All posts by gade

การเน้นในเรื่องการ​ศึกษา​และ​ปฏิบัติ

ถาม : ดูเหมือนว่า​การ​ศึกษา​และ​ปฏิบัติ​ ไม่​ค่อย​เน้น​เรื่อง​มรรค​มี​องค์​ ๘​ บาง​แห่ง​เน้น​วิปัสสนา​ ซึ่ง​ไม่​อธิบาย​ว่า​อยู่​ใน​องค์​ใด​ของ​มรรค​ แต่​กลับ​อธิบาย​ถึง​ญาณ​ระดับ​ต่าง​ ๆ​

ตอบ​ : ไม่ว่า​จะ​เน้น​เรื่อง​มรรค​มี​องค์​ ๘​ หรือ​เน้น​เรื่อง​วิปัสสนา​ ก็​เรื่อง​เดียวกัน​

วิปัสสนา​ เรียก​เต็ม ​ๆ ​ว่า​ วิปัสสนา​ภาวนา​

อยู่​ใน​หมวด​ธรรม​ที่​ชื่อ​ว่า​ ภาวนา​ ๒​ ได้แก่​
๑. สมถ​ภาวนา​
๒. วิปัสสนา​ภาวนา​

ทั้ง​ภาวนา​ ๒​ และ​ มรรค​มี​องค์​ ๘​ ต่าง​ก็​เป็น​ “ภาเวตัพพธรรม” คือ​ธรรม​ที่​พึง​ปฏิบัติ​

ทีนี้​ก็​สุด​แล้วแต่​ผู้​สอน​ จะ​นำ​ธรรม​หมวด​ไหน​มา​อธิบาย​หรือ​มา​เน้น​

ซึ่ง​สุดท้าย​ก็​เรื่อง​เดียวกัน​อยู่ดี

๑๓ มกราคม ๒๕๖๐

เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๐

เป้าหมายในทางธรรมในชาตินี้

ถาม : ขอสอบถามท่านอาจารย์ถึงเป้าหมายในทางธรรมในชาตินี้ครับ
เพื่อจะนำไปสู่การทำหน้าที่ของพุทธบริษัทต่อไป ในฐานะที่ผมเป็นส่วนหนึ่งในพุทธบริษัทครับ

ตอบ : เป้าหมายในชาตินี้ ของพุทธบริษัท
ในแง่ที่เป็นประโยชน์ตน ก็เรียงจากขั้นสูงสุดลงไปตามลำดับได้ดังนี้คือ
1. บรรลุอรหัตตผล
2. บรรลุอนาคามิผล
3. บรรลุสกทาคามิผล

4. บรรลุโสดาปัตติผล
5. แม้ยังไม่บรรลุธรรมใน 4 ข้อข้างต้น ก็มีความมั่นใจตั้งแต่ในชาตินี้ว่า ชาติหน้าจะไม่ไปสู่อบาย
6. ชาตินี้ก็มีทรัพย์ มีกัลยาณมิตร และมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ของคนดี

ในฐานะที่เป็นอุบาสก ก็ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. มีศรัทธาในพระรัตนตรัย
2. มีศีล

3. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อในหลักกรรม คือมุ่งหวังผลจากการกระทำและการงาน ไม่หวังจากโชคลางหรือของขลัง
4. ไม่แสวงหาทักขิไนยภายนอกพุทธศาสนา
5. ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา

นอกจากนี้ ยังควรหมั่นเข้าหาครูบาอาจารย์
ไปฟังธรรมและสอบถามปัญหา

และควรระวังว่า จะไม่ฟังธรรมด้วยความเพ่งโทษติเตียน
แต่จะเรียนเพื่อให้รู้หลักธรรม แล้วนำไปปฏิบัติให้เห็นจริง

เป้าหมายในชาตินี้ ในแง่ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ก็ควร
1. ให้ทาน แบ่งปัน ช่วยเหลือกันด้วยสิ่งของ ตลอดจนให้ความรู้และคำแนะนำสั่งสอน
2. มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน สมานสามัคคี มีประโยชน์

3. ขวนขวายช่วยเหลือ มีจิตสาธารณะ บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม
4. ทำดีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมแก้ไขปัญหา รวมทั้งวางตนให้เหมาะสมกับฐานะ
และกาลเทศะ

และถ้าจะให้ดีสมบูรณ์

เป้าหมายในชาตินี้ ก็ควรให้ได้ในแง่ที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
คือทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ของผู้อื่น

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็รวมทั้งในฐานะอุบาสิกาด้วย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

หาที่อยู่ให้จิต

ถาม : กราบนมัสการค่ะ เป็นคนคิดมากวิตกกังวล และหงุดหงิดง่ายค่ะ
ปกติฝึกในรูปแบบ ใช้ ‘พุทโธ’ เป็นเครื่องอยู่ค่ะ
ต่อมาหายไป ก็คอยรู้ทันจิตไหล

แต่ในชีวิตประจำวัน ไม่สามารถหาที่อยู่ให้จิตได้ มันว่าง ๆ แต่ก็คิดฟุ้งซ่านตลอด
นาน ๆ จะรู้ทีว่า เผลอบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง หลงบ้าง
ลองใช้ ‘พุทโธ’ หรือ ดูกายเคลื่อนไหว ก็ได้แค่ไม่กี่วินาที แล้วก็หลงยาวเลยค่ะ
ขอความเมตตา แนะนำด้วยค่ะ

ตอบ : ก่อนอื่น ให้เปลี่ยนมุมมอง
ความรู้สึกใหม่
จาก ‘นักปฏิบัติ’
มาเป็น ‘นักศึกษา’

คือทำไว้ในใจว่า จะขอเรียนรู้ความจริง
คำว่า ‘ปฏิบัติ’ มันหลอกใจเราให้ทำอะไรที่ไม่ธรรมดา
เพื่อให้ได้สิ่งที่ไม่ธรรมดา

