All posts by gade

ทำบุญที่วัด เห็นพระแล้วปิ๊ง ควรทำอย่างไร

ถาม : ถ้าหนูทำบุญที่วัดกับแม่ เห็นพระแล้วปิ๊ง แต่ห้ามใจไม่ได้ หนูควรทำอย่างไรดีคะ ?

ตอบ : ถ้าห้ามใจไม่ได้ ก็ห้ามกายกับวาจาไปก่อน

ห้ามกาย คือ ไม่นำกายไปใกล้ชิดกับท่าน ไม่อยู่กันสองต่อสอง แต่งกายนุ่งห่มให้เรียบร้อยมิดชิด ฯลฯ

ห้ามวาจา คือ ไม่บอกรักท่าน ไม่พูดเกี้ยว ไม่เว้าวอน ไม่เวิ่นเว้อ ไม่แซว ไม่ปรึกษาเรื่องส่วนตัว ไม่ส่งไลน์ ฯลฯ

ถ้าจะให้ดี.. การห้ามกายกับวาจาที่ควรทำ คือ ตราบใดที่ยังปิ๊งอยู่ ก็ไม่พบท่านเลย และไม่คุยกับท่านเลย
เพราะเป็นการหมิ่นเหม่ ต่อการสร้างกรรมฝ่ายอกุศลอย่างมาก

ถ้าท่านเป็นพระที่ไม่ดี ก็ควรปล่อยท่านไป ไม่ควรนำมาเป็นภาระกับชีวิตของเรา
.. เราแยกออกไหม ว่าพระไม่ดีเป็นอย่างไร ?

ถ้าพระท่านเป็นพระที่ดี ก็ควรปล่อยให้ท่านศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ให้เต็มกำลังของท่าน
อย่าให้ท่านหวั่นไหว เพราะเราเป็นต้นเหตุ

เปลี่ยนจากรักที่เป็นราคะ – ปรารถนามาเป็นเจ้าของ มาเป็นเมตตา – ปรารถนาให้ท่านมีความสุข
ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติ บรรลุมรรคผลนิพพาน

ถ้ารักจริง ๆ ก็ควรเป็นรักแบบเมตตา
ปรารถนาเห็นความก้าวหน้าในทางที่ดีของบุคคลที่เรารัก

ถ้ารักแบบอยากเป็นเจ้าของ ใจก็เศร้าหมองทันที
ถ้าคิดว่าต้องได้มาเท่านั้นจึงจะสุข ก็ทุกข์ทันทีที่คิดอยาก

แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน ว่าอยู่ด้วยกันแล้วชีวิตจะดีอย่างที่ฝันไว้

แรก ๆ ที่ปิ๊ง อะไร ๆ ก็ดูดี เพราะเรามี “อคติ” มาบังใจ
เบื้องหลังที่เรายังไม่ได้ดู มักมีกิเลสอยู่บานตะไท

รักพระไม่ดี – ชีวีล้มเหลว เพราะพระดีหรือเลวก็ยังแยกไม่ได้
รักพระเลว – ก็เตรียมตกนรก เพราะเขาคิดลามกตั้งแต่ยังไม่สึกออกไป

รักพระดี – ก็เตรียมอกหัก เพราะใจท่านรักแต่พระรัตนตรัย
รักพระดี – ให้ได้บุญ ควรทำใจคุณให้เป็นหนึ่งในรัตนตรัย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙

อุบายพิจารณาโทษกาม

ถาม : เราจะมีอุบายวิธีพิจารณาให้เห็น
โทษของกามได้อย่างไรบ้าง ? ที่นอกจากการตามรู้ตามดูครับ

ตอบ : กาม คือความใคร่ ความอยาก สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่
กามมี ๒ คือ
๑. กิเลสกาม แปลว่า กิเลสที่ทำให้ใคร่
๒. วัตถุกาม แปลว่า วัตถุอันน่าใคร่

กามก็มีคุณเหมือนกันนะ
ที่เรียกกันว่า “กามคุณ ๕”
คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าพอใจ

กามให้คุณ คือให้ความสุข
ที่เรียกกันว่า “กามสุข”
แต่ความสุขทั้งหลายไม่ได้มีเพียงกาม

กามสุขเป็นสุขที่หยาบที่สุด
ยังมีสุขที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป อีกหลายระดับ
ว่าโดยคร่าว ๆ ก็คือ
๑. สุขชั้นกาม ที่เรียกว่า “กามสุข”
๒. สุขชั้นพรหม เรียกว่า “ฌานสุข”
๓. สุขชั้นโลกุตระ เรียกว่า “นิพพานสุข”

ชั้นแรก เมื่อทราบว่า ยังมีสุขที่ประณีตยิ่งกว่า
เราก็จะขวนขวายแสวงหาสุขที่ยิ่งกว่านั้น
เมื่อได้สัมผัสสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นกับตัวบ้าง
ก็จะเห็นโทษของสุขที่หยาบ ๆ ได้ง่ายขึ้น

โทษของกาม มองได้ ๓ มุม คือ
๑. มุมที่มองมาที่ผู้บริโภคกาม
โดยเฉพาะมองมาที่กระบวนการก่อทุกข์ในใจ
คือมองที่กิเลสกาม

เพราะไม่รู้เท่าทัน เผลอพอใจ – ไม่พอใจ
รับรู้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ แล้วสร้างตัณหาขึ้นมา
สั่งสมจนเคยชิน
พอได้สนองตัณหา ก็ติดใจ

