All posts by gade

รู้เผลอ.. รู้คั่น รู้แท้.. รู้เทียม

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๔

รู้เผลอ.. รู้คั่น รู้แท้.. รู้เทียม

จิตที่มันเคว้งคว้างสะเปะสะปะ
ก็ยากที่จะไปจับแล้วเห็นความเปลี่ยนแปลง เกิด – ดับ
ให้มีที่ตั้งเอาไว้สักที่หนึ่ง
ให้เป็นที่อยู่ ที่ใดที่หนึ่งตามที่ถนัด
ให้มันอยู่ในที่อยู่นั้น
แล้วพอมันเผลอ.. ให้รู้ทัน !
เผลอไป.. ให้รู้ทัน !
ตอนที่เผลอไป ขณะนั้น.. ขาดสติ
พอรู้ทันความเผลอ ขณะนั้น.. มีสติ

ความเผลอ.. ถูกตัดตอน !
เมื่อก่อนนี้เผลอไปเรื่อย ๆ ไม่รู้เรื่องเลย !
ตอนนี้เผลอ แล้วมี ‘รู้’ คั่น

จะเห็นเลยว่า.. ความเผลอมันก็ขาดได้ เปลี่ยนแปลงได้
มีความ ‘เผลอ’ .. แล้วก็มี ‘รู้’
‘รู้’ เองก็ดับ
ไม่ใช่ว่าจะต้อง รู้.. รู้.. รู้ ติดต่อกันตลอด
รู้.. รู้ .. รู้ .. อย่างนี้บางที “รู้เทียม”
เหมือนจะรู้ แต่จริง ๆ ใจลอยไปแล้ว !

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ คอร์ส เสียดาย.. ตายไปไม่รู้ธรรม
๖-๘ เมษายน ๒๕๕๖

แผ่นซีดี เสียดายตายไปไม่รู้ธรรม ๑
05.หลักการภาวนาฯ นาทีที่ ๑๗.๓๘-๑๙.๑๗
สามารถดาวน์โหลดรับฟังได้ที่ bit.ly/24Jgy0

การรู้รูปนามคือ จะรู้รูปรู้นามยังไง

ถาม : การรู้รูปรู้นามคืออะไรคะ ?
นามคือจิต รูปเป็นสิ่งที่เรารับรู้สัมผัสใช่ไหมคะ ?
แล้วเราจะรู้รูปรู้นามยังไงคะ ?

ตอบ : รูป – นาม ที่พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ ก็คือ รูป – นาม ที่ถูกยึดว่าเป็นเรา
กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ กายนี้ – ใจนี้
พระพุทธเจ้าสอนให้มองสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นของมันอย่างนั้น
เป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ ที่ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
กายใจที่รวมเป็นชีวิตนี้ ถูกยึดว่าเป็นเรา

พระองค์ก็สอนให้เข้าใจว่า
มันเป็นการประชุมรวมกันของส่วนประกอบต่าง ๆ
ส่วนประกอบแต่ละอย่างก็ไม่มีเจ้าของ ไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น
วิธีแยกส่วนประกอบของชีวิตนี้อย่างง่าย ๆ คือ แยกเป็น รูป กับ นาม

รูป คือ ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย
ส่วนหนึ่งรับรู้สัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย
มีบางส่วนต้องใช้ใจรับรู้
นาม คือ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง
คือรู้ไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย
เป็นเรื่องของจิตใจ

โดยทั่วไปก็หมายถึงขันธ์ที่เป็นฝ่ายนามธรรม ๔ ขันธ์ ดังนี้คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
การรู้รูปรู้นาม.. ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้าน ก็คือ รู้กายรู้ใจ นั่นเอง
เวลารู้กาย ก็ทำใจสบาย ๆ
อย่าไปคิดว่า ‘เอาล่ะ.. ฉันจะปฏิบัติธรรม !”
แต่แค่สังเกต หรือแค่รู้สึก ว่ากายนี้มันเคลื่อนไหว มันเดิน มันนั่ง มันขยับไปมา มันกลืนกิน มันขับถ่าย ฯลฯ

รู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
เดี๋ยวอาหารเข้า เดี๋ยวอาหารออก เดี๋ยวลมเข้า เดี๋ยวลมออก ไม่ใช่สิ่งคงที่ถาวร
ดู ๆ ไป ก็จะช่วยให้เห็นความจริงว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา
แล้วจะสังเกตได้ว่า ตอนที่รู้กาย ไม่ใช่มีแต่กาย
แต่ยังมีธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เป็นผู้รู้กายด้วย

คือมี ใจที่เป็นผู้รู้ กับ กายที่ถูกรู้
ถ้ารู้สึกได้ถึงตรงนี้ ก็เรียกได้ว่า แยกรูปแยกนาม
บางคนไม่ถนัดดูกาย ก็มาดูใจ
เช่น หิวข้าวแล้วโมโหหิว โกรธคนข้าง ๆ ที่ทำให้ชักช้า
ก็มารู้ที่ความโกรธ จะเห็นว่าความโกรธก็ขึ้น ๆ ลง ๆ
บางทีดูไป ๆ ความโกรธก็ดับไปเอง

แต่ไม่ว่าจะดับหรือไม่ดับ ถ้าเห็นว่าความโกรธถูกรู้
ไม่มีเราในความโกรธ เห็นความโกรธ กับ ใจที่เป็นผู้รู้อยู่ต่างหาก
ถ้ารู้สึกได้ถึงตรงนี้ ก็เรียกได้ว่า แยกนามกับนาม
ก็เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

