Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

“อลัชชี” คือบุคคลประเภทใดบ้างเจ้าคะ ?

ถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์.. ขอเรียนถามว่า “อลัชชี” คือบุคคลประเภทใดบ้างเจ้าคะ ?

ตอบ : อลัชชี แปลว่า ผู้ไม่มีความละอาย ผู้หน้าด้าน

โดยมากจะใช้คำนี้กับพระภิกษุที่มักจะประพฤติผิดศีลผิดพระวินัย ละเมิดพุทธบัญญัติ โดยจงใจละเมิด หรือทำผิดแล้วไม่แก้ไข

ในพระวินัยอธิบายว่า
การต้องอาบัติของพระภิกษุ มีได้ด้วยอาการ ๖ อย่าง คือ
๑. ด้วยความไม่ละอาย
๒. ด้วยความไม่รู้
๓. ด้วยความสงสัยแล้วขืนทำ

๔. ด้วยความสำคัญผิดในสิ่งที่ไม่ควรว่าควร
๕. ด้วยความสำคัญผิดในสิ่งที่ควรว่าไม่ควร
๖. ด้วยความหลงลืมสติ

ในข้อ ๑ ต้องอาบัติด้วยความไม่ละอายนี้ นับว่าเลวที่สุด ซึ่งก็คือ “พระอลัชชี” หรือ “อลัชชีภิกษุ” นี่เอง

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“ภิกษุแกล้งต้องอาบัติ ปกปิดอาบัติ และถึงความลำเอียงด้วยอคติ, ภิกษุเช่นนี้ เราเรียกว่า อลัชชีบุคคล”

อลัชชีภิกษุ แม้จะเป็นผู้รอบรู้เล่าเรียนมาก อาจจะดูเรียบร้อย แต่เห็นแก่ลาภยศ ก็แกล้งกล่าวให้ผิดแบบแผน แสดงวาทะนอกธรรมนอกวินัย ย่อมทำอันตรายอย่างมากมายทั้งแก่ตน

และแก่พระศาสนา อาจทำให้สงฆ์ร้าวฉาน หรืออาจถึงขั้นทำให้สงฆ์แตกแยกได้

ลัชชีภิกษุ คือภิกษุผู้มีความละอาย มีหิริและโอตตัปปะ ยอมเป็นผู้ใฝ่ศึกษา แม้ตายก็ไม่มีความจงใจกล่าวให้ผิดแบบแผน ด้วยความเคารพในพระธรรมวินัย

ลัชชีภิกษุ แม้จะไม่มีความสามารถในการแสดงธรรม แต่มีปฏิปทาตรงตามพระธรรมวินัย ก็นับได้ว่าเป็นผู้รักษาสืบทอดพระศาสนา ควรแก่การสักการะบูชา เป็นเนื้อนาบุญ

๓๐ เมษายน ๒๕๖๐

เห็นสภาวะธรรมตามไตรลักษณ์ พิจารณาอย่างไรต่อไป ?

ถาม : จากการปฏิบัติของผมเอง: ผัสสะ > เวทนา > ตัณหา เมื่อปฏิบัติภาวนาระดับหนึ่งแล้ว จะปรากฏให้เห็นถึง ทุกข์ ตัณหา ในขันธ์ รูป นาม ได้ชัดเจนขึ้น เห็นสภาวะธรรม
ตามไตรลักษณ์แล้ว… หลังจากนี้ ผมขอกราบเรียนถามคำชี้แนะ จากท่านพระอาจารย์ว่า ผมจะต้องพิจารณาอย่างไรต่อไป ?

ตอบ : ถ้าเห็นไตรลักษณ์แล้ว ก็ปฏิบัติต่อไปนะ ทำเหมือนเดิม เพราะเห็นไตรลักษณ์ก็แสดงว่ามาถูกทาง

ที่ว่าเห็นทุกข์ เห็นอย่างไร ?

ถ้าเห็นว่า มันทนยาก รู้สึกไม่สบาย รู้สึกลำบาก อย่างนี้เท่ากับเห็นทุกขเวทนา

ถ้าเห็นว่า สภาวะรูปนามที่เกิดขึ้นเป็นสภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ มันถูกเหตุปัจจัยต่าง ๆ บีบคั้นให้เกิดดับไป ก็เท่ากับเห็นทุกข์ในไตรลักษณ์ ให้เห็นทุกข์ในไตรลักษณ์นี้บ่อย ๆ
เห็นแล้วเห็นอีก จนกว่าจิตจะยอมรับความจริง

แรก ๆ อาจจะมีเจตนาคิดนำ แต่ขณะที่จะได้ผล จิตจะเข้าใจของเขาเอง

๒๘ เมษายน ๒๕๖๐

อัตตา กับ มานะ

ถาม : อัตตาคือความมีตัวตน แต่มานะคือความถือตัวว่าเป็นคนเก่งและอวดดี ใช่มั้ยคะ ?