จิตขณะนี้มันเผลอ มันฟุ้ง ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเป็นนักปฏิบัติ.. ก็จะทำให้หายฟุ้ง บังคับมัน
ถ้าเป็นนักศึกษา.. ก็จะรู้ไปตามที่มันเป็น

นักปฏิบัติ
ถ้าทำได้ตามต้องการ ก็จะดีใจ ภูมิใจ รู้สึกว่า ‘เราเก่ง’
ถ้าทำไม่สำเร็จ ก็หงุดหงิด เครียด

นักศึกษา
จะได้องค์ความรู้ สะสมไปเรื่อย ๆ
จนเข้าใจความจริงที่ซ่อนอยู่

คือเบื้องต้น จะเข้าใจลักษณะของสภาวะที่ปรากฏ
ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา

นักปฏิบัติ
เวลามีเครื่องอยู่ ก็มักจะเข้าใจว่า จิตต้องอยู่กับเครื่องอยู่เท่านั้นจึงจะดี
พอจิตเผลอ จิตหลง ก็รีบบังคับจิตให้กลับ ให้อยู่นิ่ง ๆ
กะจะให้ได้ดีกันตรงนี้

นักศึกษา
จะมีเครื่องอยู่ เพียงเพื่อเอาไว้คอยสังเกตว่า จิตเผลอเป็นอย่างไร
คือเอาไว้ศึกษาความจริงว่า จิตทำงานอย่างไร

เห็นครั้งหนึ่งแล้วยังไม่เข้าใจ.. ก็กลับมาที่เครื่องอยู่ เพื่อเรียนอีก
เริ่มเข้าใจแล้ว แต่ยังไม่แจ่มแจ้ง.. ก็กลับมาที่เครื่องอยู่ เพื่อเรียนอีก

ฉะนั้น ปัญหาไม่ได้เป็นที่ ‘เครื่องอยู่’
แต่อยู่ที่ ‘มุมมอง’

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๐

โอวาทปาติโมกข์ ข้อ “ทำกุศลให้ถึงพร้อม”

ถาม : อยากถามเรื่องโอวาทปาติโมกข์ค่ะ
มีข้อสงสัยว่า ในข้อที่ว่า “ทำกุศลให้ถึงพร้อม” นั้น
สำหรับปุถุชนแล้ว ทำกุศลอย่างไร แค่ไหนจึงจะเรียกว่าถึงพร้อมคะ ?

ตอบ : ตามหลักแล้ว คำว่า “ทำกุศลให้ถึงพร้อม” ท่านมักจะหมายเอา “กุศลกรรมบถ ๑๐”
อันได้แก่

๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการทำลายชีวิต – มีเมตตากรุณาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ช่วยชีวิตกัน

๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้ – เคารพกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น

๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม – ไม่ล่วงละเมิดประเวณีทางเพศ

๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ – ไม่ยอมกล่าวเท็จเพราะเหตุตนเอง ผู้อื่น หรือเพราะเห็นแก่ประโยชน์ใด ๆ

๕. ปิสุณายะ วาจายะ เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด – พูดถ้อยคำที่สร้างสามัคคี

๖. ผรุสายะ วาจายะ เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ – พูดคำสุภาพอ่อนหวาน

๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ – พูดเรื่องที่มีสาระ มีประโยชน์ มีเหตุผล ถูกกาลเทศะ

๘. อนภิชฌา ไม่โลภคอยจ้องอยากได้ของเขา

๙. อพยาบาท ไม่คิดร้ายเบียดเบียนเขา – ปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีทุกข์ ครองตนอยู่เป็นสุข

๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม – เช่น เห็นว่าทานมีผล การบูชามีผล วิบากของกรรมดีกรรมชั่วมีจริง เป็นต้น

ข้อ ๑ – ๓ เป็น กายกรรม ๓
ข้อ ๔ – ๗ เป็น วจีกรรม ๔
ข้อ ๘ – ๑๐ เป็น มโนกรรม ๓

เวรมณี แปลว่า เจตนาที่ทำให้เว้น
ก็คือเจตนาที่ตรงข้าม

เช่น ปาณาติปาตา เวรมณี ก็หมายถึงว่า การทำดีที่ตรงข้ามกับการเบียดเบียนทำลายชีวิต
ข้ออื่น ๆ ก็ในทำนองเดียวกัน

สรุปง่าย ๆ คือ
พร้อมที่จะทำกรรมดีอยู่เสมอ

และทางที่จะทำกรรมดี ก็มีได้ทุกทาง
ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือแม้แต่ทางใจ

การทำกุศลที่ได้อานิสงส์มากจริง ๆ
ก็ควรคำนึงด้วยว่า

ไม่ใช่ทำเพื่อเอาเข้าตัว – เสริมตน หรือ “งกบุญ”
แต่จะทำด้วยความเข้าใจในคุณค่าของสิ่งที่ทำ

และเป็นไปในลักษณะ “สละออก”

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

สัมมาอาชีวะในความหมายสำหรับพระ

ถาม : สัมมาอาชีวะ มีผู้อธิบายว่า คือไม่ประกอบอาชีพที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่น ขายอาวุธ, ขายยาพิษ ซึ่งถูกสำหรับชาวบ้าน แต่ถ้าเป็นพระ ควรหมายความเท่ากับมหาศีล คือไม่ทำน้ำมนต์, ไม่เป็นหมอดูฤกษ์ยาม เป็นต้น

ตอบ : ที่ว่า “ไม่ประกอบอาชีพที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่น ขายอาวุธ, ขายยาพิษ” นั้น เป็นเรื่องของมิจฉาวณิชชา
การค้าขายที่อุบาสกอุบาสิกาไม่ควรประกอบ ซึ่งยังไม่ครอบคลุมความหมายของสัมมาอาชีวะ

สัมมาอาชีวะ มีคำจำกัดความกว้าง ๆ ว่า
ละมิจฉาอาชีวะเสีย หาเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ

