ถาม : ขอให้พระอาจารย์อธิบายคำว่า “วิญญาณ” ครับ
ตอบ : พูดถึงวิญญาณ คนไทยทั่วไปมักนึกถึงผี ประมาณว่าตอนมีชีวิตก็อยู่ในกาย พอตายก็ล่องลอยออกไปหาที่เกิดใหม่
แต่ในทางพุทธศาสนา วิญญาณ แปลตามแบบว่า ความรู้แจ้งอารมณ์ อารมณ์ คือ สิ่งที่ถูกรู้ หรือถูกรับรู้
คำว่า วิญญาณ กับ จิต ใช้แทนกันได้ จิต ก็หมายถึง ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
แต่จะใช้คำว่า วิญญาณ เมื่อจะอธิบายว่า เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายใน (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) กับอายตนะภายนอก (รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ, ธรรมารมณ์) กระทบกัน ได้แก่
๑. รู้รูปด้วยตา = จักขุวิญญาณ
๒. รู้เสียงด้วยหู = โสตวิญญาณ
๓. รู้กลิ่นด้วยจมูก = ฆานวิญญาณ
๔. รู้รสด้วยลิ้น = ชิวหาวิญญาณ
๕. รู้โผฏฐัพพะด้วยกาย = กายวิญญาณ
๖. รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ = มโนวิญญาณ
วิญญาณ ๖ อย่างนี้ จึงแบ่งเรียกไปตามทางที่เกิด
…
ถ้าแยกแยะชีวิตออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท (ที่เรียกว่า ขันธ์ ๕) วิญญาณขันธ์ก็เป็นขันธ์หนึ่ง ในส่วนของนามขันธ์ ซึ่งทำงานไปด้วยกัน
เช่น
– เห็นมะม่วงที่ปอกเปลือกแล้ว หั่นเป็นชิ้น ๆ วางบนจาน มีสีเหลืองสวย น่ากิน กินแล้วผิดหวัง เพราะเปรี้ยวมาก
ตอนที่เห็นแสงสีต่าง ๆ ในที่นี้คือสีเหลืองเนื้อมะม่วง ตอนนี้วิญญาณขันธ์ในส่วนจักขุวิญญาณทำงาน แต่ยังไม่หมายรู้ว่าเป็นมะม่วง
การหมายรู้ว่าเป็นเนื้อมะม่วงเป็นส่วนของสัญญาขันธ์ ที่หมายรู้ได้อย่างนี้ก็เพราะเคยเห็นมาก่อน ว่ามะม่วงที่ปอกเปลือกแล้วเป็นอย่างนี้ แถมยังเคยกินแล้วด้วย ก็หมายรู้ซ้ำลงไปอีกว่า สีเหลืองอย่างนี้ต้องหวานแน่ ๆ
ความอยากกินเป็นตัณหา ถ้าจัดลงในกองกิเลส ก็เป็นโลภะ หรือราคะ ก็ได้ ส่วนนี้เป็นสังขารขันธ์
ตอนที่กินมะม่วง วิญญาณขันธ์ในส่วนชิวหาวิญญาณทำงาน รับรู้รสเปรี้ยว พร้อมกันนี้สัญญาก็จำไว้เป็นข้อมูลอีกว่า มะม่วงสีเหลืองก็เปรี้ยวได้
ความรู้สึกทุกข์ใจ เป็นเวทนาขันธ์ ความผิดหวัง, ไม่ชอบ, หงุดหงิด เหล่านี้เป็นส่วนของสังขารขันธ์
…
การรับรู้ของวิญญาณ ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญคือ คุณภาพของอายตนะ กับ สังขารคือความปรุงแต่งของจิต
คุณภาพของอายตนะที่มีผลต่อวิญญาณ ก็เช่น ตาไม่ดี สายตาสั้น, สายตายาว ฯลฯ การรับรู้รูป การเห็นก็ไม่ชัดเจน หรือหูตึง การได้ยินก็ไม่ชัดเจน เป็นต้น
สังขารที่มีผลต่อวิญญาณ ก็เช่น สมมุติว่ามีต้นมะม่วงใหญ่ร่มครึ้มอยู่กลางทุ่งโล่ง มีคน ๓ คน ผ่านมาเห็น
คนที่ ๑ หิวโซมา หวังว่าจะได้มะม่วงแก่หิวสักลูก มาถึงก็มองหาลูกมะม่วง ปรากฏว่าเห็นแต่ใบ (พันธุ์ดูใบ ! ? !) ไม่มีลูก ก็ผิดหวังกลับไป
คนที่ ๒ ตากแดดร้อนมาทั้งวัน เจอมะม่วงต้นนี้มีใบดกหนา ก็สมใจ นั่งเล่นเพลินไปเลย
คนที่ ๓ เป็นเถ้าแก่โรงเลื่อย ไม่สนใจใบไม่สนใจลูก มองแต่ลำต้น เห็นว่ามีขนาดใหญ่และตรงดี ก็พอใจ วางแผนเจรจาซื้อต้นไม้ไปแปรรูป
จะเห็นได้ว่า ต้นไม้ต้นเดียวกัน แต่เพราะสังขารปรุงแต่งไปต่างกัน วิญญาณคือการรับรู้ก็ต่างกันไปตามเจตจำนง พูดอีกอย่างหนึ่งว่า สุดแต่สังขารที่เป็นปัจจัยให้วิญญาณนั้นเกิดขึ้น
…
ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ที่ว่า วิญญาณ แปลตามแบบว่า ความรู้แจ้งอารมณ์ นั้น หมายถึง ความรู้ประเภทรับรู้ยืนพื้น หรือความรับรู้ในขั้นแรก ไม่ใช่ปัญญา
ปัญญา คือ ความรอบรู้, เข้าใจ, รู้เท่าทัน ปัญญาตรงข้ามกับโมหะ แต่วิญญาณไม่ได้ตรงข้ามกับโมหะ
ปัญญา เป็นภาเวตัพพธรรม คือ ควรอบรมให้เจริญขึ้น วิญญาณ เป็นปริญไญยธรรม คือ ควรรู้
ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป วิญญาณทำงานอยู่ทุกขณะ
อธิบายมามาก ก็เป็นเพียงข้อมูลวิชาการเท่านั้น
พอถึงขั้นฝึกเจริญสติดูจิต เรากลับไม่ต้องไปดูวิญญาณโดยตรงแบบนี้ จะกลายเป็นการแสวงหาจิต เพราะวิญญาณ (ในขันธ์ ๕) ก็เท่ากับ จิต (ในปรมัตถธรรม ๔)
ส่วนการฝึกเจริญสติดูจิต (ในสติปัฏฐาน ๔) ขั้นต้น เราฝึกดูในส่วนที่เป็นสังขารขันธ์
(จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ มีสติตามรู้จิตที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่ ฯลฯ ตามที่มันเป็นของมันอย่างนั้น)
เพราะราคะ, โทสะ, โมหะ, ฟุ้งซ่าน, หดหู่ หรือแม้แต่สมาธิ ก็จัดอยู่ในสังขารขันธ์
เมื่อฝึกจนชำนาญ มีอินทรีย์แก่กล้าขึ้น จนถึงขั้นอรหัตตมรรค จึงจะมารู้และเข้าใจเรื่องวิญญาณหรือเรื่องจิตนี้อย่างแจ่มแจ้งได้
๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