ใจ” ให้อย่างนี้นะ!
ไม่ใช่ ‘พุทโธ’ เพื่อ’พุทโธ’!
แต่ ‘พุทโธ’ เพื่อ”รู้ใจ”

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรมในรายการธรรมปทีป WBTV
วัดยานนาวา กรุงเทพฯ
๒๓ มกราคม ๒๕๕๙

ไฟล์ วิดีโอ Nimmalo channel – 590123-ธรรมปทีป WBTV –เส้นทางพ้นทุกข์ 3/3
นาทีที่ ๑๐.๔๕- ๑๒.๕๔

แสงสว่างยิ่งกว่าปัญญาไม่มี

วรรคทอง..วรรคธรรม #๖๖

แสงสว่างยิ่งกว่าปัญญาไม่มี

ดูกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ
ดูจนมันยอมรับความจริงว่า..
เราบังคับมันไม่ได้จริง ๆ
มันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ..ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ คือทนอยู่นิ่งไม่ได้
แล้วก็เป็นอนัตตา คือเราสั่งมันไม่ได้
ไม่ใช่เจ้าของมันจริง
เห็นอย่างนี้เรียกว่า..มีปัญญา
เกิดปัญญาแล้วจะสว่าง สว่างยิ่งกว่าสว่างอย่างอื่น
พระพุทธเจ้าบอกว่า
“นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา” “แสงสว่างยิ่งกว่าปัญญาไม่มี”

เราต้องเอาให้ได้ขนาดนั้น
ต้องให้ได้แสงสว่างจากปัญญา
ปัญญาที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเอาไว้
ทรงสอนเอาไว้ !!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรมไฟล์ แผ่นซีดี เหนือบุญ ๑
17.สว่างปัญญา นาทีที่ ๑๘.๐๗-๑๙.๓๗

สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงธรรมได้ที่ bit.ly/1XQSh3Q

คนดีคอยประคอง

วรรคทอง..วรรคธรรม #๖๕

คนดีคอยประคอง

คนที่เห็นกิเลส..แล้วก็รีบระวังตัว!
รีบประคองเอาไว้
พยายามบีบบังคับใจตัวเองให้อยู่กับที่
ถ้าทำได้..จะเป็นคนดี
แต่จะไม่เห็นความจริง..เป็นตัวปลอม
ตัวจริงคือ..ยังมีกิเลสอยู่!

เราจะใช้การประคอง หรือการบีบบังคับตัวเองเอาไว้ ตอนที่มันแย่แล้ว
หาอุบายที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ตรงนี้
เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองผิดศีล การใช้สมถะก็ใช้ในขณะแบบนี้.. คือตอนที่กำลังจะผิดศีล!

แต่ถ้าเป็นแค่กิเลสอ่อนๆ ไม่ต้องรีบใช้สมถะ
ดูสภาวะ..ให้เห็นสภาวะแท้ๆไปเลย
เห็นเฉย ๆ #ด้วยจิตที่เป็นกลาง ความจริงจะปรากฎขึ้นมาว่า..มันดับไป!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ คอร์สปฏิบัติธรรมเนยยะ
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙

ไฟล์ 590401_02.ฮั่นแน่! นักปฏิบัติ track 05.คนกล้า VS คนน่ารำคาญ เวลา ๔๑.๒๒-๔๒.๔๔
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1Shx4By

รู้ตรงแวบนั่นแหละ..รู้สึกตัว

วรรคทอง..วรรคธรรม #๖๔

รู้ตรงแวบนั่นแหละ..รู้สึกตัว

ฝึกสติ คือ..
รู้ว่า..มีอะไรเกิดขึ้นกับใจ..เวลานี้
มีความพอใจ-ความไม่พอใจ
สภาวะที่มันใจลอย หรือรู้ตัว
“สติ”จะเห็นชัด เมื่อมาเทียบกับ”ไม่มีสติ”
“ความรู้สึกตัวจะรู้ได้ชัด”
เมื่อเทียบกับ”ไม่รู้สึกตัว” คือหลงไป

รู้จัก”หลง”มั้ย ?
รู้จัก”รู้สึกตัว”มั้ย ?
บางทีไม่รู้จักหรอก..
ต้องเทียบกับว่า..”หลงไป”แล้ว”รู้”
“หลงไป”แล้ว”รู้” ต้องเทียบตรงนี้นะ!
แล้วรู้แวบเดียว!

