All posts by gade

ผู้หญิงถวายของพระ โดยไม่มีผู้ชายอยู่ด้วยได้ไหม

ถาม : หนูเข้าไปถวายของพระ ที่นั่งอยู่รูปเดียว โดยมีเพื่อนผู้หญิงไปด้วยกันเป็นกลุ่ม ได้ไหมคะ ?

ตอบ : มีวินัยของพระภิกษุ ห้ามไม่ให้นั่งอยู่ในที่ลับหู – ลับตากับผู้หญิง

ที่ลับหู คือ สถานที่ที่คนอื่นมองเห็นได้ แต่ไม่ได้ยินเสียงพูดคุย
ที่ห้าม เพราะอาจจะพูดเกี้ยวพาราสี หรือพูดในเชิงชู้สาวกันได้

ที่ลับตา คือ สถานที่ที่มีสิ่งกำบัง
เช่น ในห้องที่ปิด หรือไม่ปิด แต่มีผนังบัง

ที่ห้าม เพราะอาจถูกเนื้อต้องตัวกัน กระทั่งมีเพศสัมพันธ์กันได้
แม้ยังไม่ได้ทำอะไรกัน แต่เพียงนั่งอยู่ในที่เช่นนั้น พระภิกษุก็มีอาบัติ
เว้นแต่มี “ผู้ชายที่รู้ความ” นั่งอยู่ด้วย

ผู้หญิงไม่ว่าจะกี่คน ก็ป้องกันอาบัติไม่ได้
แม้เป็นผู้ชายที่ไม่รู้ความ
เช่น เป็นเด็กทารก ไร้เดียงสา หรือเป็นผู้ชายต่างชาติที่ไม่รู้ภาษา ก็ป้องกันอาบัติไม่ได้เช่นกัน

ฉะนั้น คำตอบสำหรับข้อนี้ คือ
ถ้าพระท่านอยู่รูปเดียว แล้วกลุ่มเรามีแต่ผู้หญิง
ก็ควรหา “ผู้ชายที่รู้ความ” ไปเป็นเพื่อน

หรือรอให้ท่านหา “ผู้ชายที่รู้ความ” มาเป็นเพื่อนก่อน
อาจจะนิมนต์พระหรือสามเณรก็ได้
ให้ช่วยกันรักษาพระวินัยในส่วนนี้ เพื่อ

– ป้องกันอันตรายจากการกระทำที่ไม่ดีไม่งาม ระหว่างพระภิกษุกับผู้หญิง
คือ ป้องกันทั้งพระ ป้องกันทั้งโยม
– แม้ไม่มีอะไรกัน ก็ป้องกันคำครหานินทาต่าง ๆ
(ถึงเป็นแม่ ก็ป้องกันอาบัติไม่ได้)

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 19 กันยายน 2559

ปั้นแต่งให้ดูดีเพื่อหลอกตัวเองและผู้อื่น

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๑

ปั้นแต่งให้ดูดีเพื่อหลอกตัวเองและผู้อื่น

ทำวิปัสสนาคือ ..รู้ตามจริง
รู้ตามจริงหมายความว่าอย่างไร ?
รู้ตามจริงคือ..
มันดี.. ก็รู้
มันไม่ดี.. ก็รู้
มันสงบ.. ก็รู้
ไม่สงบ.. ก็รู้

ถ้าจะรู้แต่ความสงบ
เลือกจะไม่รู้ความไม่สงบ
แสดงว่า ‘เรากำลังปฏิเสธความจริง’
ตอนที่มันแสดงความจริงว่า “ไม่สงบ” ออกมา เราก็ไม่ยอมรู้
อยากรู้เฉพาะตอนที่มันสงบ
อยากเห็นตัวเองตอนที่มัน ‘เป็นคนดี’ เท่านั้นเอง !

อย่างนี้เรียกว่า..
เลือกดูเฉพาะตอนที่เราต้องการ
เราก็จะไม่เห็นความจริง
พยายาม ‘ปั้น’ ให้มันดี.. แล้วค่อยดู !
เราก็จะไม่เห็น “ความจริง” เลย

เรา ‘เลือก’ ที่จะหลอกตัวเอง
แล้วหลอกตัวเองได้ ก็ไปหลอกคนอื่นต่อ !

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท อัมพวา
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘

รับฟังเสียงธรรม และนิทานกบสองตัว
ได้ที่ไฟล์ 580719_เป็นไง สงบไหม Track 02.คนขี้โกรธ
ระหว่างเวลา ๐๗.๔๔- ๐๘.๓๓

สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ลิงค์ http://bit.ly/2bcW1di

เกิดมาทำไม

ถาม : ลูกผมเค้าถามว่า ..เรื่องบุญเรื่องกรรม มีจริง เค้าเชื่อ
แต่สงสัยว่าสิ่งมีชีวิตสิ่งแรก เช่น มนุษย์คนแรก หรือปลาตัวแรก หรือนกตัวแรก เกิดมาทำไม ?
ถ้าไม่เกิดก็จะไม่มีต่อ ๆ กันมา ก็ไม่ต้องมีบุญหรือกรรม
แล้วถ้าว่าเกิดเป็นนั่นเป็นนี่จากผลบุญผลกรรม แล้วคน ๆ แรกทำไมเกิดเป็นคน ไปเอาบุญกรรมที่ไหนมากำหนด ?

ตอบ : คำถามทำนองนี้ ตรงกับ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น “อจินไตย”
อจินไตยนั้นแปลว่า ไม่ควรคิด มี ๔ อย่าง คือ
๑. พุทธวิสัย
๒. ฌานวิสัย
๓. กัมมวิบาก
๔. โลกจินตา

พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้า
ฌานวิสัย คือ วิสัยของผู้ได้ฌาน
กัมมวิบาก คือ ผลจากกรรม
โลกจินตา คือ ความคิดเรื่องโลก
ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิด

ผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
เช่น เรื่อง พุทธวิสัย
ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า แม้จะคิดถึงอานุภาพของพระสัพพัญญุตญาณ
คิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธองค์

พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะให้รู้เท่าวิสัยของพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นไปไม่ได้เลย
เรื่อง ฌานวิสัย
ผู้ที่ไม่ได้ฌาน แม้จะคิดเท่าไร ก็คิดไม่ออกว่า
ทำไมผู้ที่ได้ฌาน ได้อภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ เหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น
ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้น ๆ เท่านั้น จึงจะรู้ได้