ที่ให้คำจำกัดความไว้กว้าง ๆ อย่างนั้น เพราะบุคคลแต่ละสถานะมีการเลี้ยงชีพแตกต่างกันไป

การหาเลี้ยงชีพ ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องการค้าขาย
ไม่ได้หมายเพียงการใช้แรงงานให้เกิดผลผลิต หรือการทำงานแล้วได้เงินค่าจ้าง

แต่หมายถึงการทำหน้าที่ ความประพฤติ หรือการดำรงตนอย่างถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่ทำให้เป็นผู้สมควรแก่การได้ปัจจัยบำรุงเลี้ยงชีวิต

ผู้ใช้แรงงาน ทำงานสุจริตเพื่อรับเงินค่าจ้าง มีสัมมาอาชีวะได้
ชาวนา ทำนา ไถหว่าน ก็เป็นสัมมาอาชีวะได้

แต่พระภิกษุเลี้ยงชีพด้วยการทำงานเช่นนั้น ย่อมไม่เป็นสัมมาอาชีวะ
การประพฤติอยู่ในมหาศีล ก็ส่วนหนึ่งในสัมมาอาชีวะด้วย

พึงสังเกตว่า คำว่า อาชีวะ ในที่นี้ ไม่ได้มีความหมายตรงกับคำว่า อาชีพ ที่เราเข้าใจกันในปัจจุบัน

เด็ก ๆ อายุเจ็ดแปดขวบ ยังไม่มีอาชีพการงานอะไร

แต่ประพฤติตนให้เป็นลูกที่ดี สมควรแก่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ ก็ยังนับว่าเด็กนั้นมีสัมมาอาชีวะได้
และเด็กนั้นก็มีโอกาสบรรลุมรรคผลได้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

ถือศีล ๕ ได้แค่ ๔ ข้อ / เห็นเขาฆ่าสัตว์เพื่อทำอาหาร / บ้านแฟนขายของชำ แม่แฟนขายสุรา

ถาม ๑: ผมถือศีล ๕ ได้แค่ ๔ ข้อครับ
โดยมากจะผิดข้อ ๕ ครับ แต่นาน ๆ ๆ นานจริง ๆ จะผิดข้อ ๕ ครับ ผมควรทำอย่างไรครับ ?
จะเป็นบาปไหมครับ ?

ตอบ : ได้อย่างนี้ ก็ถือว่าดีมากแล้วนะ เราก็เพียรรักษาศีลทั้ง ๔ ข้อนั้นต่อไป อย่าได้ละเมิด
คุณความดีที่มีอยู่ ก็รักษาเอาไว้ให้ได้

ส่วนข้อ ๕ ถ้าผิดไปแล้ว ก็สมาทานใหม่ เราก็ระวังอย่าให้ผิดบ่อย และอย่าให้ถึงกับเมามายเสียสติ
เพราะมันจะพลาดไปผิดศีลข้ออื่น ๆ ได้อีก

ถาม ๒ : เราจะวางใจอย่างไรครับ เมื่อเห็นเขาฆ่าสัตว์ เช่น เขาฆ่าเพื่อทำอาหาร ?

ตอบ : ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยอะไรไม่ได้ ก็เจริญอุเบกขา
คือมองว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน และย่อมได้รับผลของกรรมที่ทำไว้เอง
มีคำเจริญอุเบกขาดังนี้

“สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฎิสะระณา, ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ”

แปลความว่า
เราทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เป็นผู้ได้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว เราจักเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น

ถาม ๓ : บ้านแฟนผมขายของชำ และแม่แฟนผมขายสุราด้วย ผมต้องวางใจอย่างไรครับ ?

ตอบ : ถ้าอยู่ด้วยกัน ก็ขอแนะนำ ดังนี้
๑. ไม่โฆษณาเชิญชวนให้ซื้อ ไม่มีโปรโมชั่น ไม่โชว์สินค้า ใครจะมาซื้อก็ถือว่าเป็นความประสงค์ของเขาเอง
๒. นำกำไรที่ได้จากการขายสุราไปทำบุญ และเน้นบุญในแง่เตือนให้เกิดสติ หรือเจริญปัญญาให้หายหลง
๓. ถ้ามีโอกาส ก็ปรึกษากัน เพื่อให้เห็นตรงกันว่ามีโทษ และหาทางเลิกขายสินค้าประเภทนี้

********

หมายเหตุ

บทสวด ปัญจอภิณหปัจจเวกขณะ (เช่นในหนังสือวัดสังฆทาน)
ที่ขึ้นต้นว่า ชะราธัมโมมหิ
เป็นคำสำหรับพิจารณาตนเอง

คำภาษาบาลีจะเป็นอย่างหนึ่ง
คำเจริญอุเบกขา
ที่ขึ้นต้นว่า สัพเพ สัตตา

พิจารณาไปที่สัตว์ทั้งหลาย
คำภาษาบาลีก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
#ปัญจอภิณหปัจจเวกขณ์

ข้อที่พึงพิจารณาเนือง ๆ ๕ ประการ

๑. ชะราธัมโมมหิ เรามีความแก่เป็นธรรมดา
ชะรัง อะนะตีโต จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้

๒. พะยาธิธัมโมมหิ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
พะยาธิง อะนะตีโต จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้

๓. มะระณะธัมโมมหิ เรามีความตายเป็นธรรมดา
มะระณัง อะนะตีโต จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

๔. สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย

๕. กัมมัสสะโกมหิ เรามีกรรมเป็นของๆตน
กัมมะทายาโท เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
กัมมะโยนิ เรามีกรรมเป็นแดนเกิด

กัมมะพันธุ เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
กัมมะปะฏิสะระโน เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสามิ เราทำกรรมอันใดไว้

กัลฺยาณัง วา ปาปะกัง วา เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น
……