รู้สึกว่ามีความสุข
ถ้าไม่ได้ ก็ขัดใจ
ดิ้นรนตะเกียกตะกาย เพื่อให้ได้มา
บ่นรำพึงถึงสิ่งที่เคยมีเคยได้ในอดีต

ครุ่นคำนึงฝันถึงสิ่งที่ปรารถนาในอนาคต
ไม่มีสติรู้สภาวะจริง ๆ ที่เป็นไปในปัจจุบัน

ไม่มีปัญญาเท่าทันความเป็นจริงที่ปรากฏ
แต่ถ้ามีสติปัญญา มองมาดี ๆ
จะรู้ว่า

แค่เพียงมีกามตัณหา ใจก็ทุกข์ขึ้นมาทันทีแล้ว
และยังเป็นปัจจัยให้วงจรปฏิจจสมุปบาท หมุนวนต่อไป ไม่สิ้นสุด
เรียกว่า สั่งสมความพร้อมที่จะทุกข์

๒. มุมที่มองไปที่ตัวกาม ที่เราแสวงหา
คือมองไปที่วัตถุกาม
เราแสวงหาวัตถุกาม ก็หวังจะได้รสของกาม
หวังจะได้ความพึงพอใจจากการเสพ

แต่ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นข้อบกพร่องอยู่มาก
คือมีความสุขให้ชื่นใจนิดเดียว
แต่ให้ทุกข์ให้โทษมากเหลือเกิน
ท่านให้ข้อเปรียบเทียบไว้มากมาย เช่น

– เหมือนสุนัขที่อ่อนเพลียและหิวโหย
มีคนโยนกระดูกเปื้อนเลือดให้
ก็แทะไปจนเหนื่อยอ่อน
ปริมาณก็ไม่เต็มอิ่ม
อร่อยก็ไม่เต็มอยาก

– เหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งกาโฉบมาได้
แร้งกาตัวอื่นเห็น ก็โผเข้ามาแย่ง
รุมจิกตีกัน เพื่อแย่งชิ้นเนื้อนั้น
หมายความว่า กามเป็นของที่คนทั่วไปหมายปอง
เราไม่มีสิทธิ์ขาด

ผู้อื่นแย่งชิงได้
เป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียน ทำร้าย
และทำลายชีวิตกัน

– เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า ที่ถือเดินทวนลม
ก็ได้อาศัยความสว่างบ้าง
แต่ควันไฟที่ลอยมา ก็ทำให้แสบตาแสบจมูก
ถ้าถือไว้ ไม่ปล่อยวาง

ไม่ช้า ไฟก็จะลามมาไหม้มือ
ยังมีข้อเปรียบเทียบอีกมาก
ขอยกมาเป็นตัวอย่างแค่นี้ก่อน

โดยสรุปก็คือ
กามนำสุขมาให้ชั่วครู่
แต่นำทุกข์มาฝังติดอยู่ในใจแสนนาน
คิดถึงสุขที่ผ่านไปในวันวาน
ก็ให้รู้สึกทรมานเสียดายอาลัยอาวรณ์

๓. มุมที่มองด้านความสัมพันธ์ในสังคม
เริ่มตั้งแต่ต้องทนทุกข์ยากในการหางานทำเลี้ยงชีพ
สั่งสมวัตถุเงินทอง
ต้องทนแดดทนฝน ทนหนาวทนร้อน

เหนื่อยยากพากเพียร
ปวดเศียรเวียนเกล้ากับเจ้านายและลูกน้อง
บางทีไม่ทันได้มีกามเต็มตามหวัง ก็ตายไปเสียก่อน
ที่ได้มาบ้าง ก็ลุ่มหลง ตกเป็นทาสมัน

ยกเอาวัตถุกามมาเหยียดหยามกัน
บ้างก็ทะเลาะวิวาทแย่งชิงกามกันก็มากมาย
ที่เข่นฆ่ากันถึงตายก็มากมี

เพื่อนทะเลาะกับเพื่อน
พี่ทะเลาะกับน้อง

ลูกทะเลาะกับพ่อแม่
ญาติทะเลาะกับญาติ
ทะเลาะวิวาทกันถึงระดับชาติระดับโลก
ทำสงครามทำลายชาติบ้านเมืองกัน

ก็ด้วยเหตุแห่งกาม
ถ้ามาฝึกทำฌาน
สุขจากฌานจะประณีตกว่าสุขจากกาม
ท่านเปรียบกามสุขเหมือนสุขของเด็กทารก

ที่เล่นสนุกแม้กับอุจจาระและปัสสาวะของตนเอง
แต่ถ้าทำฌานได้
ก็เหมือนกับเด็กนั้นเติบโตขึ้นมา รู้เดียงสา

ที่สนใจของเล่นใหม่ ๆ
สนุกกับการเล่นตุ๊กตา เล่นรถเด็กเล่น
เล่นหกคะเมน เล่นเกม เล่นกีฬา ฯลฯ

ก็จะยินดีในสุขที่ประณีตกว่า
แต่ก็ยังประมาทไม่ได้
เพราะฌาน ยังอยู่ในระดับโลกิยะ
คือยังเสื่อมได้

และกามนี่แหละ ที่ทำให้เสื่อม
ต้องพัฒนาตน จนสัมผัสสุขในขั้นโลกุตระบ้าง
จึงจะพอวางใจได้
วิธีพัฒนาตน ที่ครูบาอาจารย์ท่านสรุปไว้ให้ ก็คือ

“มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง”
เมื่อพัฒนาตนจนมีปัญญา

มีโลกุตระสุขเต็มภูมิแล้ว
ก็จะไม่วกเวียนกลับมาหากามอีก

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๙

คำว่า จิตถึงฐาน “ฐาน” อยู่ส่วนไหนของร่างกาย ?