ส่วนมากจะเห็นสิ่งที่เรียกว่ากิเลส
เช่น ราคะ โทสะ โมหะ ความฟุ้งซ่าน ความลังเล ความหดหู่ เป็นต้น
มีเกณฑ์ง่าย ๆ คือ
ถ้าลืมกายลืมใจ คือ หลง
ถ้าไม่เห็นรูปไม่เห็นนาม คือ ขาดสติ
ถ้าลำพังเห็นรูป หรือเห็นนาม อย่างเดียว ก็อยู่ในขั้นจิตตสิกขา คือมีสติ
ถ้าแยกรูปแยกนาม หรือแยกนามกับนาม
บางทีก็เรียกกันว่าแยกขันธ์
ก็อยู่ในขั้นปัญญาสิกขา คือเริ่มมีปัญญาแล้ว

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 6 กรกฎาคม 2559

เวลาใส่บาตรพระและรับของจากสีกา

ถาม : อยากจะเรียนถาม พอจ.กฤช
เวลาใส่บาตรพระ พระให้พร เราต้องยืนหรือนั่งลง (คุกเข่า) รับพรครับ

ตอบ : จะ​รับ​พร​ใน​อิริยาบถ​ไหน​ก็ได้​ เพียง​ขอให้​อยู่​ใน​อาการ​เคารพ​และ​นอบน้อม​ แต่​ฝ่าย​พระ​ภิกษุ​ท่าน​ต้อง​ระวัง​ เพราะ​การ​สวด​ให้​พร​ก็​เปรียบ​ได้กั​บ​การ​แสดง​ธรรม​ เช่น​ คำ​ให้​พร​ที่​เรา​คุ้นชิน..

อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจ​จัง​ วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา​ วัฑฒันติ อายุ​ วัณโณ สุขัง​ พะลัง​ ฯ

เป็น​การ​แสดง​ธรรม​ว่า​ ธรรม​ ๔​ ประการ​ คือ​ อายุ​ วรรณะ​ สุข​ และ​พละ​กำลัง​ ย่อม​เจริญ​แก่​บุคคล​ผู้​มี​ปกติ​ไหว้​กราบ​ มี​ปกติ​อ่อนน้อม​ต่อ​ผู้ใหญ่​เป็น​นิตย์​

ทีนี้​ ใน​พระ​วินัย​ ส่วน​ที่​ว่า​ด้วย​การ​แสดง​ธรรม​ มี​อยู่​ข้อ​หนึ่ง​ ทรง​บัญญัติ​ไว้​ว่า​

“ภิกษุ​พึง​ทำ​ความ​ศึกษา​ว่า​ เรา​ยืน​อยู่​ จัก​ไม่​แสดงธรรม แก่​คน​ที่​ไม่​เป็นไข้​ที่​นั่ง​อยู่”

ยัง​มี​สิกขาบท​ที่​เกี่ยว​ข้อง​ ที่​น่าสนใจ​อีก​ ๒​ ข้อ​ คือ​

“ภิกษุ​พึง​ทำ​ความ​ศึกษา​ว่า​ เรา​จัก​ไม่​แสดง​ธรรม​แก่​คน​ที่​ไม่​เป็น​ไข้​ ที่​สวม​เขียง​เท้า​”

“ภิกษุ​พึง​ทำ​ความ​ศึกษา​ว่า​ เรา​จัก​ไม่​แสดง​ธรรม​แก่​คน​ที่​ไม่​เป็น​ไข้​ ที่​สวม​รอง​เท้า​”

เขียง​เท้า​ คือ​รองเท้า​ที่​ทำ​จาก​ไม้​ ถ้า​พระ​ให้พร​ใน​ระหว่าง​บิณฑบาต​ โยม​จะ​ลำบาก​ใจ​ตรง​ที่​ว่า​ รองเท้า​สมัย​นี้​บางที​ก็​ถอด​ยาก​ จะ​นั่ง​รับ​พร​ พระ​ท่าน​ก็​จะ​ผิด​พระ​วินัย​ จะ​ยืน​รับ​พร​ บาง​คน​ก็​ตำหนิ​ว่า​ยืน​ค้ำ​หัว​พระ​

ดังนั้น​ เพื่อ​เป็น​การ​ตัด​ปัญหา​ อาตมา​จึง​นิยม​ไม่​ให้พร​ใน​ระหว่าง​การ​เดิน​บิณฑบาต​ ซึ่ง​ส่ง​ผลดี​กับ​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​ ฝ่าย​พระ​ภิกษุ​ก็​ไม่​ผิด​พระ​วินัย​ ฝ่าย​ฆราวาส​ก็​ไม่​ลำบาก​ใจ​และ​ไม่​ถูก​ตำหนิ​ติเตียน​

ถาม : พระสามารถรับของจากสีกาโดยตรง โดยไม่มีผ้ารับประเคนได้หรือไม่ ?