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

ใส่บาตรด้วยผลไม้ที่เป็นกัปปิยะ

ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะ เวลาใส่บาตรประเภทผลไม้ ต้องปอกเปลือกออกจนสามารถฉันได้เลย
อย่างเช่น ส้ม จะต้องเอาเยื่อเส้นใยข้างในออกด้วย แต่ถ้าใส่เป็นลูกก็จะสามารถเก็บไว้ฉันมื้ออื่นได้อีกค่ะ
ไม่รู้ทราบมาผิด ๆ หรือเปล่า อยากทำให้ถูกต้องค่ะ

ดูเป็นคำถามไม่ค่อยน่าถามยังไงก็ไม่รู้ แล้วแต่ความกรุณาของพระอาจารย์เจ้าค่ะ
อยากทำให้ถูกต้องและประณีตขึ้นเจ้าค่ะ

ตอบ : การบริโภคผลไม้ มีพระวินัยบัญญัติให้ทำให้ควรแก่สมณะที่จะบริโภคเสียก่อน มีศัพท์ทางพระเรียกกันว่า”ทำกัปปิยะ”

ผลไม้ที่สมควร หรือเป็นกัปปิยะ มีลักษณะดังนี้
๑. ผลไม้ที่ถูกจี้ด้วยไฟ (อาจจะใช้ฟืนที่ติดไฟมาจี้ที่ผลไม้ หรือแม้แต่โลหะที่ร้อนมาจี้ก็ได้)
๒. ผลไม้ที่ถูกแทงด้วยมีด (หรือจะฝาน ปาด ตัด ผ่า ปอก ด้วยคมมีดหรือปลายมีดก็ได้)
๓. ผลไม้ที่ถูกจิกด้วยเล็บ (อาจจะใช้เล็บสัตว์ที่แหลมคมพอที่จะใช้จิก หรือใช้เล็บตนเองก็ได้ หรือจะปอกเปลือกด้วยเลยก็ได้)
๔. ผลไม้ที่ไม่มีเมล็ด
๕. ผลไม้ที่ปล้อนเมล็ดออกแล้ว

ถ้าเราใส่บาตรด้วยผลไม้ที่เป็นกัปปิยะแล้ว ท่านก็นำไปฉันได้เลย
ถ้าเป็นพระท่านอยู่ในสำนักที่ไม่มีคนวัดคอยรับใช้ ก็ควรทำกัปปิยะก่อน จึงนำมาใส่บาตร
ส่วนจะทำละเอียดลออแค่ไหน ก็ดูตามความเหมาะสม

เช่น ในกรณีของส้ม
ถ้าเราคิดว่า จะทำให้ประณีต สวยงาม เราจะเอาเส้นในขาว ๆ ออกไปก็ได้
ถ้าเราคิดว่า เส้นใยนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เราจะไม่เอาเส้นใยนั้นออกก็ได้

เรียกว่า สุดแต่กุศลเจตนา และปัญญา

ถ้ายังไม่เป็นกัปปิยะ ท่านก็ต้องให้อุบาสกหรืออุบาสิกาที่วัดทำกัปปิยะให้

กรณีผลไม้ที่ยังไม่เป็นกัปปิยะมีเป็นจำนวนมาก ในพระวินัยท่านอนุญาตให้นำผลไม้เหล่านั้นมาทำให้ติดต่อเนื่องเป็นอันเดียวกัน
(เช่น กองรวมกัน, ใส่ภาชนะเดียวกัน เป็นต้น) แล้วทำกัปปิยะ (เช่น ใช้มีดปาด) ที่ผลใดผลหนึ่ง เพียงผลเดียว
ผลที่เหลือทั้งหมดก็เป็นอันทำกัปปิยะแล้วด้วย

ถ้าพระท่านเห็นว่ายังมีผลไม้ที่ยังไม่ได้ทำกัปปิยะ ท่านก็จะเรียกอุบาสกมา แล้วถามว่า “กัปปิยัง กะโรหิ ?”
แปลว่า สิ่งนี้สมควรแล้วหรือ ?

อุบาสกพิจารณาดูแล้ว จะทำกัปปิยะถวาย ก็นำมีดมาปาดผลไม้นั้น พร้อมกับพูดตอบว่า “กัปปิยะ ภันเต”
สิ่งนี้สมควรแล้วครับ

จะถาม – ตอบด้วยภาษาบาลีหรือถ้าไทยก็ได้ ขอให้เข้าใจกัน เป็นใช้ได้

ผักสดที่ยังนำไปปลูกต่อได้ (เช่น พริกสด ผักบุ้ง) ก็ต้องทำกัปปิยะด้วยเช่นกัน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐

ทำอย่างไรจะมั่นใจในความดีที่ทำแล้วมากพอจะตายเมื่อไหร่ก็ได้

ถาม : ทำอย่างไรที่เราจะพอมั่นใจในความดีที่เราทำแล้วมากพอที่จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าที่ผ่าน ๆ มาในชีวิตนั้น
เคยใช้ชีวิตอย่างขาดปัญญามาก่อน ?