ถาม : ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า
คำว่า จิตถึงฐาน.. คำว่า “ฐาน” นี้่อยู่ตรงส่วนไหนของร่างกายคะ ?

ตอบ : ที่ว่า “จิตถึงฐาน” นี่
คำว่า “ฐาน” ในที่นี้ ไม่ใช่กาย
จึงไม่ได้อยู่ส่วนไหนของร่างกาย

แต่เราสามารถใช้กายเป็น “ที่อยู่ชั่วคราว”
เพื่อให้เกิดสภาวะ “จิตถึงฐาน” ได้

เช่น ใช้ลมหายใจเป็นที่อยู่
พอเผลอไปคิด ก็รู้ว่าเผลอ
ขณะที่รู้ว่าเผลอ ก็ได้สติรู้สึกตัว

“รู้” แล้วก็กลับมาที่ลมหายใจอีกครั้ง
ฝึกรู้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

จิตจะคุ้นเคยกับการดูสภาวะที่เป็นนามธรรม
เมื่อไรที่เห็นนามธรรมที่มีลักษณะแบบว่า “จิตไหลไป”
ไม่ว่าจะไหลไปคิด ไปดู ไปฟัง ฯลฯ
จิตจะถึงฐานโดยอัตโนมัติ

“ฐาน” ในที่นี้ ก็คือ “จิต” นั่นเอง
แต่พอบอกอย่างนี้
ก็อย่าไปแสวงหาฐาน
และอย่าไปแสวงหาจิต
จะไม่ถึงฐาน และไม่เจอจิต

การถึงฐาน สำหรับคนฟุ้งซ่านอย่างอาตมา
จะใช้วิธี “รู้ทันว่าจิตไหลไป”

แล้วมันจะถึงฐานของมันเอง
ข้อควรรู้ ที่พึงสังเกต คือ :-
1. ถ้าจิตยังไม่ถึงฐาน อย่าควานหาจิต
ให้รู้เท่าที่รู้ได้

เช่น รู้ว่าเผลอไป เป็นต้น
2. จะเห็นจิตไหล อย่าไปจ้องดู
ให้มันเผลอไปก่อน ไหลไปก่อน
แล้วค่อยตามรู้
แต่ให้รู้ไว ๆ

3. เห็นแล้ว อย่าไปประคอง
ที่ประคอง เพราะรู้สึกว่าสภาวะนี้ดี
อยากให้มีนาน ๆ
แต่พอประคองปุ๊บ ! จิตจะเกินพอดี

พลาดจากภาวะความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
กลายเป็นจิตหนัก ๆ แน่น ๆ
ก็เดินปัญญาต่อไปไม่ได้
แต่ถ้าเผลอไปประคอง ก็ให้รู้ว่าประคอง

คือรู้ตามที่มันเป็น รู้ไปเรื่อย ๆ
จิตถึงฐาน
จะมีลักษณะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จะเบา คล่องแคล่ว ว่องไว

อ่อนโยน นุ่มนวล
ควรแก่การงาน คือควรแก่การเจริญปัญญาเห็นความจริงต่อไป

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 3 ตุลาคม 2559

ทำความสว่างให้เกิดขึ้นกับใจ

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๙

ทำความสว่างให้เกิดขึ้นกับใจ

เวลาเราหลงอยู่เนี่ยนะ ! .. จิตจะมืด เวลามีสติขึ้นมา.. สว่าง
มีบุญกุศลขึ้นมา.. จะแจ่มใส ผ่องใส
จิตเดิมเนี่ยผ่องใส แต่มัวลงไป
มืดลงไปเพราะ.. กิเลสที่จรมา

แล้วมันก็จรมา เหมือนเป็นเจ้าของ.. ไม่ยอมไป
มาแล้วรู้สึกทำเลดี
จิตนี้ทำเลดี ขออยู่ยาว !

ฉะนั้นหน้าที่ของเราที่จะทำให้มันหายไปซะ
“ทำให้เกิดแสงสว่างเกิดขึ้นมาในใจ”
“สติ” เป็นสภาวธรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นมา
“ปัญญา” ก็เป็นสภาวธรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นมา

“สมาธิ” ก็เป็นสภาวธรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นมา
“กุศลธรรมทั้งหลาย” เป็นสภาวธรรม
ที่จิตมีสภาวะที่สว่างขึ้นมา

“ทำความสว่างให้เกิดขึ้นกับใจ นะ ! ”
ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ คอร์สเสียดายตายไปไม่รู้ธรรม
๖-๘ เมษายน ๒๕๕๖

แผ่นซีดี เสียดายตายไปไม่รู้ธรรม๑ 06.หลักการภาวนาฯ-สมมุติ นาทีที่ ๒๔.๐๐-๒๕.๑๙
สามารถดาวน์โหลดรับฟังได้ที่ bit.ly/1TAEgIS

