ถาม : กราบนมัสการครับ
กรณีอาหารที่นำไวน์ บรั่นดี มาทำเหล้า โดยการเคี่ยวให้เหลือเพียง ๑ ใน ๑๐
ถือว่าเป็นส่วนประกอบอาหาร หรือว่าเป็น สุราเมรัยครับ ?
คนทำก็พยายามบอกว่า มันไม่มีแอลกอฮอล์อยู่แล้ว มีเพียงกลิ่นเท่านั้น แต่เขาจะเอามาใช้เพื่อปรุงรส
และ ดับกลิ่นอาหารเท่านั้น
ก็เอาว่า..มีคนรักผม อยากให้ได้ชิมของดี แต่ผมก็มัวคิดว่า..อาหารมีตั้งพันชนิด ล้านส่วนผสม
เหตุใดเราไม่หลีกสิ่งนี้..
ก็ไม่วายถูกมองว่าถือศีลพรตที่ไม่ถูกต้อง
พระอาจารย์ช่วยวิสัชนาทีครับ ว่าอาหารจานนี้ผิดศีลข้อ ๕ หรือไม่ ?
ตอบ : องค์ของศีลข้อ ๕ คือ
๑. ของที่ทำให้เมา เช่น สุรา เมรัย เป็นต้น
๒. จิตใคร่จะดื่มหรือเสพ
๓. พยายามดื่มหรือเสพ
๔. ของเมานั้นล่วงลำคอเข้าไป ถ้าเป็นการเสพวิธีอื่น เช่น ดูด ดม ฉีด ฯลฯ ก็นับตั้งแต่เข้ามาในร่างกาย
– สุราหยดเดียวก็ผิด
– สุราติดอยู่ปลายหญ้าคา ถ้ารู้อยู่ แล้วตั้งใจลิ้มเลีย ก็ผิด
– จะเพียว ๆ หรือผสมน้ำแข็ง ผสมโซดา ก็ผิด
(ไม่ได้ผิดที่น้ำแข็ง หรือโซดา แต่ผิดที่เป็นสุรา)
– ดื่มน้อยมีโทษน้อย ดื่มมากมีโทษมาก
ถ้าดูในพระวินัยของพระภิกษุ จะเข้าใจมากขึ้น
ในปาจิตตีย์ สุราปานวรรค สิกขาบทที่ ๑ มีพระบัญญัติว่า
“ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะดื่มสุราและเมรัย”
ในบทบัญญัตินี้ ยังได้แจกแจงให้ชัดเจนขึ้นไปอีกว่า
– น้ำเมา ภิกษุสงสัยว่า จะเป็นน้ำเมาหรือไม่หนอ.. แล้วดื่ม ก็ผิด ต้องอาบัติปาจิตตีย์
– น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่น้ำเมา ดื่มไป ก็ผิด ต้องอาบัติปาจิตตีย์
(แสดงว่า ต้องพิจารณาให้ดีก่อนดื่ม
จะแกล้งมั่ว โมเม หรือตีมึน ก็ผิดทั้งนั้น)
– ไม่ใช่น้ำเมา ภิกษุสำคัญว่าน้ำเมา ดื่มไป ก็ผิด แต่อาบัติเบากว่า เรียกชื่ออาบัติว่า อาบัติทุกกฎ
– ไม่ใช่น้ำเมา แต่สงสัยว่า จะเป็นสุราหรือไม่หนอ.. แล้วดื่ม อย่างนี้ก็ต้องอาบัติทุกกฎ
(แสดงว่า จะรักษาศีลข้อนี้ได้สมบูรณ์ ก็ต้องเจริญสติดูจิตด้วย ของดี ๆ แต่จิตเสีย คือเข้าใจว่าเป็นของต้องห้าม หรือสงสัย
แล้วขืนดื่ม, ขืนกินไป ก็ผิด
สองข้อหลังนี้ ไม่ได้ผิดที่น้ำ แต่ผิดที่จิต!)
ถึงตรงนี้ ก็ต้องขอชมผู้ถาม ตอนที่บอกว่า
“…ผมก็มัวคิดว่าอาหารมีตั้งพันชนิด ล้านส่วนผสม เหตุใดเราไม่หลีกสิ่งนี้ …”
คิดอย่างนี้ แล้วปฏิเสธอาหารนั้น ก็เป็นวิธีรักษาศีลที่ปลอดภัย อานิสงส์ที่ได้คือ
จะมีจิตใจเข้มแข็ง มั่นคง สติก็ไวขึ้นด้วย
คราวนี้ก็มาเข้าประเด็น
คือในกรณีที่เป็นอาหาร หากมีสุราเจือปนลงไป เรากินอาหารจานนี้..จะผิดศีลข้อ ๕ มั้ย?
ก็มีคำอธิบายประเด็นนี้ ในตอนท้ายของสิกขาบทเดียวกันนี้ ระบุว่า
ภิกษุจะไม่ต้องอาบัติในกรณีต่อไปนี้ คือ :-
๑. ภิกษุดื่มน้ำที่มีกลิ่นรสเหมือนน้ำเมา แต่ไม่ใช่น้ำเมา
๒. ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในแกง
๓. ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในเนื้อ
๔. ภิกษุดื่มน้ำเมาที่เจือลงในน้ำมัน (เป็นยาระงับลม)
ฯลฯ
ในข้อ ๒-๔ หมายถึง ใส่เพียงเล็กน้อย ไม่มากเกินไปจนมีสี,กลิ่น
และรสของน้ำเมาปรากฏ ถ้าใส่มากเกินไป ก็ไม่ได้
ทีนี้ ถ้าสงสัยว่า แค่ไหนพอดี? แค่ไหนเกินไป? ก็เลี่ยง.. อย่างที่ผู้ถามได้คิดและทำ ก็นับว่าปลอดภัย
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