ตอบ : อ่านคำถามแล้ว นึกถึงบทสวดมนต์บทหนึ่ง
คือบท “อริยธนคาถา”
ขอยกพุทธพจน์นี้มาให้พิจารณากัน

ยสฺส สทฺธา ตถาคเต อจลา สุปติฏฺฐิตา
ศรัทธาในพระตถาคตของผู้ใดตั้งมั่นอย่างดีไม่หวั่นไหว

สีลญฺจ ยสฺส กลฺยานํ อริยกนฺตํ ปสํสิตํ
ศีลของผู้ใดงดงาม, เป็นที่สรรเสริญที่พอใจของพระอริยเจ้า

สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ
ความเลื่อมใสของผู้ใดมีในพระสงฆ์

อุชุภูตญฺจ ทสฺสนํ
ความเห็นของผู้ใดตรง

อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า บุคคลนั้นไม่ใช่คนจน (เป็นคนมั่งมี)

อโมฆนฺตสฺส ชีวิตํ
ความเป็นอยู่ของบุคคลนั้นไม่เป็นโมฆะ (คือไม่ไร้ประโยชน์)

ตสฺมา สทฺธญฺจ สีลญฺจ ปสาทํ ธมฺมทสฺสนํ
อนุยุญฺเชถ เมธาวี สรํ พุทฺธาน สาสนนฺติ

เพราะฉะนั้น เมื่อระลึกได้ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่
ผู้มีปัญญาควรสร้างศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรมให้เนือง ๆ

คาถานี้ พระองค์ตรัสถึงคุณธรรม ๔ ประการ คือ
๑. ศรัทธาในพระพุทธเจ้า และเป็นศรัทธาชนิดที่ตั้งมั่นด้วย
๒. ศีลที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ
๓. เลื่อมใสพระสงฆ์ (ที่ประกอบด้วยสังฆคุณ)
๔. มีความเห็นตรง

เมื่อศรัทธาในพระพุทธเจ้า คือศรัทธาในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
พระองค์สั่งสมบารมีทั้งหลายด้วยพระองค์เอง

ไม่ได้อ้อนวอนขอจากเทพเจ้าที่ไหน
เมื่อบารมีสมบูรณ์ ตรัสรู้แล้ว ก็มาบอกวิธีพัฒนาจิตใจให้กับชาวโลกทั้งหลายด้วย

เมื่อศรัทธาว่าพระองค์ตรัสรู้จริง ก็มีแรงบันดาลใจที่จะปฏิบัติตาม

สำหรับข้อ ๔ พระองค์ได้ตรัสสรุปให้ชัดขึ้นอีกว่า หมายถึง “เห็นธรรม”

แรก ๆ ที่เราหัดเจริญสติ
เราก็เห็นธรรมในระดับ “สภาวธรรม”

คือเห็นรูป เห็นนาม เห็นกาย เห็นใจ เห็นกิเลสไป

เห็นมากเข้า ก็จะเห็นธรรมในระดับความเข้าใจ
คือเข้าใจความเป็น “ธรรมดา” ของสิ่งที่เห็นมาในตอนแรก ๆ

ความเข้าใจอย่างนี้ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า มี “ปัญญา”

ถ้ามีปัญญาเห็นธรรมดาของกายใจนี้ว่าไม่มีเรา จะมีสำนวนเรียกผู้นั้นว่า มี “ดวงตาเห็นธรรม”

ถ้าจะให้มั่นใจในคุณธรรมความดีของตนเอง
ถึงขั้นที่ว่า จะตายเมื่อไหร่ก็ได้

ก็พึงระลึกถึงพระพุทธพจน์นี้
แล้วเจริญธรรม ๔ ประการ ดังที่ได้กล่าวมา
ชาตินี้ก็ไม่ไร้ค่าแน่นอน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๙

ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ผู้นั้นจะได้รับหรือไม่

ถาม : กราบเรียนถามหลวงพี่ครับ
การทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับหรือเจ้ากรรมนายเวร.. จริง ๆ แล้วการตายคือการไปจุติอีกภพภูมิหนึ่ง ดังนั้น
ผู้นั้นก็น่าจะไปจุติแล้ว อย่างนี้ส่วนของบุญกุศลเค้าจะได้รับหรือไม่อย่างไรครับ ?

ตอบ : ถ้าเขาตายแล้วไปเกิดใหม่อยู่ในที่ที่สามารถอนุโมทนาบุญได้ การทำบุญอุทิศให้เขาก็มีโอกาสได้ผล
มีเปรตประเภทหนึ่งเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต
คือเปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้

หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร
การทำบุญอุทิศให้กับผู้ตาย ก็จะมีประโยชน์กับเปรตประเภทนี้โดยตรง
แต่เขาต้องรับรู้และอนุโมทนาบุญด้วย

ถาม : อย่างนี้ถ้าไม่ใช่เปรตประเภทนี้ แต่เป็นอย่างอื่น เช่น เทพ พรหม หรือ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จะได้รับไหมครับ

ตอบ : เทพพรหมเขาก็แค่ดีใจด้วย
แต่ไม่ได้หวังเอาบุญจากเรา
เหมือนญาติที่เป็นเศรษฐี ไม่ได้หวังของฝาก แต่รู้ว่าเราระลึกถึง ก็ดีใจ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖

ไม่ได้นิมนต์พระมาสวดงานศพ ฆราวาสจะสวดกันเองได้ไหม

ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์ เรื่องคติ ในการสวดพระอภิธรรมในงานศพครับ
หากเราไม่ได้นิมนต์พระมาสวดพระอภิธรรมในงานศพหรือไม่ได้ไปงานนั้น ฆราวาสจะสวดกันเองได้ไหมครับ?
และจะเป็นผล + / – มากน้อย อย่างไรครับ?

ตอบ : ฆราวาสจะสวดพระอภิธรรมกันเองก็ได้
และไม่เฉพาะพระอภิธรรมเท่านั้น
แม้บทสวดมนต์อื่น ๆ ฆราวาสก็สามารถสวดได้

เพราะบทสวดทั้งหลายก็มักจะนำมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า
ใครจดจำพร่ำสวดได้ ก็ย่อมเป็นกุศลต่อผู้นั้น

แต่การที่จะให้ฆราวาสมาสวดพระอภิธรรมในงานศพ ก็จะต้องมีองค์ประกอบที่พร้อมกันหลายประการ เช่น
๑. มีฆราวาสที่มีคุณธรรม น่าเคารพศรัทธา
๒. ฆราวาสนั้นมีความสามารถในการสวดพระอภิธรรม
๓. เจ้าภาพศรัทธาและยินดีให้ฆราวาสนั้นมาสวด
๔. ฆราวาสนั้นยินยอมมาสวดให้

เคยได้ยินว่ามีการสวดที่เรียกกันว่า “รำสวด”
ใช้ฆราวาส ๔ คน มีถือตาลปัตรสวดเลียนแบบพระ

แต่จะออกแนวสนุกสนานบันเทิง
แม้จะสอดแทรกด้วยธรรมะบ้างก็ตาม

โดยทั่วไป เมื่อจะบำเพ็ญกุศล จึงนิยมฟังพระสวดกันมากกว่า

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐

ลูกบวชพระ บอกแม่ทุกวันอยากฉันอะไร

ถาม : ลูกบวชเป็นพระ บอกแม่ทุกวันว่าอยากฉันอาหารอะไร แม่ก็จะทำถวายทุกวัน
แบบนี้ได้มั้ยคะ?