สมาธิที่ดูลักษณะคือลักขณูปนิชฌาน

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๘

สมาธิที่ดูลักษณะคือลักขณูปนิชฌาน

สะสมความรู้ตัว คือสะสมสติ
ทำไมต้องให้สติก่อน .. ?
เพราะว่าสติเนี่ย.. มีทีไรจะรักษาจิตอยู่เสมอ
ไม่ไปเร่งทำสมาธิก่อน

เพราะว่าสมาธิ.. ยังไม่แน่ว่าจะเป็นคนดีหรือเปล่านะ !
พอมีสติขึ้นมาแล้ว.. ถ้ามันยังไม่บรรลุ
แสดงว่ามันขาดส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง คือตัวกำลัง !
ตัวกำลังที่ว่าเนี่ย พูดง่าย ๆ คือขาด “สมาธิ”

แต่พูดง่าย ๆ ว่าขาดสมาธิเนี่ยนะ !
บอกให้ไปทำสมาธิ.. เราก็จะไปทำสมาธิที่ผิด
คือไปเพ่ง !
เพราะเราคุ้นเคยกับการเพ่ง

จึงต้องมาบรรยายว่า.. สมาธิมีสองแบบนะ !
สมาธิแบบเพ่ง
กับ..

สมาธิที่ดูลักษณะ สนใจในลักษณะ
ไอ้สนใจลักษณะที่ว่า ก็คือ “ลักขณูปนิชฌาน”
คือจิตที่ตั้งมั่น

จะเห็นลักษณะของสิ่งต่าง ๆ แสดงความจริงให้ดูว่า
มันไม่เที่ยงบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นอนัตตาบ้าง
ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากธรรมบรรยายเรื่อง “เปิดประตูสู่โลกุตรปัญญา”
วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙

รับฟังเสียงธรรมที่ลิงค์ แผ่นซีดีวิถีธรรม ๑
ไฟล์ 590623 เปิดประตูสู่โลกุตรปัญญา
แทรก 09.สรุป ระหว่างเวลา ๐๒.๑๓-๐๓.๑๓

สามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/2cHW0md

ขอคำแนะนำการวางใจ ของพสกนิกร

ถาม: มีผู้กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า..
“พสกนิกร รักและอาลัยต่อในหลวง ตอนนี้จิตใจเคว้งคว้าง ไร้หลักที่พึ่งพิง
กราบเรียนขอคำแนะนำการวางจิตใจ ของพสกนิกร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. นักภาวนา”

ตอบ : ครูบาอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง
ตอนหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าท่านอยู่ไกล
นาน ๆ จึงจะมีโอกาสไปกราบท่านสักที
พอหลวงปู่มรณภาพ กลับรู้สึกว่าอยู่ในสายตาท่านตลอดเวลา ไม่กล้าขี้เกียจเลย

อาตมาเชื่อว่า ตอนนี้..
เราอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ง่ายกว่าเดิมอีก
เราก็ต้องทำดีทันที เดี๋ยวนี้เลย !
ให้พระองค์ทอดพระเนตรมาเมื่อไร ก็ปลอดโปร่งใจ
ที่เห็นคนไทยครองสติได้

เป็นบุญของพวกเราจริง ๆ ที่ได้เกิดมาร่วมสมัยกับพระองค์
มาเป็นพสกนิกรของกษัตริย์ที่สุดประเสริฐ
สุดปัญญาที่บรรยายให้ทั่วถ้วน
ในส่วนพระคุณของพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ พระองค์นี้

ถ้าจะแสดงความภักดี
ก็ให้นึกถึงหลักทรงงาน ให้มาเป็นแรงบันดาลใจกับเรา

เช่น
เคยรับสั่งว่า “ต้องทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ มิใช่ทำเพื่อหวังผลประโยชน์..
ผลประโยชน์โดยสมบูรณ์ของงาน ก็เป็นรางวัลสูงสุดอยู่แล้ว”

เราก็ทำงานให้ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อหน้าที่การงาน
ทำงานที่สุจริต
เวลาทำก็สนุกที่จะทำและเต็มใจทำ
สังเกตได้ว่า เรามักจะเห็นรอยยิ้มของพระองค์
ก็ตอนทรงงานอยู่กับราษฎร

เราก็ให้มีความสุขกับการทำงานของเรา
ยิ่งงานที่มีประโยชน์ต่อคนหมู่มาก
ก็ยิ่งสุขมาก
สำหรับนักภาวนา
ก็เรียนหลักมามากแล้ว
ก็มีงานที่เหลือคือ นำไปทำ
และทำทันที

แม้จะทุกข์โศก ก็รู้สึกตัวไว ๆ
ไม่ปล่อยใจให้ถลำไปกับอกุศลนาน
งานกรรมฐานก็ทำได้ไม่เว้น แม้ในกรณีนี้
ก็ขอให้มีพระองค์เป็นแรงบันดาลใจ

ทำหน้าที่ของคนไทย
ทำหน้าที่ของพ่อแม่
ทำหน้าที่ของลูก
ทำหน้าที่ของข้าราชการ
ทำหน้าที่ของประชาชน

ทำหน้าที่ของพระ
ทำหน้าที่ของโยม
ทำหน้าที่ของชาวพุทธ

อุทิศถวายรางวัลอันสูงสุดที่เรามี
คือผลงานในหน้าที่ที่สมบูรณ์ แด่พระองค์
มองขึ้นฟ้า ก็แน่ใจได้ว่า พระองค์กำลังยิ้ม..