เราจะรู้แวบๆ รู้แวบๆ ..แล้วก็หลงใหม่
แล้ว”รู้ทัน”ที่”หลงไป”นั่นแหละ คือ “รู้สึกตัว”

ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจาก การแสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕

แผ่นซีดี บ้านจิตสบาย ๒
Track 550708_ไตรสิกขา ระหว่างนาทีที่ ๑๐.๐๗-๑๑.๑๑
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ bit.ly/1Wc8txN

คราวนี้อย่าให้พลาด

วรรคทอง..วรรคธรรม #๖๓

คราวนี้อย่าให้พลาด

“การผิดพลาด” ถ้าคนมีปัญญา
ความผิดพลาดนั้น ทำให้เราฉลาดขึ้น
ทุกข์ทั้งหลายที่ผ่านมา..ถ้าเรามีปัญญา
ทุกข์อันนั้น ถ้าเราผ่านไปได้..เราจะเข้มแข็งขึ้น

ถ้าคนไม่เคยผ่านทุกข์มาเลยนะ..จะอ่อนแอ
พอประสบทุกข์แล้ว..ทนไม่ได้!
ก็จะตีโพยตีพาย ทำร้ายตัวเองบ้าง ทำร้ายคนอื่นบ้าง

ฉะนั้น มีทุกข์..ถ้าเป็นคนมีปัญญา
ทุกข์นั้นทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น

มีความผิดพลาดเกิดขึ้น..ถ้ารู้ทัน!
ความผิดพลาดนั้น จะทำให้เราเก่งขึ้น มีปัญญามากขึ้น

กิเลสที่เกิดขึ้นมา..ถ้าเรารู้ทัน! กิเลสนั้นจริง ๆ แล้วไม่ดี
แต่พอรู้ทันทีไร..เรามีสติมากขึ้น! บ่อยขึ้น!

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม
คอร์สปฏิบัติธรรมเนยยะ
ณ ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
ไฟล์ 258-581127_07.คราวนี้อย่าให้พลาด ระหว่างนาที ๐๑.๐๕-๐๓.๐๙
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/1Rt3F3n

กระทบ(ไม่)กระเทือน

วรรคทอง..วรรคธรรม #๖๒

กระทบ(ไม่)กระเทือน

“ความแข็งแกร่ง”
ทางพระพุทธศาสนาจะบอกว่า..มันต้องแข็งแกร่ง!
จากความทนได้ คือทนต่อการกระทบ
คือ..เมื่อมีสิ่งมากระทบ
กระตุ้นให้เกิดกิเลสอะไรต่าง ๆ เนี่ย..ทนได้! ทนที่จะไม่เกิดกิเลส
นี่คือสภาพที่เป็นที่หวัง..เป็นเป้าหมาย

ถูกกระทบมาแล้ว ‘ทนได้..ไม่เกิดกิเลส’
เห็นอะไรดีๆ ที่คนปกติทั่วไปจะเกิดความโลภ
เราทนได้..ไม่โลภ

เขาพูดไม่ดีมา คนนี้พูดไม่ดี
คนนี้มีปฏิกิริยาไม่ดี ให้ร้ายเรา
เราทนได้..ไม่โกรธ

อันนี้เรียกว่า เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม
หรือเป้าหมายในทางพุทธศาสนา
คนที่กระทบอะไรแล้วไม่กระเทือน
เรียกว่า..ทนได้ต่อสภาพแวดล้อม

แต่ถ้าเรายังไม่ถึงขั้นนั้น! ท่านก็ผ่อนมา
ท่านก็ผ่อนมาว่า..เมื่อทนไม่ได้ มันมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นข้างใน
ก็ทนที่จะไม่แสดงออก
วิธีก็คือว่า ให้สมาทานศีล ๕

ศีล ๕ นี่ เป็นเครื่องมือในการเตือนตัวเอง
เวลากระทบกับสิ่งภายนอก แล้วมีกิเลสขึ้นมาข้างใน
จะไม่แสดงความกระเทือนนั้นออกมาทางกาย และทางวาจา

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๕

ไฟล์ 06-จุดเสี่ยง กิจนิมนต์ 551727
แผ่นซีดี เหนือบุญ ๒

สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงได้ที่ลิงก์ bit.ly/1XPT0SX