เรื่อง กัมมวิบาก
คนปกติย่อมไม่อาจรู้ชัดว่า วิบากที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นผลมาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อไร ชาติไหน
คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก

พระพุทธองค์ทรงมีกัมมวิปากญาณ ญาณหยั่งรู้ผลของกรรม
สามารถกำหนดแยกการให้ผลอย่างสลับซับซ้อนระหว่ากรรมดีกับกรรมชั่ว ที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ
มองเห็นรายละเอียดและความสัมพันธ์ภายในกระบวนการก่อผลของกรรมอย่างชัดเจน

เรื่อง โลกจินตา
เช่น คิดว่าใครสร้างโลก ใครสร้างพระจันทร์ – พระอาทิตย์
มนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ เกิดมาได้อย่างไรเมื่อครั้งแรกสุด โลกจะแตกเมื่อไร
คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์

แม้จะมีคนมาตอบให้ ก็ยังเป็นเหตุให้สงสัยต่อไปได้
เพราะไม่อาจนำมาพิสูจน์ได้

หลวงพ่อปราโมทย์เคยเล่าให้ฟัง
เรื่องที่มีคนไปร้องไห้ระบายทุกข์กับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
แล้วถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ ! หนูเกิดมาทำไม ? ทำไมหนูต้องเกิด ?”
หลวงปู่ตอบว่า “เพราะไม่รู้”
โยมคนนั้นอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วถามกลับไปว่า
“หลวงปู่ไม่รู้ .. แล้วใครจะรู้ !”
เรียกว่า แม้จะได้รับคำตอบแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ

พระพุทธองค์จึงเตือนว่า
สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าจะสั่งสมสติปัญญาบารมี ให้ได้ความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อจะได้ไม่ติดข้องในเรื่อง “อจินไตย” เหล่านี้

ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปทีเดียว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ควรคิดถึงเรื่อง “อจินไตย” เหล่านี้
เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะรู้ได้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
มีแต่จะเพิ่มโทษ คือได้กิเลสเพิ่มขึ้น

ใจก็ฟุ้งซ่านหาคำตอบ
ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ ก็หงุดหงิด
ครั้งหนึ่ง นายบ้าน ชื่อ คันธภัก ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดแสดงความเกิด และความดับแห่งทุกข์แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“แน่ะท่านนายบ้าน ถ้าเราแสดงความเกิดขึ้นและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน
โดยอ้างกาลส่วนอดีตว่า ‘ในอดีตกาล ได้มีแล้วอย่างนี้’
ความสงสัยเคลือบแคลงในข้อนั้น ก็จะมีแก่ท่านได้

ถ้าเราแสดงความเกิดขึ้นและความอัสดงแห่งทุกข์แก่ท่าน โดยอ้างกาลส่วนอนาคตว่า
‘ในอนาคตกาล จักเป็นอย่างนี้’
ความสงสัย ความเคลือบแคลง ก็จะมีแก่ท่านแม้ในข้อนั้นได้อีก

ก็แล ท่านนายบ้าน เรานั่งอยู่ที่นี่แหละ
จักแสดงความเกิดขึ้นและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน
ผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้เหมือนกัน”

พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมาย และสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จะนำมาใช้ปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริงได้
เกี่ยวข้องกับชีวิต การแก้ไขปัญหาชีวิต และการลงมือทำจริง ๆ
ส่วนสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แม้เป็นความจริง ก็ไม่สอน
ไม่ทรงสนับสนุนการพยายามเข้าถึงสัจธรรมด้วยวิธีครุ่นคิด
หรือถกเถียงหาเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาทางอภิปรัชญา ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์

ใครจะกล่าวว่า “ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตอบปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ตราบใด
ข้าพเจ้าก็จะไม่ประพฤติพรหมจรรย์ (คือไม่ปฏิบัติธรรม) ในศาสนาของพระองค์ ตราบนั้น”
พระพุทธองค์ก็จะไม่พยากรณ์ปัญหาข้อนั้นเลย
และบุคคลนั้นก็คงตายไปเสียก่อนเป็นแน่

มีข้อความอุปมาที่น่าสนใจ ใน จูฬมาลุงกโยวาทสูตร
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
ว่าดังนี้
“เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ ที่อาบยาไว้อย่างหนา
มิตรสหาย ญาติสาโลหิตของเขา ไปหาศัลยแพทย์ผู้ชำนาญมาผ่า

บุรุษผู้ต้องศรนั้นกล่าวว่า
‘ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักคนที่ยิงข้าพเจ้า ว่าเป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ หรือเป็นศูทร
มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรว่าอย่างนี้
ร่างสูง เตี้ย หรือปานกลาง ดำ ขาว หรือคลํ้า
อยู่บ้าน นิคม หรือนครโน้น

ข้าพเจ้าจะยังไม่ยอมให้เอาลูกศรนี้ออก ตราบนั้น;
ตราบใด ข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่า ธนูที่ใช้ยิงข้าพเจ้านั้น เป็นชนิดมีแล่ง หรือชนิดเป็นเกาทัณฑ์
สายที่ใช้ยิงนั้น ทำด้วยปอ ด้วยผิวไม้ไผ่ ด้วยเอ็น ด้วยป่าน หรือด้วยเยื่อไม้

ลูกธนูที่ใช้ยิงนั้น ทำด้วยไม้เกิดเอง หรือไม้ปลูก
หางเกาทัณฑ์ เขาเสียบด้วยขนปีกแร้ง หรือนกตะกรุม หรือเหยี่ยว หรือนกยูง หรือนกสิถิลหนุ

เกาทัณฑ์นั้น เขาพันด้วยเอ็นวัว เอ็นควาย เอ็นค่าง หรือเอ็นลิง
ลูกธนูที่ใช้ยิงเรานั้น เป็นชนิดไร
ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้เอาลูกศรออก ตราบนั้น’

“บุรุษนั้น ยังไม่ทันได้รู้ความที่ว่านั้นเลย
ก็จะต้องตายไปเสียโดยแน่แท้…”
สิ่งที่ควรคิด ควรพิจารณา คือ
การศึกษาความจริงของสภาวะที่เป็นอยู่ในขณะนี้
มีสติรู้สิ่งปรากฏจริงที่กายที่ใจ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง

สงสัย ก็รู้ว่าสงสัย
รำคาญใจ ก็รู้ว่ารำคาญใจ
ความจริงที่เป็นประโยชน์
เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
และทำให้เกิดปัญญาพ้นทุกข์

ปรากฏในปัจจุบันนี้เท่านั้น
ไม่ได้อยู่ในอดีตหรืออนาคต อันนานไกลโพ้นโน้นเลย.