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙

ขโณ โว มา อุปจฺจคา

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๗

ขโณ โว มา อุปจฺจคา

ขณะอย่าล่วงเลยท่านไป
ขณะหนึ่ง.. ขณะหนึ่ง สภาวธรรมอันหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว อย่าให้มันผ่านไป
สติไปรู้ว่าขณะนี้อะไรเกิดขึ้น กับกายหรือกับใจ
ถ้ารู้ให้ถึงขณะได้ ขณะตรงนั้นมันจะแสดงความจริง

สติที่เห็นสภาวธรรมเป็นขณะ ๆ
จะแสดงความจริงมาชัดเจนว่า.. ไม่มีเรา
เป็นสภาวธรรมแท้ ๆ แต่ละขณะ
เกิด – ดับ เกิด – ดับ อยู่ตรงนั้น
พวกเราต้องเอาให้ถึงขนาดนี้

ขโณ โว มา อุปจฺจคา
ขณะอย่าได้ล่วงเลยเราไป

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๕

แผ่นซีดีบ้านจิตสบาย ๒
ไฟล์ 550610 เกร็ดธรรมวันวิสาขบูชา เวลา ๐๑.๐๗.๒๖-๐๑.๐๘.๔๕
สามารถดาวน์โหลดรับฟังได้ที่ bit.ly/25qAyFw

ร่องรอยตกค้างในใจ

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๖

ร่องรอยตกค้างในใจ

วิธีเติมพลังง่าย ๆ คือ ตัดพลังร้าย ๆ
พลังร้าย ๆ มันจะมาจากไหน ?
มาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และในใจ.. เข้ามา !
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ดีนี่.. มันเกิดขึ้นในใจเรา
หน้าที่ของเราคือ.. รู้มันให้ทัน !
ก่อนที่มันจะส่งกระแสความชั่วร้ายขึ้นมา

ความโกรธ มาทำร้ายเรา
แล้วมันก็ตกค้าง มีร่องรอย..
เวลาครูบาอาจารย์เห็น.. ท่านจะรู้ !
แต่ถ้าเราเจริญสติ เจริญสมาธิ..
มันก็มีร่องรอย.. มีสิ่งที่ดีตกค้าง

มันไม่หายไปไหน ไม่หายไปเลยทันที.. มันมีอยู่ !
ถ้าเรารู้อย่างนี้
เราก็มีหน้าที่สะสมสิ่งดี ๆ
ตัดสิ่งร้าย ๆ

มันก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าได้แสดง
“โอวาทปาฏิโมกข์”
สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ

..เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
บาปไม่ทำ !

ขึ้นชื่อว่าบาปแล้วไม่ทำ รู้ทัน !
ไม่พูดด้วย ไม่เอาด้วย ไม่คบกับมัน
แต่ถ้าสิ่งที่ดี ๆ ให้ขวนขวาย
มีโอกาสมาถึง.. ให้รีบทำ !

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรมจากงานกิจนิมนต์
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕

ไฟล์ 05.บุญให้โอกาส-กิจนิมนต์ฯ๑ปีคุณพ่อสำรวย 551013 แผ่นซีดีเหนือบุญ ๒
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงธรรมได้ที่ bit.ly/1KQywb0

จะ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” มีผลอย่างไรทางธรรม ?

ถาม : อยากเรียนถามว่า การที่มีผู้เขียนว่าจะ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” นี้
มีผลอย่างไรหรือไม่ในทางธรรม ?

คือ แต่ละบุคคลย่อมทำบุญกุศล และกรรม ต่างกรรมต่างวาระกัน

พระองค์ท่านมีบุญบารมีมากล้น ในขณะที่คนธรรมดาอาจมีบุญบ้างกรรมบ้าง
ดังนั้นการที่ประสงค์ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” จะเป็นไปได้อย่างไรหรือไม่ครับ ?
และมีความเหมาะสมหรือไม่ครับ ?

ตอบ : ถ้าผู้ที่เขียนหรือกล่าวอย่างนั้น เขียนหรือกล่าวด้วยความตั้งใจจริง ก็ยอมมีผล
เป็นที่ยอมรับกันว่า พระองค์มีบุญบารมีมากล้น
ก็เป็นความจำเป็นของผู้ที่ประสงค์ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” นั้น ต้องสร้างบุญบารมีให้มาก

เพื่อจะได้รับโอกาสเกิดเป็นข้ารองบาทพระองค์ได้ทันตามประสงค์
ครูบาอาจารย์ที่อาตมาเชื่อว่าเป็นผู้มีปรีชาหยั่งรู้
กล่าวตรงกันว่า

พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ระบุด้วยว่า
“.. พระองค์เคยเกิดเป็นช้างป่าเลไลก์..”
ซึ่งในคัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวว่า จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า ‘พระสุมังคลสัมพุทธเจ้า’

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ให้รายละเอียดอีกว่า
“.. พระองค์ทรงมีกระแสจิตแรงมาก
ฉันเองยังสู้ท่านไม่ได้”
เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ (ในหลวง ร.๙) ปรารถนามานาน