ตอบ : ถ้าว่าตามพระวินัยเป๊ะ ๆ ก็ต้องตอบว่า.. ได้
แต่ที่มีประเพณีให้พระภิกษุใช้ผ้ารับ เมื่อผู้ประเคนเป็นผู้หญิง ก็มีเหตุผลนะ
เพราะเรื่องกามเป็นเรื่องที่หักห้ามกันยาก

การรับของจากอุบาสิกา ถ้าไม่ระวังให้ดี ก็มีโอกาสที่จะถูกเนื้อต้องตัวกันได้
และก็เป็นเหตุให้พระภิกษุ ต้องอาบัติชั่วหยาบได้
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของไทยจึงให้มีประเพณีการใช้ผ้ารับประเคนขึ้นมา
เพื่อป้องกันทั้งพระภิกษุและอุบาสิกา ไม่ให้ใกล้ชิดกันเกินไป

อันเป็นการเอื้อเฟื้อพระวินัยอีกส่วนหนึ่งด้วย
ในความเห็นของอาตมา
ก็ควรรักษาประเพณีนี้ไว้
เพราะพระท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
แถมยังปลอดภัยมากขึ้นอีกต่างหาก

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 22 มิถุนายน 2559

จิตธรรมชาติเหมือนเด็ก

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๓

จิตธรรมชาติเหมือนเด็ก

ปัญญาจะเกิดตอนที่จิตมันเป็นธรรมชาติ
เป็นจิตปกติเนี่ยแหละ !
จิตเหมือนไม่ดีนี่แหละ !
จิตเหมือนคนฟุ้งซ่าน.. เหมือนเด็ก ๆ น่ะ

เด็กมีข้อดี คือว่า..
ไม่ปั้นแต่ง ไม่ปรุง ไม่วางฟอร์ม
รักก็รัก ชอบก็ชอบ ชังก็ชัง
มีอะไรก็แสดงออก ไม่เก็บ
แต่.. ไม่มีสติ !
นี่ข้อเสียของเด็ก คือไม่มีสติ

ผู้ใหญ่เนี่ย! .. มีข้อเสีย คือวางฟอร์ม
บิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้จิตไม่เห็นความจริง
แม้จะฝึกสติแล้ว ก็ไม่ได้เห็นของจริง
มันเหมือนรู้ตัว.. แต่ไม่รู้ตัวจริง

ไปเห็นของที่ดัดแปลงแล้ว
เขาเรียกว่า “แทรกแซง”
มีการแทรกแซงขึ้นมา เพราะอยากให้มันดี
เบื้องหลังคือ ‘อยากดี.. อยากสงบ’

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

ไฟล์ แผ่นซีดี บ้านจิตสบาย ๖
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังเสียงธรรมได้ที่ bit.ly/1XQWrbX

คอร์สธรรม ไทย/จีน 中文禅修课程 ครั้งที่ 1 – 6

chinese-course-cd-cover1-6-copy

เรื่องให้ดูตรง ๆ แต่ทำไมจิตยังเข้าไปแก้ไข

ถาม : เรื่องให้ดูมันตรง ๆ อย่างที่มันเป็น เรื่องแบบนี้เหมือนง่าย
แต่ทำไมจิตมันถึงเข้าไปแก้ไขอยู่ร่ำไป จิตมันไม่ยอมรับสิ่งที่มันเป็นสักที
โยมก็เห็นว่าเป็นเพราะไปให้ค่ากับสิ่งที่เห็น ว่ามันไม่ดี
โยมว่าโยมก็รู้สาเหตุแล้วนะ แต่ทำไมยังมีตัวที่จะเข้าไปแก้อยู่ตลอดเวลา เจ้าคะ

ตอบ : อย่างนี้เรียกว่า ยังไม่เป็นกลาง
คือรู้สภาวะแล้ว แต่ยังให้ค่ากับสิ่งนั้น
ถ้าไม่รู้ทันตรงนี้ ก็จะเข้าไปแทรกแซง
อาการแทรกแซงก็เช่น เข้าไปรีบดึงจิตให้กลับมาที่องค์ภาวนาเร็ว ๆ
แล้วก็ทำการกด หรือบีบบังคับจิตให้อยู่กับที่

การภาวนาที่ถูก ไม่ใช่ไปพยายามทำความเป็นกลาง หรือพยายามห้ามการแทรกแซง
แต่ให้รู้.. เมื่อมันไม่เป็นกลาง
และให้รู้.. เมื่อมันเผลอไปแทรกแซง
คือรู้ว่าเมื่อกี้.. ผิด !
พอรู้ว่าผิด ก็ถูกทันที !

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙

ต้นทุนในการคิด

วรรคทอง..วรรคธรรม #๗๒
ต้นทุนในการคิด

เราจะเข้าใจความจริง.. ต้องเห็นของจริง.. ไม่ใช่คิดเอา !
ถ้าเราคิด.. เราจะเก็บเอาสัญญา คือความจำต่าง ๆ เป็น ‘ต้นทุนในการคิด’
เวลาเราจะคิดอะไรเนี่ย !
เราจะหยิบ.. เอา ‘เสียงเก่า ๆ’ มาคิดต่อ
เอา ‘ภาพเก่า ๆ’ มาคิดต่อ
เอา ‘ความหมายรู้เก่า ๆ’ มาคิดต่อ
คิดปรุงแต่งต่อ.. ปรุงแต่งภาพเก่า ๆ เสียงเก่า ๆ
รวมทั้ง.. ความหมายรู้เก่า ๆ.. ด้วย !

รวมแล้ว.. ความจำเก่า ๆ ที่ภาษาพระเรียกว่า “สัญญา” มันคอยหลอกหลอน !
สัญญามี ๒แบบ คือ ..
‘จำได้’ กับ ‘หมายรู้’ แบบหลอกตัวเอง !
ถามว่า.. ใครหลอกใคร ?
เราหลอกเอง !
ใจเรามันหมายรู้เอง !