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 22 สิงหาคม 2559

เวทนานุปัสสนา ดูอะไรครับ

ถาม : เวทนานุปัสสนา ดูอะไรครับ
ดูเวทนาขันธ์ หรือดูเวทนา ?
ดูเวทนาขันธ์ – เห็นไตรลักษณ์, ดูเวทนาความเจ็บปวด ???
จะเห็นไตรลักษณ์ ..แสดงว่าความเจ็บปวดหายไป..
ที่สงสัยคือ มันหายได้อย่างไร ?
หรือว่ามีการขยับเล็ก ๆ ที่เราไม่รู้ หรือว่าใจที่ว่าไว้ (เวทนาขึ้นลงบ่อย ๆ จนวางลงได้)
กราบนมัสการครับ

ตอบ : เวทนา มีคำแปลในทางวิชาการจริง ๆ ว่า การเสวยอารมณ์ เป็นความรู้สึกถึงรสของอารมณ์
หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ความรู้สึก มี ๓ อย่าง คือ
๑. สุขเวทนา ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกทุกข์ ลำบาก เจ็บปวด ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุข คือเฉย ๆ จะสุขก็ไม่ใช่ จะทุกข์ก็ไม่ใช่
บางทีก็เรียกว่า อุเบกขาเวทนา

เวทนา :-
– มีลักษณะเป็น ความเสวย
– มีกิจหน้าที่ คือ การบริโภคร่วมซึ่งรสแห่งอารมณ์
– มีอาการที่ปรากฏ เป็นสุขและทุกข์
– มีเหตุให้เกิด คือ ผัสสะ

ผัสสะ คือความกระทบอารมณ์
เช่น ตา + รูป + จักขุวิญญาณ = จักขุสัมผัส ความกระทบอารมณ์ทางตา เป็นต้น
เพราะผัสสะมี เวทนาจึงมี

คือไม่ว่าจะมีจิตหรือวิญญาณเกิดขึ้นขณะใดก็ตาม ก็จะมีเวทนาคือความรู้สึก เกิดร่วมด้วยเสมอ
คือ ไม่สุขก็ทุกข์ หรือไม่ก็เฉย ๆ

แต่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่ใช่จิต เป็นเพียงธรรมที่ประกอบกับจิต
คือเป็นสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่ง ที่ภาษาบาลีใช้ศัพท์ว่า เวทนาเจตสิก
จิตหรือวิญญาณก็เป็นสภาพที่รู้อารมณ์เท่านั้น แต่ความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นเรื่องของเวทนา
เช่น มีความสุขในขณะฟังพระบรรยายธรรม

ในกรณีนี้ จิตทำหน้าที่รับรู้เสียง
ส่วนความรู้สึกสุข เป็นเวทนา
แต่เวทนาก็เกิดเพราะเสียงบรรยายนั้นแหละ จึงบอกว่า เวทนามีการบริโภคร่วมซึ่งรสแห่งอารมณ์
เวทนามี ๓ ก็จริง

แต่ในทางปฏิบัติ เราจะพบว่า อาการที่ปรากฏที่จะเจริญสติดูเวทนาได้ง่ายหน่อย ก็คือ สุขและทุกข์
ดูเวทนาจึงไม่ใช่ดูเฉพาะความเจ็บปวดที่เป็นทุกข์ทางกายเท่านั้น
เพียงแค่ส่วนมาก เวลาสุขก็มักจะเพลิน ลืมดู
เวทนาที่เป็นทุกข์จึงทำให้มีสติง่ายกว่า

สภาวะทุกอย่างแสดงไตรลักษณ์อยู่เสมอ แต่จิตที่ไม่มีสติปัญญามากพอ ก็จะมองไม่เห็น
สุขและทุกข์ ก็เป็นสภาวะที่เป็นเวทนา ก็ย่อมแสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
เช่น เจ็บปวดนิดหน่อย แล้วค่อย ๆ เจ็บปวดมากขึ้น นี่ก็แสดงไตรลักษณ์แล้ว
หรือเจ็บปวดมาก แล้วระดับความเจ็บปวดลดลง นี่ก็แสดงไตรลักษณ์แล้วเช่นกัน

และไม่ได้หมายความว่า ..เมื่อมีสติรู้เวทนาความเจ็บปวดแล้ว เวทนาความเจ็บปวดจะหายไป ..ไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะเวทนาความเจ็บปวดไม่ใช่กิเลส แต่เป็นวิบากที่เกิดจากผัสสะ
จะให้เวทนาความเจ็บปวดหาย ก็ต้องไปแก้ที่เหตุ
เช่น หลีกเลี่ยงผัสสะนั้น หรือไปหาหมอ เป็นต้น

แต่ถ้ามีเวทนาความเจ็บปวด แล้วจิตใจกระวนกระวาย หงุดหงิด มีโทสะ
ถ้ามีสติเห็นความกระวนกระวาย เห็นความหงุดหงิด หรือเห็นโทสะ
ความกระวนกระวาย ความหงุดหงิด หรือโทสะนั้น จึงจะดับ

ถ้ามองในแง่ชีวิต ที่มีส่วนประกอบ ๕ อย่าง ที่เรียกกันว่า ขันธ์ ๕
เวทนาทั้งหลายก็เป็นส่วนประกอบขันธ์หนึ่งในฝ่ายนามธรรม
ขณะที่เราเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราก็ดูเวทนาที่เป็นขันธ์นี่แหละ
ตอนที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน เมื่อกระทบอารมณ์แล้ว ก็เป็น “เราสุข” “เราทุกข์”

– เมื่อกระทบอารมณ์แล้วเราสุข ก็ชอบ มีตัณหา อยากเสวยอารมณ์นั้นอีก
– เมื่อกระทบอารมณ์แล้วเราทุกข์ ก็ไม่ชอบ มีตัณหา อยากเสวยอารมณ์อื่น หรือไม่ก็มีตัณหา
อยากพ้นไปจากอารมณ์นั้น

แต่ขณะที่มีสติ จะเห็น “ความสุข” “ความทุกข์” คือเห็นเป็นสภาวะ
ทั้งความสุขและความทุกข์ ก็เป็นเพียงสิ่งๆหนึ่ง ให้สติไปรู้
รู้ครั้งแรก ๆ จิตก็จำ ซึ่งการจำนี้ สัญญาก็ทำหน้าที่เอง
รู้เวทนาบ่อย ๆ สัญญาก็ทำหน้าที่บ่อย ๆ จิตก็จำได้แม่นขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ที่จะเจริญสติเห็นเวทนาได้ผลดี ควรเป็นผู้ที่มี “ตัณหาจริต – ปัญญากล้า” ด้วย
อย่างไรก็ตาม ขอให้สังเกตพุทธพจน์ในตอนท้ายของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีข้อความว่า

“…อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่.”