แต่เวลานี้บารมีเป็น ‘ปรมัตถบารมี’
เหลืออีก ๕ ชาติ
และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ
พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญกันมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น ‘วิริยาธิกะ’
ต้องบำเพ็ญถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป
นี่เกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว

‘แสนกัป’ อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ ..”
แม้ไม่ต้องอ้างคำของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

เรื่องที่พระองค์ทรงงานด้วยความวิริยะอย่างยิ่งนี้
เป็นสิ่งพวกเราชาวไทยซาบซึ้งใจกันดี

ฉะนั้น ขอเสนอสิ่งที่พึงตระหนักบางประการ ของผู้ประสงค์ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” คือ
๑. แสดง “ความรักจริง”
ด้วยการนำพระบรมราโชวาทมาทบทวน

เพื่อปฏิบัติให้เกิดผลจริง
พระบรมราโชวาทมีมากมาย
เลือกมาทำจริง ๆ แม้เพียงเรื่องเดียว ก็ย่อมได้ประโยชน์ใหญ่หลวงกับชีวิตและสังคม

เช่น หลักเศรษฐกิจพอเพียง
เราก็มาร่วมกันประหยัด ใช้ชีวิตเรียบง่าย
พึ่งตนเองให้ได้ พึ่งคนอื่นให้น้อย

แสดงความรักความศรัทธาด้วยการปฏิบัติตาม
เหมือนพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย
ที่แสดงออกซึ่งความศรัทธาในพระพุทธองค์
ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง เป็นต้น

พระสงฆ์สาวกเหล่านั้นจึงตามเสด็จพระศาสดา
ไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้

๒. เผื่อแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่นที่ยังทุกข์ เดือดร้อน
พระองค์บุกป่าฝ่าดง ไปช่วยเหลือพสกนิกรในถิ่นกันดาร ด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณา
เป็นพระราชาที่ไม่ติดในความหรูหรา
ทำงานตลอด ๗๐ พรรษา ไม่เคยทอดทิ้งประชาชน
ข้ารองบาททั้งหลาย ก็ไม่ทอดทิ้งกัน

๓. ใช้หลักการทรงงาน “รู้ รัก สามัคคี”
จะทำอะไร ให้หาข้อมูล จนรู้จริงในสิ่งนั้น
พระองค์เสด็จไปหาแหล่งน้ำให้ประชาชน
ลงพื้นที่จริง หาข้อมูลจริง ๆ กับคนในพื้นที่
บางครั้งราษฎรไม่ทันเตรียมตัว ก็มาเข้าเฝ้าถวายข้อมูลทั้งที่ยังนุ่งเพียงผ้าขาวม้าก็มี

ทำงานด้วยความมุ่งดีต่อกัน
และมีใจรักงาน
ดังที่เคยรับสั่งว่า
“.. ต้องทำหน้าที่เพื่อหน้าที่
มิใช่ทำเพื่อหวังผลประโยชน์..
ผลประโยชน์โดยสมบูรณ์ของงาน
ก็เป็นรางวัลสูงสุดอยู่แล้ว..”

การทำงานต่าง ๆ ก็ย่อมมีปัญหาและข้อขัดแย้งบ้าง
การขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ถ้ายังอยู่บนหลักการของความสามัคคี
เหมือนผ้าที่ทอมาเป็นผืน
เส้นด้ายทั้งหลายต้องขัดกัน

มีทั้งแนวตั้งแนวนอน
แต่ขัดกันอย่างมีระเบียบ และสามัคคี
ทุกคนทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
เข้าใจหน้าที่กันและกัน
ไม่ติดในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วมาพลอยเสียเรื่องใหญ่
ไม่อาฆาตจองเวร ไม่เหยียบย่ำซ้ำเติม
ถนอมน้ำใจกัน ให้อภัยกัน

ประเดี๋ยวไปไม่ทันพระองค์
มัวแต่ตกนรกอยู่แถวนี้นี่เอง

๔. เพราะในหลวง ร.๙ ปรารถนาพุทธภูมิ มุ่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต
เราจึงจะต้องใส่ใจคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันด้วย
เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์.. สอนเรื่องเดียวกัน
คือเรื่องทุกข์
เหตุให้เกิดทุกข์
ความพ้นทุกข์
และข้อปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์

ศึกษาแล้วนำมาปฏิบัติ ทั้งสมถะและวิปัสสนา ให้เต็มความสามารถ
ช่วงที่พระองค์ทรงงานหนัก แต่ก็ยังมีเวลาภาวนา
และภาวนาได้ผลดีด้วย
พวกเราไม่น่าจะมีใครงานหนักเกินท่าน
ฉะนั้น ก็ไม่น่าจะมีข้ออ้างว่าไม่มีเวลา
ไม่ต้องกลัวว่าจะบรรลุธรรมไปก่อน

เพราะถึงอย่างไร ความประสงค์ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” ก็จะกระตุ้นเตือนใจให้ยั้งรอไว้
๕. เมื่อพระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ชาตินั้นย่อมเป็นชาติสุดท้าย
และจะไม่ปรากฏพระบาทให้เราได้รองต่อไปอีก
เหลือเพียงพระธรรมให้เราได้เข้าถึงเท่านั้น
จึงควรทำความคุ้นเคยกับพระธรรมนับแต่บัดนี้