ตอบ : พระบอกแม่ได้ ส่วนแม่จะทำหรือไม่ทำก็ได้

แต่การบอกทุกวัน.. แม้จะไม่ผิดพระวินัย
แต่ก็จะถูกตำหนิได้.. ในแง่ที่อ่อนแอเกินไป

ควรฝึกคุณธรรมเพิ่มขึ้น คือ ความสันโดษ และความเป็นผู้เลี้ยงง่าย
เพื่อความเจริญในพระธรรมวินัยยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ความสันโดษ ในที่นี้คือ ยินดีในปัจจัยตามมีตามได้

ความเป็นผู้เลี้ยงง่าย คือ ญาติโยมจะถวายอะไรก็ฉันได้
ไม่เจาะจงว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ไม่ตำหนิเรื่องรสชาติหรือประเภทของอาหาร

ไม่ให้ผู้เลี้ยงต้องเดือดร้อนวุ่นวาย
เป็นที่เบาใจกับครูบาอาจารย์และหมู่คณะ
รวมทั้งเป็นที่น่าศรัทธาปสาทะกับผู้ที่ได้พบเห็น

พระอริยะทั้งหลายเป็นผู้เลี้ยงง่ายทั้งนั้น
แม้ปุถุชน.. ก็ควรฝึกตนให้เป็นผู้เลี้ยงง่ายด้วยเช่นกัน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙

ความหมาย กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก วิหิงสาวิตก อยู่ในโมหะหรือโทสะ ?

ถาม : ความหมายของ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ..
ผมสงสัยว่า วิหิงสาวิตก จัดอยู่ใน โมหะ หรือ โทสะ กันแน่ ?

ตอบ : นี้เป็นเรื่องของ “อกุศลวิตก”
อกุศลวิตก คือ ความตรึกที่เป็นอกุศล หรือความนึกคิดที่ไม่ดี

มี ๓ ได้แก่
๑. กามวิตก คือ ความตรึกในทางกาม ความนึกคิดในทางแส่หาหรือพัวพันติดข้องในสิ่งสนองความอยาก
๒. พยาบาทวิตก คือ ความตรึกในทางพยาบาท ความนึกคิดที่ประกอบด้วยความขัดเคืองเพ่งมองในแง่ร้าย
๓. วิหิงสาวิตก คือ ความตรึกในทางเบียดเบียน ความนึกคิดในทางทำลาย ทำร้ายหรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น

อกุศลวิตกเหล่านี้ เทียบได้กับ มิจฉาสังกัปปะ – ความดำริผิด
ตามปกติของปุถุชนคนธรรมดาโดยทั่วไป เวลาจะนึกคิดอะไร ก็มักจะเป็นไปเพื่อสนองกิเลสแง่ใดแง่หนึ่ง
คิดอยากได้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่น่าพอใจ มาบำเรอตน

เป็นความคิดที่เกิดจากความถูกใจ ชอบใจ ก็กลายเป็น – กามวิตก
อย่างนี้เทียบได้ง่ายว่า สนองกิเลสฝ่ายโลภะ (หรือราคะก็ได้)

เกิดความขัดใจ ไม่ชอบใจ เคียดแค้น ชิงชัง
คิดทำร้าย มองเขาเป็นศัตรู ไม่ต้องการให้เขามีความสุข ก็กลายเป็น – พยาบาทวิตก

อย่างนี้เทียบได้ง่ายว่า สนองกิเลสฝ่ายโทสะ
แต่พอคิดเบียดเบียน หรือคิดก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ที่เป็นวิหิงสาวิตกนั้น
อย่างนี้ไม่ใช่ลำพังโทสะ แต่มีโมหะเป็นตัวนำ หรือบางทีก็มีอกุศลตัวอื่นอีก เช่น

– นาย ป. อยู่ว่าง ๆ คิดว่า ‘ไปตกปลาเล่นดีกว่า’
ขณะที่คิด ไม่ได้โกรธปลา แต่คิดเบียดเบียนปลา
ขณะเลือกมุมที่จะนั่ง ขณะนั่งหยิบเหยื่อ ขณะนั่งรอ ก็อาจจะไม่เกิดโทสะเลย

อาจจะนั่งผิวปากอย่างสบายใจไปด้วยซ้ำ
อันนี้ “โมหะ” เป็นตัวนำ เข้าใจว่าไม่เป็นไร ไม่บาป

– ราชาเมือง อ. เป็นเมืองมหาอำนาจ อยากให้โลกรับรู้ว่า ข้าฯ ยิ่งใหญ่
คิดว่า ‘จะไปขยายอาณาเขต โดยไปยึดเมือง ซ.’
ขณะที่คิด ไม่ได้โกรธราชาเมือง ซ. แต่ก็คิดเบียดเบียนรุกรานเมือง ซ.