พระพุทธเจ้าตรัสว่า .. เราหมายรู้ผิด ๆ อยู่ เรียกว่า “วิปลาส”
หมายรู้ผิดใน…
๑.ของไม่สวย หมายรู้ว่า.. สวย, ของไม่งาม หมายรู้ว่า.. งาม
๒.ของเป็นทุกข์ หมายรู้ว่า.. สุข
๓.ของไม่เที่ยง หมายรู้ว่า.. เที่ยง
๔.ของไม่มีตัวตน หมายรู้ว่า.. มีตัวตน
ปุถุชนทั่ว ๆไป มีความหมายรู้อย่างนี้

ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากการแสดงธรรม ณ ที่พักสงฆ์เกาะผาสุก
วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙

ไฟล์ 590528_ Track 02.ต้นทุนผิด ๆ ของความคิด
ระหว่างเวลา ๐๘.๕๗-๑๒.๐๕
สามารถดาวน์โหลดเสียงธรรมได้ที่ http://bit.ly/1t9pa2m

รินรสธรรม ๑

ธิดามาร ๓ ตัณหา ราคะ อรดี นางอรดี คือแบบไหนครับ ?

ถาม : ธิดามาร ๓ ตัณหา ราคะ อรดี
ผมเข้าใจว่าเป็น มารในจิต ซึ่งผมเข้าใจ ตัณหา ราคะ
แต่ที่สงสัย — นางอรดี คือแบบไหนครับ ?

ตอบ : ว่าตามศัพท์ก่อนนะ
ตัณหา คือ ความทะยานอยาก ความร่านรน อยากได้อยากเอาเพื่อตน
ราคา (=ราคะ) คือ ความกำหนัด ความติดใคร่ในอารมณ์
อรดี (=อรติ) คือ ความไม่ยินดี ไม่พอใจ
มาจากคำว่า อ (ไม่) + รติ (ความยินดี)

หลายคนเข้าใจว่าเรื่องธิดามารทั้ง ๓ เป็นเรื่องสมมุติ เพื่อสื่อว่าเป็นมารในจิต
แต่อาตมาเชื่อว่าไม่ใช่ !
เพราะเรื่องนี้มีในพระสูตร ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์
ใน มารธีตุสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “หลังจากตรัสรู้” แล้ว
หมายความว่า.. เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

พูดง่าย ๆ คือ พระองค์ไม่มีกิเลสในจิตใจแล้ว
ถ้ากล่าวว่า เรื่องมารและธิดามารทั้งสาม หมายถึงกิเลสที่อยู่ในใจ
คำกล่าวนี้ก็จะแย้งกับหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
เพราะเมื่อตรัสรู้แล้ว จิตของพระพุทธองค์ก็ย่อมบริสุทธิ์แล้ว
การที่จะกล่าวว่าตัณหา, ราคะ และอรติ ยังมารบกวนจิตใจของพระองค์ ก็จะเป็นการกล่าวขัดกับความเป็นจริง

ส่วนประเด็นที่ถามว่า “นางอรดี คือแบบไหน ?”
เท่าที่อ่านมา ก็ไม่พบคำอธิบายขยายความในส่วนนี้
แต่อาตมาจะลองตอบนะ
ถ้าผิด ก็ขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วย
ก่อนที่จะมารู้จักนางอรดี
ก็ลองมาดูอุบายวิธีของธิดามารทั้ง ๓ เสียก่อน
ในพระไตรปิฎก มีข้อความว่า

“… ลำดับนั้น มารธิดา คือนางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันหลีกออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมกันคิดอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษมีต่าง ๆ กันแล อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรนิรมิตเพศเป็น
นางกุมาริกาคนละร้อย ๆ ฯ”

หมายความว่า ธิดามารคิดว่า ผู้ชายจะใจแข็งเพียงใด ก็ย่อมมีจุดอ่อน
ถึงจะมาบวช แต่ถ้าเจอการยั่วยวนในรูปแบบต่าง ๆ
และกับหญิงในวัยต่าง ๆ วัยละ ๓๐๐ รูปแบบ
ก็ไม่น่าจะมีชายใดหลุดพ้นไปได้

นางราคา ก็คงจะเน้นเนรมิตเป็นหญิงที่ยั่วราคะเป็นหลัก
เช่น มาเต้นส่ายร่ายรำ, นุ่งห่มน้อยชิ้น, ทำเป็นอายบ้าง ไม่อายบ้าง,
ทำเป็นเปิดวับ ๆแวม ๆ, ทำกระซิบกระซาบ, ฯลฯ
พูดหยาบ ๆ ก็คือ ยั่วให้เกิดอารมณ์ทางเพศ

นางตัณหา ก็คงจะเน้นเนรมิตเป็นหญิงที่ยั่วตัณหา
คือไม่ได้มีเฉพาะอารมณ์ทางเพศ
แต่รู้สึกว่า หญิงนี้สมฐานะเรา จะทำให้เราได้รับคำสรรเสริญ ได้ยศ ได้ตำแหน่ง ฯลฯ
เช่น เป็นหญิงสง่างาม, มีเสื้อผ้าอาภรณ์อลังการ, ดูมีจิตใจอ่อนโยน เล่นหยอกล้อกับเด็ก ๆ,
รู้สึกอบอุ่น, ดูเก่ง – ฉลาด, พูดจาฉะฉาน, ฯลฯ

คือสนองกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
ส่วนนางอรดี … คงจะมีได้หลายแบบ เช่น
– แกล้งทำหน้าบึ้งใส่, แกล้งพูดให้เจ็บใจ, ทำสะบัดสะบิ้ง, ทำเป็นไม่ยินดี, ทำงอน ฯลฯ
เพื่อยั่วให้ชายมาสนใจ จนลืมตัว จิตส่งออกมาที่หล่อน

– แกล้งทำเป็นว่า กำลังมีอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ, กำลังเศร้า, กำลังมีปัญหา, ทำสะอึกสะอื้น, ฯลฯ
ยั่วให้ชายสงสาร เข้ามาปลอบ เข้ามาให้คำปรึกษา
คือยั่วให้เกิดความเห็นอกเห็นใจก่อน จนลืมตัว จิตก็ส่งออกไปที่หล่อน
น่ากลัวทั้งสามนาง !!!