สรุปว่า ไม่เป็นเรื่องเสียหายถ้าจะตั้งใจเช่นนั้น
แต่พึงตระหนักใน ๕ ประเด็นดังกล่าว
อย่างน้อย ๆ ..
สังสารวัฏก็ไม่ยืดยาวจนไร้จุดหมาย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙

ไม่เห็นของจริงก็ไม่เกิดมรรคผล

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๕

ไม่เห็นของจริงก็ไม่เกิดมรรคผล

พอศึกษาเรื่องการเจริญสติ
มันต้องรู้จริง ๆ ไม่ใช่ประคองเอาไว้
พอเจริญสติแบบอยากรู้ความจริง..
มันต้องปล่อยไอ้ที่ประคองเอาไว้ ที่เพ่งเอาไว้

ไอ้ที่แทรกแซงอยู่นะ.. ต้องปล่อย !
ปล่อยให้มันแสดงความจริง
จะมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ไม่บังคับใจตนเอง
จะต้องดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้
พระในวัดทักเลย

“ท่านกฤช เดี๋ยวนี้ท่านเป็นอย่างไร ?
ปฏิบัติผิดหรือป่าว ? ทำไมขี้โกรธ ?”
มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งคือ.. ต้องใช้หนี้ !
เราไปเพ่งไว้เยอะ ไปบังคับเอาไว้เยอะ

พอมันปลดปล่อยไอ้แรงบังคับนั้น
มันเหมือนว่าเรากดลูกบอลลงในน้ำ
พอเราปล่อยมา มันก็จะเด้งขึ้นมา
ไอ้ที่ปล่อยใหม่ ๆ สติเราก็ยังไม่ดี
แต่เราจะปล่อย จะดูของจริงแสดงแล้ว

แต่สติยังตามไม่ทันแท้ ๆ เนี่ย
มันก็จะมีโกรธขึ้นมาแล้ว และคนอื่น ๆ จับได้
มันต้องจับได้แน่ ๆ เพราะมันจริงแท้เลย
ถ้าเมื่อก่อนแสดงว่า.. เรานั้นเป็นคนดี เพราะเราประคองเอาไว้

แต่พอเราเจริญสติ ให้เห็นของจริงคือ.. ปล่อย !
ความเลวจะปรากฏ
ถ้าผ่านการประคองมา ขั้นการเจริญสติต้องปล่อยให้เห็นความจริง
ช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤตเลยที่ต้องทนไปให้ได้

เพราะความจริงกำลังปรากฏเลยว่า..
ขี้โกรธ หงุดหงิด ฟุ้งซ่านอะไรอย่างนี้
ใครราคะมาก ก็จะราคะขึ้นมาเลย !
ถ้าไม่รักษาศีล.. มันอันตรายมากเลย !
ฉะนั้นต้องรักษาศีลไว้

ตัวที่ต้องทำสม่ำเสมอคือ.. รักษาศีล
“สีลสิกขา” เนี่ยต้องรักษาเอาไว้ !
ถ้ากดเอาไว้.. ก็เป็นคนดี.. แต่ไม่เห็นของจริง
ไม่เห็นของจริง.. ก็ไม่ฉลาด
ไม่ฉลาด.. ก็ไม่เกิดมรรคผล

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ บจก.โตโยต้าชัยรัชการ
วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๙

ไฟล์ 590312_ปัญญาเข้าใจโลก 10.คำถาม-ทำไมจึงไม่ให้แทรกแซง
ระหว่างเวลา ๐๖.๐๖- ๐๘.๒๖

สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังได้ที่
http://bit.ly/1UQ0Mho

เห็นสภาวะไม่ตั้งมั่นขณะนั้นตั้งมั่นแล้ว

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๔

เห็นสภาวะไม่ตั้งมั่นขณะนั้นตั้งมั่นแล้ว

มีสติ คือ รู้ว่าจิตมัน “เผลอไป”
ถ้ารู้ว่าคิด “เรื่องอะไร” ..นั่น.. เผลอไปแล้ว !
เผลอไปคิด.. รู้ว่า “เผลอ” ..ขณะนี้มีสติ
แต่ถ้าทำบ่อย ๆ มีทักษะขึ้นมา
มันจะเห็นตอนที่ออกจากจุดวิหารธรรมนี้.. มีการไหลไป

ตอนที่มันไหลไป.. ตอนที่เห็นสภาวะอันนั้น
เรียกว่าเห็นสภาวะที่มัน “ไม่ตั้งมั่น”
ตอนเห็นสภาวะที่ไม่ตั้งมั่น เกิดความตั้งมั่นขึ้นมา
เพราะขณะนั้นเห็นใจ ไม่ได้เห็นสิ่งที่คิด
จิตตั้งมั่นชั่วขณะ.. ในขณะที่เห็นนั้น !