คือ มีเวทนาอะไรก็ได้ ก็รู้ไปตามนั้น
ไม่ใช่รู้ทุกข์เพื่อเปลี่ยนให้เป็นสุข
มีทุกข์ ก็รู้ไปซื่อ ๆ
แต่ถ้าขัดใจ อยากให้ทุกข์หายไป แสดงว่ามีตัณหา ก็ให้รู้ทันตัณหาที่เกิด

มีสุข ก็รู้ไปซื่อ ๆ
แต่ถ้าติดใจ อยากให้สุขนาน ๆ ก็แสดงว่ามีตัณหาเช่นกัน ก็ให้รู้ทันตัณหานั้นด้วย
พระอรหันต์รับรู้ และเสวยอารมณ์ทั้งหลายด้วยจิตที่เป็นอิสระ เพราะมีปัญญารู้เท่าทันธรรมชาติของมัน
การมีเวทนาแต่ละครั้งจึงไม่มีกิเลสมาครอบงำ

ไม่มีตัณหาทั้งในแง่บวกและแง่ลบ
คือ ไม่ยินดี – ไม่ยินร้าย ไม่ติดใจ – ไม่ขัดใจ
จึงไม่ปรุงแต่งภพใด ๆ ขึ้นมาอีก

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 13 สิงหาคม 2559

แก้เพ่ง ด้วยการนั่งยิ้ม รู้ตัวสบาย ๆ

วรรคทอง..วรรคธรรม #๘๐

แก้เพ่ง ด้วยการนั่งยิ้ม รู้ตัวสบาย ๆ

ลองนั่งยิ้มก่อน !
ไม่ต้องคิดว่า ‘ฉันกำลังจะทำสมาธิ’
นั่งยิ้ม แล้วก็รู้ตัวสบาย ๆ ไม่เพ่งจุดไหน
แล้วพอมันมีอะไรผิดจากนี้.. ให้รู้ทัน !

เช่น ‘กูจะนั่งไปทำไมวะ ?’
ไอ้ ‘กูจะนั่งไปทำไมวะ’ เนี่ย คือ..
ความปรุงแต่งทางนามธรรม.. คือทางจิต
มันไม่ใช่นั่งเฉย ๆ
มันมีความปรุงแต่งว่า..

‘กูจะนั่งไปทำไมหว่า ?’
ก็รู้ทันว่า.. มีสิ่งแปลกปลอม คือ ‘ความคิด’ เกิดขึ้น
อันนี้คือ ‘เผลอคิด’
เราจะไม่ห้ามว่า.. จงอย่าคิด !
นั่งไปเรื่อย ๆ นั่งอีก.. นั่งไปเรื่อย ๆ

.. ‘ถูกหลอกหรือเปล่าหว่า ?’
ก็มีความคิดขึ้นอีก มีความปรุงแต่งขึ้นอีก
ไม่ห้ามเลยว่ามันจะมีอะไร
รู้ทันว่า.. มีสิ่งหนึ่งที่ผิดไปจากการนั่งรู้ตัวเฉย ๆ

‘นั่งสบาย ๆ’ .. เป็น “ที่อยู่”
เพื่อเทียบว่า.. ความเผลอเป็นอย่างไร ?
ความตั้งใจเป็นอย่างไร ?
ความงงเป็นอย่างไร ?
ความปรุงแต่งเรื่องราวในความคิดเป็นอย่างไร ?

ถ้าไม่มีไอ้ “ที่อยู่” ตัวนี้เป็นตัวตั้งเลยนะ จะไม่เห็นเลย
ถ้าคิดว่าความคิดของเราถูกต้องนะ
ก็จะคิดไปเรื่อย ๆ ไหลไปในความคิด
โดยไม่รู้เลยว่ามี ‘การไหลในความคิด’ เกิดขึ้นแล้ว
ถ้าคิดว่าไอ้ที่เพ่งอยู่ตรงนี้เจ๋ง ก็เพ่งไปเลย !

ถ้าเพ่งได้ก็ได้.. อารัมมณูปนิชฌาน
แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเพ่งอารมณ์
เพราะไอ้ตัวนี้เป็นมาตรฐานไปแล้ว

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ ฐณิชาฌ์ รีสอร์ท อัมพวา
วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๘

รับฟังเสียงธรรมที่แผ่นซีดี วิถีธรรม 580419_พลิกอกุศลเป็นกุศล
แทร็ก 14.คำถาม-รู้สึก งง ที่ครูบาอาจารย์บอกให้เลิกปฏิบัติ
ระหว่างนาทีที่ ๐๒.๔๘-๐๔.๔๙

สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมที่ http://bit.ly/2bcyCMg

ฝึกสมถะ และวิปัสสนาจากการสวดมนต์

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๙

ฝึกสมถะ และวิปัสสนาจากการสวดมนต์

การกลับมารู้ตัวที่ว่า.. มีอะไรเกิดขึ้น ..รู้ทัน ! แล้วกลับมาสวดมนต์
เขาเรียกว่า ..กลับมานับหนึ่งใหม่
กลับมาที่อยู่ใหม่ แล้วก็เผลอใหม่
ทุกครั้งที่เผลอไป ..ไม่ดี
ทุกครั้งที่รู้ว่าเผลอ ..ได้คะแนน

ตอนที่อยู่กับบทสวดมนต์ ได้คะแนน ..สมถะ
ตอนที่เผลอไป ..ไม่ได้คะแนนอะไรเลย
ตอนที่รู้ตัวว่าเผลอ ..ได้คะแนนวิปัสสนา
แต่ยังไม่ถึงวิปัสสนาแท้ แต่เป็นเส้นทางไปสู่วิปัสสนา

จะเกิดวิปัสสนาแท้ ๆ ตอนที่เห็นว่า..
มันเกิด – ดับ
มันไม่เที่ยง
เราบังคับไม่ได้
มองแง่ใดแง่หนึ่งแบบนี้
เรียกว่า “เห็นไตรลักษณ์”

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ ฐณิชาฌ์รีสอร์ท
วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