ถึงอย่างนั้น พระพุทธองค์ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะพระองค์สิ้นกิเลสแล้วอย่างยอดเยี่ยม
ก้าวล่วงบ่วงมารไปได้แล้ว
จิตหลุดพ้นดีแล้ว
เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
นำสัตว์โลกทั้งหลายให้ข้ามพ้นบ่วงมารไปได้ด้วยพระสัทธรรม

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘

“โมหะ” คืออะไรคะ ? เกี่ยวกับ “ความหลง” ยังไงคะ ?

ถาม : “โมหะ” นี่คืออะไรคะ ?
แล้วมันเกี่ยวกับ “ความหลง” ยังไงคะ ?

ตอบ : “โมหะ” มีลักษณะ มีการทำงาน
มีผลปรากฏ และมีเหตุใกล้ให้เกิด
ที่เราจะสามารถสังเกตได้ ดังนี้ :-
– มีลักษณะ คือ ไม่รู้ความจริงของสภาวธรรม
– งานของมัน คือ ทำให้มีการปกปิดสภาวะแห่งอารมณ์
– ผลที่ปรากฏ คือ ความมืดมน
– มีความใส่ใจในอารมณ์โดยไม่แยบคาย เป็นเหตุใกล้ให้เกิด

ฉะนั้น สภาวะที่เรียกว่า หลง เผลอ เหม่อ
ซึม ทื่อ มึน ไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัว มืดมน หรือ
ใจลอย อย่างนี้จัดเข้าใน “โมหะ” ทั้งหมด

แต่ทันทีที่รู้ว่าเมื่อกี้นี้ หลง เผลอ เหม่อ ซึม
ทื่อ มึน ไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัว มืดมน หรือ
ใจลอย อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขณะที่รู้นั้นโมหะก็ดับ กลายเป็นสติขึ้นมา

เราก็มาใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตเมื่อกี้นี้บ่อย ๆ
ก็จะสามารถเปลี่ยน “หลง” … เป็น “รู้” ได้
หลงบ้าง รู้บ้าง อย่างนี้บ่อย ๆ ก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาเป็นลำดับ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙

นำพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเขาลง Social

ถาม : ถ้าเราเห็นคนที่ทำอะไรไม่เหมาะสม
ไม่เป็นธรรม การที่นำพฤติกรรมของเขา
มาแชร์ใน social เจตนาแค่ต้องการเตือนคนอื่น ระวังหรือหลีกเลี่ยง
เราทำได้ขอบเขตแค่ไหนคะ ?

ที่จะช่วยเหลือสังคม หรือให้วางใจ ปล่อยให้เขารับวิบากไปเอง
หรือถ้าเราทำ เราจะมีวิบากกรรมอะไร ?
ซึ่งแน่นอนค่ะ ถ้าเราแชร์จะต้องผู้ได้รับการกระทบแน่นอนค่ะ
(คำถามนี้ขอถามเผื่อการแชร์เรื่องราวต่าง ๆ
ที่เป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมบน social ทั่ว ๆ ไปด้วยเลยนะเจ้าคะ)
ขอยกตัวอย่างเจ้าค่ะ.. ทุกเช้าจะเห็นมอเตอร์ไซด์มาส่งเป็ดย่าง
ให้กับร้านอาหารหนึ่ง โดยการขนส่ง ของไม่สะอาด ไม่คำนึงถึงผู้บริโภค
ใส่ในถุงก๊อบแก๊ป หลายถุง หัวเป็ดหลายหัวห้อยออกมานอกถุง
ถุงก็ห้อยข้าง ๆ ล้อรถ มันสกปรกไม่น่าทาน
ไหนจะความสกปรกของรถเอง ไหนจะเขม่า
ท่อไอเสีย เห็นแล้วขัดตามาก ๆ ค่ะ

ตอบ : เรื่องการโพสต์ การแชร์ เรื่องราวต่าง ๆ ใน สังคมออนไลน์ เป็นเรื่องที่ควรระวัง
ยิ่งถ้าเราตั้งสถานะให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงสิ่งที่เราโพสต์ได้ เราก็ยิ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้น
โดยหลักการ ก็เทียบได้กับการพูดคุยกันทั่วไป
คือ ไม่โกหก, ไม่ส่อเสียดให้แตกแยก, ไม่หยาบคาย และไม่เพ้อเจ้อ ความแตกต่างกันอยู่ตรงที่..