ไม่ต้องไปทำความตั้งมั่นให้เกิดขึ้น
เพียงแต่เห็น “ความไม่ตั้งมั่น” ..ก็เกิดความตั้งมั่นเองอัตโนมัติ
ไม่ต้องทำความไม่หลง

รู้ทันความหลง.. ได้สติ
รู้ทันตอนที่มันไหลไป.. ได้สมาธิ
ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ คอร์สเสียดายตายไปไม่รู้ธรรม
วันที่ ๖-๘ เมษายน ๒๕๕๖

รับฟังเสียงธรรมที่ลิงค์แผ่นซีดี เสียดายตายไปไม่รู้ธรรม๑
แทรก 05.หลักการภาวนาฯ นาทีที่ ๒๕.๔๐-๒๘.๐๐

สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ http://bit.ly/24Jgy0D

เราเรียก “อริยสงฆ์” ในพระที่ปฏิบัติดีได้ไหม

ถาม : นมัสการเจ้าค่ะ… ถ้าเราเลื่อมใสพระองค์ใดที่ท่านปฏิบัติดี
เราเรียก “อริยสงฆ์” ได้ไหมเจ้าคะ

ตอบ : พระอริยสงฆ์ ไม่ได้ตัดสินว่าเป็นหรือไม่เป็นด้วยความเลื่อมใสของเรา
แต่ตัดสินกันที่จิตท่าน ว่าละสังโยชน์ไปได้มากน้อยแค่ไหน
สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี 10 อย่าง คือ

ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่

1. สักกายทิฐิ – มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา
2. วิจิกิจฉา – มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
3. สีลัพพตปรามาส – ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย

4. กามราคะ – มีความติดใจในกามคุณ
5. ปฏิฆะ – มีความกระทบกระทั่งในใจ

ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่

6. รูปราคะ – มีความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
7. อรูปราคะ – มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
8. มานะ – มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือคุณสมบัติของตน
9. อุทธัจจะ – มีความฟุ้งซ่าน
10. อวิชชา – มีความไม่รู้จริง

พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้ คือ หมดสักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
พระสกทาคามี ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้ และทำสังโยชน์ข้อ 4 และ 5 คือ กามราคะและปฏิฆะ ให้เบาบางลงด้วย
พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อแรกได้หมด
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

บุญที่ทำพร้อมเพรียงกัน.. มีกำลังมาก

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๓

บุญที่ทำพร้อมเพรียงกัน.. มีกำลังมาก

เมื่อจิตใจของคนทั้งหลาย น้อมนำเข้าสู่จุด ๆ เดียว
“บูชาพระรัตนตรัย”
เปล่งเสียงด้วยจิตนอบน้อม
พลังงานเปลี่ยน จิตใจเปลี่ยน
เพราะ.. มีจิตที่เป็นกุศล

นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ด้วยจิตที่มีศรัทธา นอบน้อมบูชา
แล้วทำพร้อมเพรียงกันด้วย
บุญที่ทำพร้อมเพรียงกัน.. มีกำลังมาก

เวลาทำบุญพร้อมกันใหญ่ ๆ หลาย ๆ คน เป็นบุญที่ใหญ่
เวลาจะอุทิศให้ใคร.. มีกำลังมาก
เวลาทำผิดพลาดอะไรไปกับใคร
นึกถึงคนที่เราล่วงเกินนะ !

แล้วก็ให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ที่เราเคยล่วงเกิน..
มาอนุโมทนา
จะมีโอกาสได้ผลมาก

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ คอร์สเสียดายตายไปไม่รู้ธรรม
๖-๘ เมษายน ๒๕๕๖

แผ่นซีดี เสียดายตายไปไม่รู้ธรรม ๑
05.หลักการภาวนาให้เกิดสติและปัญญา นาทีที่ ๐๐.๐๑-๐๑.๔๙
สามารถดาวน์โหลดรับฟังได้ที่ bit.ly/24Jgy0D

ภพทั้งหลายล้วนเป็นที่พึ่งไม่ได้

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๒

ภพทั้งหลายล้วนเป็นที่พึ่งไม่ได้

เพ่งอยู่..
ถ้าทำได้นะ.. ก็จะไปเป็น ‘พระพรหม’
เป็นภพ ๆ หนึ่ง
ที่มีสติ มีสมาธิ มีความเพ่ง
ที่เผลอเพลินไป..

ถ้าเผลอเพลินเป็นกุศล.. ก็อยู่เป็น ‘เทวดา’
เผลอเพลินเป็นอกุศล.. ก็ลง ‘นรก’ ไป
ทั้งหมดนี้เป็นภพ – ที่อยู่.. ที่พึ่งไม่ได้ !
จิตมันจะเห็นว่า..
ทั้งหมดทั้งมวลนี้.. เป็นที่อยู่ที่เอาแน่ไม่ได้

เห็นโทษเห็นภัย..
ไม่หวังพึ่งพวกนี้
หวังพึ่งไม่ได้อีก
มีแต่จะพ้นตรงนี้ไป

เกิดความเบื่อหน่าย
เห็นโทษเห็นภัยของภพ
แต่มันยังไปไม่พ้น !
จนกว่าจะเกิดสติ ‘เห็นสภาวะ’ อย่างนี้บ่อย ๆ
จนเห็นว่า.. มันก็แค่นี้ !
ดิ้นรนไปทางไหนก็ไม่ได้ !

จนไม่ดิ้นรนแล้ว..
จนวางจิตเป็นกลาง
เรียกว่า “สังขารุเบกขาญาณ”
ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ ฐณิชาฌ์รีสอร์ท อัมพวา
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘

รับฟังเสียงธรรมที่ลิงค์
แผ่นซีดีวิถีธรรม 580719 เป็นไง..สงบไหม?
แทรก11. คำถาม-เห็นจิตรวบจิตเพ่งแล้ว ทำอย่างไรให้หาย เวลา ๐๒.๓๔-๐๓.๔๒

ดาวน์โหลดเสียงธรรมที่ http://bit.ly/2cjbMBl