ขณะวางแผน จะวางกำลังตรงนั้นตรงนี้ มีแผนลวงอย่างนั้นอย่างนี้ ก็อาจจะไม่เกิดโทสะเลย
อาจจะนั่งรวมหัวอยู่กับลิ่วล้อ แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างกระหยิ่มใจกับชัยชนะที่กำลังจะมาถึง
อันนี้ “มานะ” เป็นตัวเด่น คือ อยากเป็นใหญ่

ความแตกต่างที่น่าจะชัดเจนขึ้น ก็มาดูที่ธรรมที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม คือ
พยาบาทวิตก ตรงข้ามกับ เมตตา
วิหิงสาวิตก ตรงข้ามกับ กรุณา

และมีข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พยาบาทวิตก กับ วิหิงสาวิตก อีกอย่างหนึ่งว่า
วิหิงสาวิตก เป็นความนึกคิดในฝ่ายจะไปกระทบ คือเริ่มก่อน ไม่ว่าจะโดยโทสะ โมหะ ฯลฯ ก็ตาม
พยาบาทวิตก เป็นความนึกคิดในฝ่ายถูกกระทบ เช่น

– นาย ป. อยู่ว่าง ๆ คิดว่า ‘ไปตกปลาเล่นดีกว่า’
(ตอนนี้นาย ป. มีวิหิงสาวิตก – คิดเบียดเบียนเขาก่อน)
ก็ไปตกปลา ปลาติดเบ็ด ดิ้นไปมา (ปลาถูกเบียดเบียน)

ปลาทราบว่า นาย ป. เป็นผู้ทำร้ายตน ปลามีความแค้นใจ ตั้งใจไว้ว่า
‘ไม่ว่าจะเกิดอีกเมื่อไร จะขอเอาคืนด้วยชีวิตให้สาสม’

(ตอนนี้ปลามีพยาบาทวิตก – คิดพยาบาท)

– ราชาเมือง อ. เป็นเมืองมหาอำนาจ คิดว่า ‘จะไปขยายอาณาเขต โดยไปยึดเมือง ซ.’
(ตอนนี้ราชาเมือง อ. มีวิหิงสาวิตก – คิดเบียดเบียนเขาก่อน)
ขณะยกทัพเข้าไปข่มเหงเมือง ซ. ประชาชนชาวเมือง ซ. เดือดร้อน ถูกเบียดเบียน

ประชาชนชาวเมือง ซ. ก็คิดสาปแช่งราชาเมือง อ.
‘ขอให้เจ้า อ. จงพินาศ จงฉิบหายไป’
(ตอนนี้ประชาชนชาวเมือง ซ. มีพยาบาทวิตก – คิดพยาบาท)

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้ถูกเบียดเบียนก่อนดูจะน่าเห็นใจมาก
และนี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เราทั้งหลายไม่พ้นจากการเวียนเกิดเวียนตายไปได้

ความน่ากลัวอยู่ตรงที่..

ในสังสารวัฏ เราก็ไม่อาจทราบได้ว่าใครเริ่มเบียดเบียนใครก่อน ตั้งแต่ชาติไหน
ชาตินี้มาพบคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว อย่าให้ความคิดผิด ๆ เหล่านี้ หลอกเราได้อีก
มีสติสัมปชัญญะ

ไม่ปล่อยให้ความนึกคิดแล่นไปตามความรู้สึกชอบใจ – ไม่ชอบใจ
ไม่ปล่อยให้ความนึกคิดแล่นไปตามเหตุผลที่เอนเอียง หรือจากทัศนคติที่บิดเบือน

ความชอบใจ – ไม่ชอบใจ เกิดเมื่อไร ให้รู้ทัน
ถ้าใจยังไม่ปลอดโปร่ง ไม่เป็นอิสระจากความชอบใจ – ไม่ชอบใจ ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อความคิดจากใจอย่างนั้น
แยกแยะให้ได้ว่า ความคิดนี้ เป็นกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก

ให้รู้ตามที่มันเป็น
ไม่ให้อกุศลวิตกเหล่านี้ครอบงำใจ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 26 กันยายน 2559

“กลาปะ” หมายถึง ยืนยันอย่างไรว่าเห็นกลาปะ ?

ถาม : คำว่า “กลาปะ” หมายถึงอะไร ? แล้วเราจะยืนยันได้อย่างไรว่า
เราภาวนาจนเห็นกลาปะ ?

ตอบ : กลาปะ มาจากภาษาบาลี บางทีคนไทยก็เขียนว่า “กลาป” [อ่านว่า กะ – หลาบ]
หมายถึง กลุ่ม ก้อน กอง หมวด หน่วยรวม

เมื่อพูดถึงรูปธรรม ในทางพระอภิธรรม กลาป จะหมายถึงหน่วยรวมของรูป
มีคำเต็มว่า “รูปกลาป”

รูปเป็นปรมัตถธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ และสังขารธรรม คือมีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น
รูป ๆ หนึ่งอาศัยรูปอื่นเกิดขึ้น
จะมีรูปเกิดขึ้นเพียงรูปเดียวไม่ได้

ต้องมีรูปที่เกิดพร้อมกัน และอาศัยกันเกิดขึ้นหลายรูปรวมกันเป็น ๑ กลุ่มเล็ก ๆ
ซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้เลย
กลุ่มเล็ก ๆ ที่ว่านี้ ภาษาบาลีเรียกว่า ๑ กลาป

รูปกลาปที่ละเอียดที่สุด เล็กที่สุด จะประกอบด้วยรูปอย่างน้อย ๘ อย่าง คือ
ปฐวี (ดิน), อาโป (น้ำ), เตโช (ไฟ), วาโย (ลม),
วัณณะ (สี), คันธะ (กลิ่น), รสะ (รส) และ โอชา (รสอาหารที่ซึมซาบ เป็นปัจจัยให้เกิดรูป)

หมายความว่า องค์ประกอบทั้ง ๘ นี้ จะมีอยู่ในทุกกลุ่มรูป
ถ้าไม่มีองค์ประกอบอื่นร่วม ก็เป็นหน่วยรวมหมวด ๘ ล้วนเรียกว่า “สุทธัฏฐกกลาป”
(บางกลาปก็มี ๙ รูป บางกลาปมี ๑๐ รูปบางกลาปมี ๑๑, ๑๒, ๑๓ รูป