#ในสังคมออนไลน์มีคนมารับรู้มากกว่า ผลจึงมีมากกว่า
ถ้าสิ่งที่โพสต์เป็นประโยชน์ ก็ได้ประโยชน์มาก
แต่ถ้าเป็นโทษ ก็ให้โทษมากเช่นกัน

การที่จะโพสต์อะไรเราก็ต้องดูที่เจตนา เราเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เห็นคนที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม
เราก็ช่วยเก็บหลักฐานมาช่วยกันเตือนเพื่อนเราให้ระวัง ก็นับว่าเป็นเจตนาที่ดี
บางคนอาจจะคิดว่า “ช่างเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ปล่อย ๆ ไป อยู่เฉย ๆ ดีกว่า”
ถ้าเราวางเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ ก็ต้องมาประเมินว่า เราเฉยแบบอุเบกขาที่เป็นกุศล
คือ เฉยรู้ หรือเฉยที่เป็นอกุศล คือ เฉยเมย

ถ้าเฉยเมย.. ใครจะทำอะไรก็ช่าง จะเลวจะร้าย จะเป็นผลกระทบกับในทางเสื่อมทรามอย่างไรก็ช่าง
ทั้ง ๆ ที่เราเห็นอยู่ – รู้อยู่ แล้วเฉย อย่างนี้น่าจะเข้าข่ายเฉยเมยนะ
เราก็พลาดโอกาสที่จะช่วยกันพัฒนาสังคมและความเป็นอยู่ร่วมกันไปอีกครั้ง
ที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่า มีกรณีตัวอย่างหลายกรณี ที่ช่วยกันโพสต์ช่วยกันแชร์
ทำให้ผู้ที่มีพฤติกรรมร้าย ๆ ที่เคยแอบเอาเปรียบสังคม ก็ถูกเปิดเผยออกมา
และถูกจับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็มากมาย

นี่เป็นผลจากการไม่นิ่งเฉยดูดาย
คนร้ายอยู่ยากขึ้น เพราะมีสายตาคนดีคอยจับจ้องอยู่
อย่างไรก็ดี การที่เราไม่รู้ถ่องแท้ ไม่ทราบข้อมูลรอบด้าน การโพสต์ก็อาจจะกระทบผู้อื่นในทางเสียหาย
ทั้งที่ผู้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือไม่ผิด เมื่อมีข้อมูลหลักฐานยืนยันว่า.. เราเข้าใจผิด
เราก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของเรา
เบื้องต้นก็ต้องรับผิด และขอขมา
แต่ถ้ามีเจตนาไม่ดี จะให้ร้ายผู้อื่น ยิ่งถ้าข้อมูลหรือภาพที่เราโพสต์นั้นมาจากการบิดเบือน
ก็กลายเป็นหลักฐานเท็จ

คราวนี้จะผิด “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” ด้วย
สังคมจะดีได้ก็อาศัยคนในสังคมช่วยกันดูแลและตักเตือนกัน
แต่ต้องดูแลตักเตือนกันด้วยเมตตาและกรุณา
เหมือนกับพระภิกษุ เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นสงฆ์ ท่านก็ช่วยตักเตือนกันด้วยความปรารถนาดี
พระพุทธองค์ทรงให้ภิกษุทั้งหลายอาศัยความกรุณาว่ากล่าวกัน
ใครมีอาบัติ ก็ให้ช่วยกันให้ออกจากอาบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ไม่ใช่ช่วยกันปกปิด ใครปกปิดก็เป็นอาบัติอีกข้อหนึ่งด้วยซ้ำไป

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙

ขยายความ “ธัมมวิจยะ”

ถาม : ถ้าพูดถึงในข้อของ “#ธัมมวิจยะ” น่ะครับ แล้วมันเหมือนกับว่า เราจะต้องไปคิดไปค้นคว้า ซึ่งมันมีความรู้สึกว่า.. มันไม่ใช่แล้ว อยากให้หลวงพ่อขยายความ “ธัมมวิจยะ” ครับ

ตอบ : “ธัมมวิจยะ” เนี่ย แรก ๆ อาจจะต้องคิดบ้าง คือต้องวิจัยใช่มั้ย ?
คือมันต้องเหมือนจะต้องวิจัยตัวเองว่า.. เราเหมาะกับอะไร ?
ธรรมะข้อไหนเหมาะกับเรา ?
หรือเราเหมาะกับธรรมะข้อไหน ?
เพราะว่าบุคคลต่าง ๆ ในโลกนี้ มีจริตต่างกัน

พระพุทธเจ้าก็แสดงวิธีปฏิบัติสำหรับคนที่จริตต่างกัน ด้วยธรรมะคนละชุด
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปปฏิบัติให้ครบทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น
ฉะนั้น วิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะกับเรามีอยู่
บางทีแค่หัวข้อเล็กๆ เท่านั้นเอง
ในจำนวน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เนี่ย
เราก็ต้องมา “วิจัย”

“วิจัย” เนี่ย ไม่ต้องไปวิจัยทั้งหมดก็ได้
เอาแค่พระสูตรหลัก ๆ
พระสูตรหลักๆ ที่พระองค์แสดงเป็นหลักการใหญ่ๆ เช่น #สติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน ๔ เนี่ย พระองค์ก็ไม่ได้ให้เราไปทำทั้งหมด ให้เลือกเอาที่ตรงกับจริตของตัวเราเอง
จริตสำหรับผู้ที่จะมาเจริญสติปัฎฐาน
แบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ
๑. จริตของ ‘สมถยานิก’ คือพวกที่ทำสมถะได้ง่าย
กับ
๒. จริตของพวก ‘วิปัสสนายานิก’ คือพวกที่เจริญปัญญาได้ง่าย

พูดง่าย ๆ ก็คือ
๑. สมาธินำปัญญา
หรือ
๒. ปัญญานำสมาธิ
ถ้าเราเป็นพวก ‘ปัญญานำสมาธิ’ คือทำฌานไม่ค่อยได้ แต่เจริญปัญญาได้ง่าย
เห็นสภาวะเกิด – ดับได้ ก็ใช้วิธีดูจิต