ตอบ : อัตตา กับ มานะ สองคำนี้มักจะมีความเข้าใจและใช้สับสนกันอยู่บ้าง

อัตตา แปลว่า ตน, ตัวตน

มานะ แปลว่า ความถือตัว, ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่

“อัตตา” ไม่มีอยู่จริง ที่กล่าวว่า “ตน” ก็เป็นเพียงคำที่สมมติกันขึ้น เพื่อให้สะดวกในการสื่อสารกันในหมู่มนุษย์ ปัญหามันเกิดขึ้นก็ตรงที่ พอสมมติกันแล้วก็หลงยึดถือว่ามีตัวตนจริง ๆ
เรียกว่า “หลงสมมติ”

อัตตาไม่ใช่กิเลส ไม่ต้องละอัตตา เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง สิ่งที่จะต้องทำก็คือ รู้เท่าทันตามความเป็นจริงว่าไม่มีอัตตา นั่นคือมีปัญญารู้ความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งปวง
เมื่อรู้อย่างนี้ก็เรียกว่า มีสัมมาทิฐิ สิ่งที่ละจริง ๆ คือละมิจฉาทิฐิ

ส่วน “มานะ” เป็นการถือเทียบเคียง ถือแบบเเข่งกัน ถือตัวทะนงตน สำคัญตนว่าเด่นว่าด้อยกว่าเขา มานะเป็นกิเลส ซึ่งเป็นตัวการทำให้ไม่ยอมกัน กดข่มกัน มานะจึงเป็นสิ่งที่ควรละไปเสีย

มานะเป็นปัญหาของจิตใจ เกิดขึ้นเมื่อใดก็มักจะรู้สึกเบ่งป่องพองตัว แต่แท้ที่จริงจิตกำลังมัวหมอง ไม่ผ่องใส มีสติรู้สึกตัวขึ้นมาครั้งใด จะรู้สึกว่าน่าละอายใจ

ส่วนอัตตาเป็นปัญหาของปัญญา ถ้ารู้ความจริงว่า สิ่งที่เรียกกันเป็นสัตว์ เป็นคน เป็นตัวตน เป็นต้นนั้น เมื่อแยกแยะออกมาก็เป็นเพียงขันธ์ ๕ ตัวตนแท้ ๆ นั้นไม่มี ปัญหาเรื่องอัตตาก็หมดไป

เพราะเข้าใจแล้วว่า สิ่งทั้งหลายเป็นเพียงสภาวธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นต่อเนื่องกันมา อย่างนี้ จะเรียกว่า “เห็นอนัตตา” ก็ได้

เมื่อเข้าใจแล้วว่าอัตตาไม่มี แต่ก็พูดเรื่อง “ตน” ในระดับสมมติได้ เช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อตฺตา หิ อตฺตโนนาโถ – ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ก็เป็นการหยิบเอาสมมติบัญญัติ
มาใช้สอนจริยธรรมเท่านั้น

หรือที่สอนกันว่า “อย่าไปถือตัวถือตน” ก็เป็นคำสอนด้านจริยธรรม เพื่อไม่ให้มานะครอบงำจิตใจมากเกินไป แต่ถ้าว่าโดยสัจธรรมแล้วก็คือ “ไม่มีตัวตนที่จะถือ”

๑๔ เมษายน ๒๕๖๐

โสตวิญญาณผัสสะกับเสียง ลักษณะสันตติ ทำให้เกิดบัญญัติ ?

ถาม: โสตวิญญาณไปผัสสะกับเสียง ในลักษณะสันตติ ทำให้เกิดบัญญัติ ใช่ไหมครับ ?