รับฟังเสียงธรรมที่ Link
แผ่นซีดีวิถีธรรม๓ ไฟล์ 571116_มรดกที่ถูกลืม Track 13.คำถาม-วิธีฝึกตอนสวดมนต์
ระหว่างเวลา ๐๕.๕๒-๐๖.๔๔

สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ http://bit.ly/1OuFT9w

ผู้รู้ตื่น กับ ผู้หลับใหล

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๘

ผู้รู้ตื่น กับ ผู้หลับใหล

“คนที่ตื่นในโลกนี้”
คือคนที่แยกออกระหว่าง ..
‘สิ่ง ๆ หนึ่งถูกรู้’ และ ‘มีอีกสิ่ง ๆ หนึ่งเป็นผู้รู้’

จิตเป็นผู้รู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้
ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
จิตเที่ยวรับรู้ ทางช่องทาง ๖ ช่องทางนี้
เราก็จะไหลไปรู้โลก ตามช่องทางเหล่านี้
และก็ไป ‘อิน’ กับมัน
คือรวมอยู่ด้วยกัน

ไม่มีการแยกออก ..ระหว่าง
‘สิ่งที่ถูกรู้’ กับ ‘สิ่งที่เป็นผู้รู้’
ตอนนี้เรียกว่า “เป็นผู้หลับ”
หลับใหลไปกับสิ่งที่รู้
มันไหลจริง ๆ มันไหลไปเลย !

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ ฐณิชาฌ์รีสอร์ท
วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗

รับฟังเสียงธรรมได้ที่ Link แผ่นซีดี วิถีธรรม ๓
ไฟล์ 570504 ธรรมะเพื่อตื่นรู้ ระหว่างเวลา ๐๔.๔๖-๐๕.๔๑
ดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ http://bit.ly/1OuFT9w

ทุกข์ในไตรลักษณ์ กับ ทุกข์ที่เป็นเวทนา มีความเชื่อมโยงหรือต่างกันอย่างไรบ้างครับ ?

ถาม : ขอโอกาสครับ พระอาจารย์
ผมยังมีความสงสัย คำว่า “ทุกข์” ระหว่างทุกข์ในไตรลักษณ์ กับ ทุกข์ที่เป็นเวทนา
มีความเชื่อมโยงหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ ? ขอความเมตตาครับผม

ตอบ : ไตรลักษณ์ เป็นลักษณะร่วม ที่มีเสมอกันในสิ่งทั้งหลาย เป็นลักษณะสามัญ คือ
– ทุกอย่างที่เป็นสังขาร คือธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ล้วนแต่ไม่เที่ยง ล้วนแต่เป็นทุกข์ เสมอเหมือนกันทั้งหมด
– ทุกอย่างที่เป็นธรรม คือทั้งที่เป็นสังขารและนิพพาน ล้วนแต่ไม่เป็นอัตตา ล้วนแต่ไม่ใช่ตน เสมอเหมือนกันทั้งหมด

ทุกข์ในไตรลักษณ์ จึงหมายถึง
๑. ความบีบคั้น คือถูกการเกิดขึ้นและการดับสลายไปบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
๒. ทนได้ยาก คือคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยน ต้องหมดสภาพไป
๓. เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ คือก่อให้เกิดความรู้สึกทุกข์ น่าระอา
๔. แย้งต่อสุข คือโดยธรรมชาติที่มันบีบคั้นขัดแย้งและคงสภาพอยู่ไม่ได้นั้น มันก็กีดกันความราบรื่น ปฏิเสธความคล่องสบายตัว

ส่วนทุกข์ที่เป็นเวทนา (เรียกตามศัพท์ว่า ทุกขเวทนา) ก็เป็นเวทนาอย่างหนึ่ง
เวทนามี ๓ อย่าง คือ
๑. สุขเวทนา ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกทุกข์ ลำบาก เจ็บปวด ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุข คือเฉย ๆ จะสุขก็ไม่ใช่ จะทุกข์ก็ไม่ใช่ บางทีก็เรียกว่า อุเบกขาเวทนา

ทุกขเวทนา โดยเฉพาะที่เป็นทางกาย เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย เพราะรับรู้ได้ทันที แค่กายนี้ที่ไม่เที่ยง มีลักษณะคงทนอยู่ไม่ได้
กระทั่งป่วยเป็นโรคขึ้นมา เราก็เกิดทุกขเวทนา ปวดหัว ปวดท้อง เจ็บนั่นเจ็บนี่
ทุกขเวทนาทางกายแม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นธรรมดาของมันอย่างนี้ แต่ก็แก้ไขได้บ้าง เมื่อรู้เหตุรู้ปัจจัย ไปหาหมอหายา
ถ้าวินิจฉัยได้ตรงจุด จ่ายยาที่เหมาะสม ทุกขเวทนานั้นก็หายได้

ถ้าหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ หรือกินยาแล้วไม่หาย โกรธหมอ หาว่าหมอเลี้ยงไข้ คราวนี้ความบีบคั้นมาปรากฏที่ใจด้วย
กลายเป็นทุกขเวทนาทางใจ กายก็ยังคงเป็นทุกข์ ใจก็เป็นทุกข์ซ้ำขึ้นมาอีก
ทุกขเวทนาทางใจสามารถลดลงจนกระทั่งหมดไปได้ ตามกำลังของสติปัญญา
พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ไม่มีทุกขเวทนาทางใจแล้ว โดยสิ้นเชิง

ส่วนทุกข์ในไตรลักษณ์ก็เป็นไปตามธรรมดาของมัน ยกเลิกไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ และไม่ต้องไปแก้ เรามีหน้าที่เพียงทำความเข้าใจ
เห็นสภาวะต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง กระทั่งมีปัญญารู้เท่าทันโลกและชีวิต ไม่ยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย
จิตใจปลอดโปร่งหลุดพ้น เป็นอิสระ

สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ใน อุปปาทสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต
พวกเราอาจจะเคยได้ยินหรือได้สวดกันมาบ้าง คือ
“ตถาคต (คือพระพุทธเจ้า) ทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุนั้นก็ดำรงอยู่
เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยามว่า
๑. สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง …
๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ …
๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา …
ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก
เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่ายว่า

“สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง …สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ …ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา”
ธาตุ คือ ภาวะที่ทรงตัวทรงสภาวะของมันอยู่เองโดยธรรมดา
ธรรมฐิติ คือ ภาวะที่ตั้งอยู่หรือยืนตัว ความดำรงคงตัวแห่งธรรม
ธรรมนิยาม คือ กฎธรรมชาติ หรือกำหนดแน่นอนแห่งธรรมดา
พระองค์เปิดเผย แจกแจง ทำให้ง่ายแล้ว
พระองค์ทำหน้าที่ของพระศาสดาแล้ว
ที่เหลือ.. เป็นหน้าที่ของพวกเราไปภาวนา

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 7 สิงหาคม 2559

เอาความเจ็บปวดร่างกายปฏิบัติธรรมอย่างไร

ถาม : จะเอาความเจ็บปวดของร่างกาย
มาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมได้อย่างไรบ้างครับ ?