คือใช้สติปัฏฐานข้อ “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน”
ดูว่ามีราคะเกิดขึ้น ราคะดับไป
โทสะเกิดขึ้น โทสะดับไป
โมหะเกิดขึ้น โมหะดับไป
ฟุ้งซ่านเกิดขึ้น หดหู่เกิดขึ้น
อย่างนี้นะ

เรามาวิจัยตัวเองว่าเราอยู่ในจริตแบบไหน?
แล้วปฏิบัติให้ตรงกับจริต อันนี้เรียกว่า “ธัมมวิจัย”
พอวิจัยได้แล้วว่า..
เราเหมาะกับธรรมะหมวดไหน ข้อไหน ก็เริ่มทำเลย!
ไม่ใช่มัวแต่คิด
ผ่านขั้นธัมมวิจัยไปแล้ว คือได้เลือกเฟ้นแล้วว่า จริตเราลงอยู่กับข้อนี้
ธรรมะข้อนี้เหมาะกับเรา .. ก็ลงมือทำเลย!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากพระฟุ้งซ่าน (571026)_11.ถาม – ขอให้อธิบาย ธัมมวิจยะ

“กูเก่ง” เป็นมานะใช่ไหมคะ?

ถาม : “กูเก่ง” เป็นมานะใช่ไหมคะ?

ตอบ : “กูเก่ง” เนี่ย ใช่เลย! ชัด ๆ เลย!
“มานะ” เกิดจากการเทียบเขา – เทียบเรา
มานะมี ๙ อย่าง
– เราด้อยกว่าเขา สำคัญว่าเราสูงกว่าเขา
– เราด้อยกว่าเขา สำคัญว่าเราเสมอเขา
– เราด้อยกว่า สำคัญว่าเราด้อยกว่าเขา
ทั้ง ๆ ที่สำคัญถูกนะ!

มันมีการเทียบเขา – เทียบเรา ก็ถือว่าเป็นมานะ
– เราเสมอเขา สำคัญเราว่าสูงกว่าเขา
– เราเสมอเขา สำคัญว่าเราเสมอเขา
– เราเสมอเขา สำคัญว่าเราด้อยกว่าเขา
เป็นมานะเหมือนกัน
– เราสูงกว่าเขา สำคัญว่าเราสูงกว่าเขา
– เราสูงกว่าเขา สำคัญว่าเราเสมอเขา
– เราสูงกว่าเขา สำคัญว่าเราด้อยกว่าเขา
ก็เป็นมานะทั้งหมดเลย

จะสำคัญถูก หรือสำคัญผิด ก็เป็นมานะทั้งหมดเลย
เพราะว่ามันมีการเทียบกัน เทียบเขา – เทียบเรา
อย่างเช่นที่ครูบาอาจารย์ ท่านเล่าว่า..
ครั้งหนึ่ง ท่านไปหาหลวงปู่
แล้วท่านรู้สึกว่า ‘โอ้โห! หลวงปู่สบายแล้ว
แต่เราเนี่ย ยังต้องมีงานทำอยู่

เรายังมีทุกข์อยู่’ ทั้ง ๆ ที่เทียบถูกนะ!
แต่มันเป็นการเทียบเขา – เทียบเรา อย่างนี้ก็เรียกว่า
‘เทียบด้วยมานะ’
แต่มานะที่น่าเกลียด คือ ‘ตัวเอง’ ก็ไม่ได้เรื่องเลย ตัวเราเองนี่แย่มาก ยังนึกไปว่า.. ดีกว่าเขา

อย่างนี้เป็นมานะที่น่าเกลียด
แล้วปุถุชนส่วนใหญ่ยังมีมานะตัวนี้เยอะ!
แล้วถ้ารู้ตัวขึ้นมาแล้วจะรู้สึกว่า..
โอ้ย! น่าเกลียดมาก

ถ้ารู้เมื่อไหร่นะ! แสดงว่า.. เริ่มน่ารักแล้ว
เพราะรู้ทันความน่าเกลียด ใช่มั้ย?
ถ้ามีความน่าเกลียดอยู่ แล้วไม่รู้เลยนะ!
น่าเกลียดมากเลย
… พอเข้าใจนะ!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ในการแสดงธรรม
ณ คอร์สปฏิบัติธรรมเนยยะ วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙
ไฟล์คำถาม – กูเก่ง เป็นมานะใช่ไหม 590401_ขยายผล-01.เปลี่ยนแรงขับเพื่อพ้นจากห้วงทุกข์
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังได้ที่ http://bit.ly/22kpk0V

ปฏิบัติมานานแล้ว ทำไมยังเลวอยู่ ?

ถาม: คนที่ปฏิบัติมานานแล้ว แยกธาตุ แยกขันธ์ได้ ครูบาอาจารย์ก็ชม
แต่ทำไมยังเบียดเบียน ยังแย่งชิง ศีลก็ยังไม่ดี คือ.. ทำไมยังเลวอยู่ ?

ตอบ: คือ.. คนเจริญสติ ทำเจริญกรรมฐาน ขนาดเดินปัญญาแล้ว
แต่มันยังไม่ถึงมรรคผล มันก็ยังเสื่อมได้
ขณะที่เกิดปัญญา ก็อยู่ในขั้นที่ว่ามีสติ
เห็นสภาวะ.. แล้วเกิดปัญญา เกิดความเข้าใจเห็นสภาวะไปเรื่อย ๆ อย่างนี้นะ!
แต่มันยังอยู่ในขั้นโลกียะ

เนี่ย! พอมันเสื่อม สภาวะนั้น พอเกิดความเข้าใจ
ไม่ใช่ว่า.. เข้าใจปุ๊บ! ฉลาดค้างเติ่ง อยู่อย่างนั้นนะ!
พอมันเผลอขึ้นมา มันก็โง่ได้ ตอนโง่นี่ก็คือ สามารถที่จะผิดศีลได้
สามารถที่จะงกได้ สามารถที่จะร้ายได้
ธรรมดามาก.. เป็นใช่มั้ย? ดูเป็นนักปฏิบัตินี่แหละ แต่พอโง่ก็โง่นะ!