ขึ้นอยู่กับกลุ่มของรูปนั้นเกิดจากสมุฏฐานใด –เริ่มยากแล้ว ! )
ธาตุดิน น้ำ ไฟ และ ลม เป็นรูปธรรมที่เกิดพร้อมกัน และเกิดร่วมกันเสมอ
คือ ไม่ว่าจะมีรูปธรรมปรากฏอยู่ที่ใด ก็จะมาครบทั้งชุด

เพียงแต่ว่า ในแต่ละรูป จะมีธาตุใดธาตุหนึ่งยิ่งหรือหย่อนกว่ากันบ้าง
เช่น ธาตุดินที่แข็ง อยู่กับธาตุน้ำที่เกาะกุม กับธาตุไฟที่เย็น และกับธาตุลมที่เคร่งตึง
ธาตุดินที่อ่อน อยู่กับธาตุน้ำที่ไหล กับธาตุไฟที่ร้อน และกับธาตุลมที่ไหว

ส่วนสี กลิ่น รส และโอชา ก็เป็นธรรมดาที่จะมีอยู่กับรูปทุกรูปเสมอด้วย
ตัวอย่างเช่น เลือด
มีธาตุดิน แม้มีน้อย แต่ก็สัมผัสได้ รู้สึกได้ถึงความอ่อน ๆ ไม่แข็ง

มีธาตุน้ำ เพราะมีความเกาะกุมกันอยู่
มีธาตุไฟ อุ่น ๆ สามารถวัดอุณหภูมิได้
มีธาตุลม สูบฉีด ไหลไป

มีสี แดง
มีกลิ่น คาว ๆ
มีรส เค็มปะแล่ม ๆ

มีโอชา เป็นสารอาหารต่าง ๆ
แต่ “กลาป” อย่างนี้… ดูยาก !
ต้องทรงสมาธิ ทรงฌานจริง ๆ จึงจะมาเห็น “กลาป” แสดงไตรลักษณ์

คนฟุ้งซ่าน (รวมทั้งพระฟุ้งซ่าน – อย่างอาตมา) ดูไม่เห็นหรอก ได้แต่คิดเอา
แต่มี “กลาป” อีกอย่างหนึ่ง… พอทำได้
เรียกว่า “กลาปในการเจริญวิปัสสนา”
น่าสนใจกว่า (สำหรับอาตมา)

ในการเจริญวิปัสสนา การพิจารณาโดยกลาป คือ พิจารณาธรรมอย่างรวม ๆ หรือเหมารวม
โดยรวมเป็นหมวด หรือรวบทั้งกลุ่ม
เช่นว่า กายนี้เป็นทุกข์ (ซึ่งง่ายกว่าการพิจารณาโดยองค์แบบรูปกลาป)

กายยืนเกิดแล้วดับ กายนั่งเกิดแล้วดับ
นั่งอยู่ก็ทุกข์ เดินอยู่ก็ทุกข์
หายใจเข้าก็ทุกข์ หายใจออกก็ทุกข์
มีทุกข์บีบคั้นอยู่ทุุกลมหายใจเข้าออก

ถ้าดูอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปดูรูปกลาป
แต่มาพิจารณาอย่างที่เรียกว่า กลาปวิปัสสนา
ผู้ที่เข้าฌานได้ ก็มาพิจารณา..

เข้าฌานแล้วก็ต้องออก ฌานไม่มีแล้วก็มีขึ้น มีแล้วก็ไม่มี (ซึ่งง่ายกว่าการพิจารณาโดยองค์ฌานตามลำดับข้อ)
เป็นต้น
ผู้ที่ทำฌานไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
ก็พิจารณา..

ดูทุกข์ในกายธรรมดา ๆ นี่แหละ
หรือจะดูนามธรรมก็ง่ายขึ้น
ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ก็ดูไป
ความสุขที่มี เดี๋ยวก็หายไป

ความทุกข์ที่มี เดี๋ยวก็หายไป
กุศล – อกุศล ก็เกิดดับเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวก็รู้
ทั้งเผลอทั้งรู้.. ไม่เที่ยงทั้งหมดเลย !

พิจารณารวบไปเลยอย่างนี้ ไม่เครียดดีนะ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙

น้ำตาไหลแต่ละครั้งให้ .. “รู้ทัน”

วรรคทอง..วรรคธรรม #๙๐

น้ำตาไหลแต่ละครั้งให้ .. “รู้ทัน”

“กุศลที่เป็นปีติ ท่านก็ไม่ให้จมในปีติ
ความโศกที่ว่าเป็น ‘ความพลัดพราก’
ก็ไม่ไห้จมกับความคิดซ้ำในความพลัดพรากอันนั้น
จนกลายเป็น.. ร้องไห้

จะร้องไห้ด้วย ‘ปีติ’ หรือ ‘พลัดพราก’ ให้รู้ทัน !
ไม่ให้จมนานนะ !
น้ำตาไหลแต่ละครั้งให้ “รู้”

แยกให้ออกว่าเป็น ‘กุศล’ หรือ ‘อกุศล’
แล้วไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศล.. รู้ทันไหม ?

ถ้ารู้ไม่ทัน ใช้ไม่ได้ทั้งคู่”

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม

งานทำบุญอุทิศส่วนกุศลคุณพ่อสำรวย
ณ สวนธรรมประสานสุข
วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม งานทำบุญอุทิศส่วนกุศลคุณพ่อสำรวย
ณ สวนธรรมประสานสุข วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙

รับฟังเสียงธรรมที่ลิงก์
ไฟล์ 591022_บุญอุทิศให้พ่อ ระหว่างเวลา ๑๕.๐๐- ๑๕.๕๐
สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ http://bit.ly/2eeCpvj