ตอบ : เอาความเจ็บปวดของร่างกาย
มาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมได้ ดังนี้

– ใช้เตือนใจตนเอง ให้เห็นทุกข์ของชีวิต ถ้ายังหลงโลก ก็ยังมาเกิดอีก และก็จะได้รับทุกข์อย่างนี้อีก
(จะได้ไม่หลงเพลินกับโลกจนเกินไป)
– ใช้เป็นฐานในการเจริญสติ คือ ตามดูรู้ทันเวทนาที่เกิดตามที่มันเป็น ไม่ติดใจ ไม่ขัดเคือง
(คือ เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน)

– ดูจิต คือเมื่อมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นแล้ว จิตเป็นอย่างไร ก็ตามดูรู้ทันจิต ตามที่มันเป็น มันหงุดหงิด มีโทสะ หรือกังวล
ก็รู้ตามที่มันเป็น หรือมีตัณหาอยากหายจากความเจ็บปวดนี้ ก็รู้ตามที่มันเป็น
(คือ เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
– ให้เห็นความเกิดดับของเวทนา ที่เคยสุขก็ดับไปแล้ว ที่เจ็บปวดอยู่นี้ก็มีระดับของความเจ็บปวดที่ต่างกันไป
ในแต่ละขณะ (คือ เห็นอนิจจลักษณะ)

– ให้เห็นความบีบคั้นของร่างกาย ที่มันไม่อาจคงอยู่ในสภาพเดิมได้ (คือ เห็นทุกขลักษณะ)
– ให้เห็นว่า ความเจ็บปวดนี้ เราบังคับไม่ได้ ไม่อยากให้เกิด มันก็เกิด อยากให้หายเดี๋ยวนี้ มันก็ไม่หาย
ตามที่เราอยาก มันมีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ (คือเห็นอนัตตลักษณะ)

ไม่ต้องทำทุกข้อก็ได้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 1 สิงหาคม 2559

สติเป็นตัวรักษาจิต

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๗

สติเป็นตัวรักษาจิต

เรารักษาศีลไม่ได้สักที เพราะเราไม่ได้ดูกิเลส
มัวแต่ไปท่องเป็นข้อ ๆ
อย่างนี้เรียกว่า ‘ทำปลายทาง’
ถ้าเรามารู้ที่ต้นเหตุเสียเลยว่า ..

กิเลสเป็นต้นเหตุของการผิดศีล ก็รู้กิเลสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจ
เห็นกิเลสปุ๊บ ! .. ได้สติ
ได้ความรู้ตัว ได้กุศลด้วย

ตอนมีกิเลสเป็น.. อกุศล
ตอนมีความรู้ตัวว่ามีกิเลสเป็น.. กุศล
ไม่ต้องทำอะไรกับมันเลย
สติเป็นตัวรักษาจิตและก็ไม่ผิดศีลด้วย

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ รายการ ธรรมปทีป วัดยานนาวา
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙

ไฟล์ VDO 590723_ธรรมปทีป ระหว่างเวลา ๓๙.๐๐-๔๐.๑๐
สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ http://bit.ly/2a9w6qx

ประโยชน์แรกที่รู้สึกตัว

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๖

ประโยชน์แรกที่รู้สึกตัว

ทันทีที่รู้สึกตัวขึ้นมาเนี่ย ..
ประโยชน์อย่างแรกเลยของการรู้สึกตัว ก็คือว่า
แทบไม่ต้องระวังรักษาศีล
เพราะศีล.. เวลาเราจะผิดศีลเนี่ยนะ
ก็คือมันมีกิเลสแล้วไม่ทันรู้
แล้วก็ปรุงกิเลสให้มันหนาขึ้น.. ใหญ่ขึ้น
จนมันครอบงำจิตใจเรา
แล้วก็สั่งให้เราไปทำผิดอะไรต่าง ๆ
ไปพูดผิด ประพฤติผิด

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม
คอร์สเจริญสติในชีวิตประจำวัน ณ เขื่อนท่าทุ่งนา
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙

ไฟล์ 225-590715-ท่าทุ่งนา-Intro-001_128
ระหว่างเวลา ๓๒.๐๐-๓๒.๒๐

สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ http://bit.ly/29So3v5

ทำบุญแค่ไหนจึงไม่เดือดร้อน

ถาม : มีเพื่อนชอบทำบุญ และบริจาคสิ่งของช่วยเหลือมาก
จนไม่มีเงินเก็บเลย แต่ระยะหลังลดลง
เพราะคิดเริ่มออม กลับโดนติงมาว่า ‘ไม่ให้เสียดายเงินที่ทำลงไป’
จึงสงสัยว่า.. ถ้าเรามีเงิน เราต้องทำบุญหมดเลยเหรอคะ ?
มันก็ขัดแย้งกับการไม่ให้สะสมทรัพย์
ในทางพระพุทธศาสนาหรือไม่
แค่ไหนถึงเรียกว่า.. เดินสายกลาง คะ ?

ตอบ : พระพุทธศาสนาไม่ได้ห้ามโยมสะสมทรัพย์นะ
ลองดูที่พระองค์สอนเรื่อง หลักการแบ่งทรัพย์ โดยจัดสรรเป็น ๔ ส่วน คือ
๑. ใช้จ่ายเลี้ยงตน เลี้ยงครอบครัว และทำประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ๑ ส่วน
๒. ใช้ลงทุนประกอบการงาน ๒ ส่วน
๓. เก็บไว้ใช้ยามจำเป็น ๑ ส่วน

ธรรมหมวดนี้ ชื่อว่า “โภควิภาค ๔”
จะเห็นได้ว่า
ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ พระองค์ให้แบ่งไว้ ๑ ส่วน
การลงทุนในธุรกิจ หรือกิจการต่าง ๆ พระองค์ให้แบ่งไว้ถึง ๒ ส่วน หรือครึ่งหนึ่งเลย
และเผื่อฉุกเฉินอีก ๑ ส่วน

ไม่ใช่ใช้ให้หมด จนไม่มีเก็บ
ส่วนเงินที่จะทำบุญ พระองค์ก็ไม่ได้บอกให้ทุ่มทำให้เกลี้ยง
แต่สอนว่า..