ตอนโง่ก็แสดงความโง่ให้เห็นเลยว่า
น่าเกลียด น่าชัง น่ากลัว หลายแบบ
#โยม: จริง ๆ คำถามที่ถามพระอาจารย์
จริง ๆ ก็เป็นกันทุกคน เพียงแต่ว่าอยากเสริมว่า.. ไม่รู้ตัว!

ทีนี้ เวลาเรียนเนี่ย จึงต้องเรียนให้ครบ สิกขา ๓
ต้องเรียนให้ครบ ‘สีลสิกขา’ ‘จิตตสิกขา’ ‘ปัญญาสิกขา’..
ต้องเรียนให้ครบ! ในขณะที่เรามาศึกษาเรื่องจิตเนี่ยนะ ก็อย่าละเลยเรื่องศีล
ฉะนั้นไม่ว่าจะปฏิบัติถึงขั้นไหนแล้วเนี่ย
พอมันเผลอขึ้นมา มีกิเลสขึ้นมาตัวใหญ่
ขึ้นมาแล้วเนี่ย!.. ยังไง ๆ ก็อย่าไปผิดศีล

มันจะดุดัน หรือมันจะมีโทสะแค่ไหน.. ก็จะไม่ผิดศีล
มันจะมีราคะมากแค่ไหน.. ก็จะไม่ผิดศีล อย่างนี้นะ!
‘ศีล’ ยังไงก็ต้องเป็นมาตรฐาน
คือต้องศึกษาไปควบคู่กัน ไม่ใช่ศึกษาทีละเรื่อง
ในชีวิตจริงมันแยกไม่ได้ว่าจะต้องศึกษาทีละเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่
แต่ตอนเรียนมันเรียนทีละเรื่อง เพราะว่าบรรยายเป็นเรื่อง ๆ ตามลำดับไปเรื่อย ๆ

แต่ตอนศึกษาในชีวิตจริงเนี่ย มันต้องศึกษาควบคู่กันไป
มันแยกไม่ออกหรอกว่า ขณะนี้เราจะศึกษาเรื่องศีลเฉพาะนะ!
ยังไม่ศึกษาเรื่องจิต มันแยกไม่ได้
คือเวลาบรรยายในแง่ของกรรมฐานเนี่ย ก็มักจะมาขยายความในเรื่องของ ‘จิต’
หรือเรื่องของ ‘จิตตสิกขา’ มาก พอขยายเรื่องนี้ลืมขยายเรื่อง ‘ศีล’
บางทีคนฟังก็เลยละเลยเรื่อง ‘ศีล’ ไปด้วย บางทีอาศัยว่ากิเลสมันยังมีอยู่

บางทีก็มีความถือตัว หรือความโลภ พอกิเลสตัวนี้เกิดขึ้นมาแล้ว จิตไม่ทัน สติไม่ทัน
บางทีก็อาศัยสองตัวนี้ไปทำผิด ไปเบียดเบียนกันเองบ้าง ไปกดข่มกันเองบ้าง
หรือไปยกตัวเองสูงแล้วกดข่มคนอื่น
หรือบางทีก็กิเลสนั้นครอบงำใจโดยที่ตัวเองไม่รู้ ก็พาไปพูดไม่ดี
ทำไม่ดีคิดไม่ดี ในแง่ของศีลนี่มันไม่ยากในการอธิบาย
แต่ตอนลงมือปฏิบัติมันก็เบียดเบียนกันนะ

โดยเฉพาะเรื่องคำพูด
ถ้ามีการกระทบกระทั่งกัน ถ้าเรารู้ตัวเมื่อไหร่ให้ไปขอขมากัน
ถ้ามีการเบียดเบียนเป็นบุคคลนะ แต่ถ้าความผิดที่ว่านั้นไม่ได้ไปผิดต่อคน
มันเป็นผิดเฉพาะตัวเราเอง

ก็ให้เรียนรู้ว่าเป็นบทเรียนของตัวเอง ตรงนี้อยู่ในขั้นของ ‘โยนิโสมนสิการ’
แต่ถ้ามันมีการกระทบกระทั่งคน เบียดเบียนคน
ก็ต้องไปขอขมา ขออภัยกัน
สมมุติว่า.. เพื่อนกัน เดือนที่แล้วพลาดกัน
ทำอย่างนู้น ทำอย่างนี้ ก็เป็นนักปฏิบัติด้วยกันทั้งคู่ มันพลาดกันแล้ว

พอรู้ตัวก็ต้องมีความกล้าที่จะไปขอขมา พอขอขมากันได้แล้วก็หาย
แต่ถ้าเก็บเอาไว้นะ ก็จะคล้าย ๆ เป็นหนามแทงใจ
นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ เจ็บแปล้บ! เจ็บแปล้บ! ก็ต้องไปบ่งออก
วิธีบ่งออกก็คือ.. ต้องไปขอขมากัน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ที่ลิงค์ bit.ly/22ol2HG
ถาม – ผู้ปฏิบัติที่ได้รับคำชมว่าภาวนาดี แต่ทำไมยังเบียดเบียน แย่งชิง ศีลไม่ดี.mp3