อริยสาวกแสวงหาโภคทรัพย์มาได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงและความขยันหมั่นเพียร โดยสุจริตชอบธรรมแล้ว
ควรถือครองโภคทรัพย์นั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์ ดังนี้
๑. เลี้ยงตัว บิดามารดา บุตรภรรยา และคนในปกครองทั้งหลาย ให้เป็นสุข
๒. บำรุงมิตรสหาย และผู้ร่วมกิจการงาน ให้เป็นสุข
๓. ใช้ป้องกันภยันตราย
๔. ทำพลี ๕ อย่าง คือ
ก. สงเคราะห์ญาติ
ข. ต้อนรับแขก
ค. ทำบุญอุทิศให้ผู้ล่วงลับ
ง. บำรุงราชการ ด้วยการเสียภาษีอากร เป็นต้น
จ. สักการะ บำรุง ถวายเทวดา
๕. บำรุงสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ

ธรรมหมวดนี้เรียกว่า “โภคาทิยะ ๕”
จะเห็นได้ว่า ทำบุญกับพระเพียงส่วนเดียว คือ ในข้อ ๕
สรุปว่า
– ทำบุญตามกำลัง
– ทำบุญกับผู้ปฏิบัติดีประพฤติชอบ
– ศรัทธาแล้วจึงทำ
– ทำแล้วตน ครอบครัว กิจการงาน ไม่เดือดร้อน
– ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน
ประมาณนี้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 25 กรกฎาคม 2559

การหมุนธรรมจักร

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๕

การหมุนธรรมจักร

พระพุทธองค์แสดงความจริง
และหน้าที่ต่อความจริงนั้น
ให้กับปัญจวัคคีย์.. ว่า
“ทุกข์” สิ่งที่เราควรจะปฏิบัติต่อมันคือ รู้เฉย ๆ ให้รู้มัน
“สมุทัย” คือ ตัณหา หน้าที่ต่อความจริงคือ ให้ละ
“นิโรธ” คือความดับทุกข์, ความพ้นทุกข์
หน้าที่คือ ทำให้แจ้ง

นิพพานมีอยู่แล้ว… แต่ทำใจให้มีคุณภาพพอที่จะไปเห็น
“มรรค” ให้เจริญ
ศีลยังไม่มี..ให้เจริญ ให้มีศีลขึ้นมา
สมาธิไม่มี.. ให้ทำสมาธิให้เกิด ให้จิตตั้งมั่นขึ้นมา
ความเพียรไม่เคยมี.. ให้ทำความเพียรขึ้นมา
สติไม่เคยมี.. เจริญสติขึ้นมา

ถ้ามีใครถามว่า.. “พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ?”
เราก็อาศัยพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ตอบได้ว่า.. “พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจ ๔ อย่าง”
การแสดงธรรมครั้งนี้ เป็นการหมุนธรรมจักร
เป็นการหมุนอย่างไม่มีใครต้านได้
ไม่มีใครหมุนกลับได้
จากการแสดงธรรมครั้งนี้ มีผู้ฟัง ๕ ท่าน
แต่มีผู้เข้าใจท่านเดียว

พอ ‘พระโกณทัญญะ’ ฟัง ‘พระธัมมจักกัปปวัตนสูตร’ แล้วเข้าใจ
ความเข้าใจของท่านคือ อุทานขึ้นมาในใจว่า
ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ
สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ
สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา

แสดงว่าท่านมีสติรู้สภาวะเกิด – ดับ
และตอนรู้ ไม่มีคำพูดว่ามันคืออะไร
เห็นว่ามีอะไรเกิด – ดับ
เห็นว่า มีสภาวะเกิด – ดับ เกิดขึ้น
และมันเป็นธรรมดาของมันด้วยจริง ๆ

พระพุทธเจ้าเห็นจิตของพระโกณทัญญะเป็นอย่างนี้
จึงอุทานขึ้นมาว่า “โกณทัญญะรู้แล้วหนอ”
อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ
อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมสวนป่า
เนื่องในวันเข้าพรรษา วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗

สามารถดาวน์โหลดเสียงไฟล์ 570712 วันเข้าพรรษา
ช่วงเวลา ๐๐.๕๕.๕๑-๐๑.๐๐.๒๑ และ ช่วงเวลา ๐๑.๐๐.๒๗-๐๑.๐๓.๕๐

เอาเงินใส่บาตรพระได้ไหม

ถาม : เวลาใส่บาตร เราสามารถเอาเงิน
ใส่ลงไปในบาตรพระวัดบ้านได้ไหมเจ้าคะ
เพราะเวลาใส่บาตร พระท่านบอกว่า
‘ใส่เงินได้นะโยม โยมจะได้มีเงินใช้ไม่ขาดมือ’
หนูสงสัยถึงข้อวัตรของพระวัดป่า และพระวัดบ้านเจ้าค่ะ

ตอบ : พระท่านไม่ควรพูดอย่างนั้น
พระภิกษุ ไม่ว่าวัดบ้าน หรือวัดป่า ถ้ารับเงินทอง ก็เป็นอาบัติด้วยกันทั้งนั้น
เพราะประพฤติปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยเดียวกัน
ถ้าโยมจะถวายเงิน ควรฝากไว้กับไวยาวัจกร
(ผู้ทำกิจธุระแทนสงฆ์, ผู้ช่วยเหลือรับใช้พระ จะเป็นคนวัดหรือลูกศิษย์ก็ได้)
จะเหมาะสม และถูกต้องตามพระวินัยมากกว่า

ถ้าท่านไม่มีคนวัดหรือลูกศิษย์ติดตามมา ก็หาโอกาสแวะเข้าวัดที่พระรูปนั้นอยู่ แล้วถามหาไวยาวัจกรอีกที
หรือไปวัดที่เราศรัทธา นำเงินไปหยอดตู้บริจาคกับวัด หรือจะโอนเงินเข้าบัญชีของวัดก็ได้
อีกวิธีหนึ่งคือ ใช้วิธีปวารณา
คือ เปิดโอกาสให้ขอ

จะบอกกล่าวด้วยวาจา หรือด้วยลายลักษณ์อักษรก็ได้ ว่า
“ข้าพเจ้าขอถวายจตุปัจจัย อันสมควรแก่สมณะ มูลค่า … บาท”
ถ้าไม่ได้ฝากเงินไว้กับใคร ก็ให้ท่านบอกสิ่งที่ต้องการกับเราโดยตรง
ถ้าฝากเงินไว้กับใคร ก็บอกให้ท่านทราบด้วย
ขวนขวายเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ก็คุ้มค่า
สิกขาบทที่ไม่ให้รับเงินนี้ คือเรื่องพระอุปนันทศากยบุตร ในพระวินัยปิฎก
…..

สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน
อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์.

ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็นพระที่คุ้นเคยสนิท ไปมาหาสู่ที่สกุลหนึ่ง
รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น
เขาก็แบ่งส่วนไว้ถวายท่านอยู่เสมอ

เย็นวันหนึ่ง ในสกุลนั้นได้เนื้อสำหรับทำอาหาร เขาจึงแบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทะ
แต่พอตอนเช้า ลูกเขาตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้องอ้อนวอนขอกินเนื้อนั้น

บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า “จงนำส่วนของพระให้แก่เด็กไปก่อน เราจะซื้อของอื่นถวายท่านภายหลัง.”

ครั้นแล้วเวลาเช้า ท่านอุปนันทศากยบุตร นุ่งห่มผ้าแล้ว ถือบาตรจีวร
เข้าไปสู่สกุลนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย. ทันใดนั้น บุรุษนั้นเข้ากราบเรียนว่า
“ท่านครับ เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น, ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่ง,
จากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด ร้องอ้อนวอนว่า ‘อยากกินเนื้อ’

ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของพระคุณเจ้าแก่เด็กไป,
พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวาย ด้วยทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ ?”
[กหาปณะ เป็นชื่อมาตราเงินในสมัยนั้น
มีค่าเท่ากับทองคำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก]

ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า “เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เรา แล้วหรือ ?”
บุรุษ : “ขอรับ ผมบริจาคแล้ว.”
อุปนันทะ : “ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา.”

บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะไปแล้ว ก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า
“พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา.”
[รูปิยะ แปลว่า เงินตรา
หมายความว่า โยมคนนั้นรู้สึกว่า ถ้าพระภิกษุรับเงิน ก็ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้าน จึงพูดตำหนิออกมา]

ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย
สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
“ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะ (เงินตรา) เล่า ?”
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า
“ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่าเธอรับรูปิยะจริงหรือ ?”
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า “จริง พระพุทธเจ้าข้า.”

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
“ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ,
ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า ? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว.

โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.”

พระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว
ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ
ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน

ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย

แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์
[นิสสัคคิยปาจิตตีย์ คือ อาบัติปาจิตตีย์ ที่ต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัตินั้นก่อน ในกรณีนี้คือ ต้องสละรูปิยะ หรือเงินทองนั้้น]

วิธีสละรูปิยะ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ดังนี้ :-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละรูปิยะนั้น อย่างนี้:-
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าจีวรเฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า
นั่งกระหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า

“ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ารับรูปิยะไว้แล้ว. ของนี้ของข้าพเจ้า เป็นของจำจะสละ,
ข้าพเจ้าสละรูปิยะนี้แก่สงฆ์.”
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ
ถ้าคนผู้ทำการวัดหรืออุบาสก เดินมาในสถานที่เสียสละนั้น พึงบอกเขาว่า “ท่านจงรู้ของสิ่งนี้”
ถ้าเขาถามว่า “จะให้ผมนำของสิ่งนี้ไปหาอะไรมา ?”

อย่าบอกว่า จงนำของสิ่งนี้หรือของสิ่งนี้มา. ควรบอกแต่ของ
ที่เป็นกัปปิยะ(ของที่สมควรแก่ภิกษุบริโภคใช้สอย) เช่น เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย,
ถ้าเขานำรูปิยะนั้นไปแลกของที่เป็นกัปปิยะ
มาถวาย เว้นภิกษุผู้รับรูปิยะ, ภิกษุนอกนั้นฉันได้ทุกรูป,
ถ้าได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี;

ถ้าไม่ได้,
พึงบอกเขาว่า “โปรดช่วยทิ้งของนี้”
ถ้าเขาทิ้งให้ นั่นเป็นการดี;
ถ้าเขาไม่ทิ้งให้,
พึงสมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ.
องค์ ๕ ของภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ

องค์ ๕ นั้น คือ ๑ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ, ๒ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะเกลียดชัง,
๓ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะงมงาย ๔ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะกลัว;
และ ๕ รู้จักว่าทำอย่างไรเป็นอันทิ้งหรือไม่เป็นอันทิ้ง.
[จะเห็นได้ว่า รูปิยะ (เงินทอง) นี่สร้างปัญหามากจริง ๆ
เมื่อรับมาแล้ว ก็เป็นอาบัติ
ปลงอาบัติแล้วก็ต้องสละเงินที่รับมานั้นด้วย
วิธีสละก็มีเรื่องราวขั้นตอนมากกว่าการสละสิ่งอื่น]

รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ (คือต้องสละ) ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รูปิยะ ภิกษุสงสัย รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
[คือ ไม่ว่าจะรู้ หรือไม่รู้ หรือสงสัย ถ้าเป็นรูปิยะ คือเป็นเงิน รับมาแล้วก็เป็นอาบัติ และจริงสละเงินนั้น]
ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ. รับมา ต้องอาบัติทุกกฎ.
ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสงสัย รีบมา ต้องอาบัติทุกกฎ.

[โยมไม่ได้ถวายเงิน แต่คิดว่าใช่ หรือสงสัยว่าใช่ แล้วรับ ก็เป็นอาบัติ]
กรณีที่ภิกษุจะไม่ต้องอาบัติ ก็ได้แก่
๑. ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุรู้อยู่ว่าไม่ใช่รูปิยะ รับมา ก็ไม่ต้องอาบัติ
๒. ทองเงินตกอยู่ภายในวัด หรือภายในที่อยู่, ภิกษุหยิบยกเองก็ดี ใช้ให้หยิบยกก็ดี, แล้วเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า
‘เป็นของผู้ใด, ผู้นั้นจักนำไป'(คือเก็บไว้เพื่อคืนเจ้าของ)
๓. ภิกษุวิกลจริต
๔. ภิกษุอาทิกัมมิกะ (คือภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติในสิกขาบทนี้)

ตอบยาว และลงรายละเอียดสักหน่อย
เพื่อความซื่อตรง และเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 15 กรกฎาคม 2559