ตอบ : ผัสสะ แปลว่า การกระทบ หมายถึงความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน + อายตนะภายนอก + วิญญาณ เรียกอีกอย่างว่า สัมผัส

โสตสัมผัส แปลว่า ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ

โสตวิญญาณ แปลว่า ความรู้อารมณ์ทางหู คือ รู้เสียงด้วยหู พูดง่าย ๆ ว่า ได้ยิน

สันตติ แปลว่า การสืบต่อ หมายถึงการเกิดกับต่อเนื่องกันไป โดยอาการที่เป็นปัจจัยส่งผลแก่กัน ทั้งในทางรูปธรรม และนามธรรม

จิตก็มีสันตติ คือเกิดดับเป็นปัจจัยสืบเนื่องต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ไม่ขาดสาย ทำให้ไม่เห็นความไม่เที่ยงของสภาวธรรมได้ ต้องอาศัยการเจริญสติ เห็นสภาวธรรมที่กำลังปรากฏ
จนเห็นความเกิดดับ บางทีครูบาอาจารย์ก็เรียกการเห็นความเกิดดับตรงนี้ว่า สันตติขาด

บัญญัติ แปลว่า การตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ

สมมติบัญญัติ หมายถึงสิ่งที่ไม่มีลักษณะของสภาวธรรม แต่เป็นเรื่องราวที่เกิดจากการคิดและตกลงเรียกกันขึ้นมา

สมมติสัจจะ คือความจริงโดยสมมุติ ที่ขึ้นต่อการยอมรับกัน หรือตามที่กำหนดหมายตกลงกันไว้ เช่น นายดำ นางแดง ม้า แมว เป็นต้น (ตรงข้ามกันกับ ปรมัตถสัจจะ คือความจริง

โดยปรมัตถ์ ไม่ขึ้นต่อการยอมรับของคน เป็นความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ เป็นความจริงโดยความหมายสูงสุดที่ตรงตามสภาวะ เช่น รูป เวทนา สัญญา เป็นต้น)

อธิบายคำศัพท์มามากมาย เพราะอ่านคำถามแล้ว.. งงงวย ไปไม่ถูกเลย !

คำถามนี้ ถ้าแปลให้ง่ายว่า “การได้ยินเสียงต่อเนื่องนาน ๆ จะทำให้เกิดสมมติบัญญัติ ใช่หรือไม่ ?” ก็ตอบได้ว่า ไม่ใช่ เพราะสมมติบัญญัติเกิดจากการคิด

เช่น ถ้านั่งหน้าพัดลม เปิดพัดลมเบอร์สาม ฟังเสียงพัดลมไป ๒ นาที ถ้าไม่คิดอะไร

ก็ได้ยินเสียงอยู่ ๒ นาที ก็ไม่ปรากฏสมมติบัญญัติอะไร แต่ถ้าคิดว่า ‘เปิดแอร์ดีกว่า’ ที่ว่า ‘เปิดแอร์ดีกว่า’ นั้นเป็นสมมติบัญญัติ หรือแม้แต่คิดว่า ‘เสียงดังจัง’

ที่ว่า ‘เสียงดังจัง’ นั้นก็เป็นสมมติบัญญัติ

๘ เมษายน ๒๕๖๐

บุญที่ยินดีทำกับฝืนใจทำ ต่างกันอย่างไร ?

ถาม : บุญที่ยินดีทำเองกับฝืนใจทำ ต่างกันอย่างไร ?

ตอบ : มันขึ้นอยู่กับว่า บุญที่ทำนั้นทำอะไร ? ตรงทางแค่ไหน ?

บุญ คือ ความดี ความประพฤติชอบทางกายวาจาและใจ มีวิธีทำได้หลายทาง

แบ่งแบบง่าย ๆ เป็น ๓ ทาง คือ
๑. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้
๒. สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา

คนไทยได้ยินคำว่าบุญ ก็มักจะนึกถึงเพียงเรื่องทาน – การให้ และที่ถามมา ก็คงเป็นเรื่องนี้

หากบุญที่ทำนั้นตรงทาง.. ก็เป็นเรื่องดี และถ้าเต็มใจทําเอง ก็ยิ่งดี

หากเป็นบุญตรงทาง.. แต่ยังไม่อยากทำ ต้องมีคนอื่นมาชวนให้ทำ แม้จะฝืนใจทำ.. มันก็ยังดี แต่อานิสงส์ของความดีมันก็ไม่มากเท่ากับความดีที่ยินดีทำเอง

แต่ไม่ได้หมายความว่า.. ฝืนใจทำดีแล้วไม่ดีนะ คือความดีที่ได้ แม้จะไม่มากเท่าความดีที่ยินดีทำเอง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ

แต่ถ้าคิดว่าเป็นบุญ แต่ความจริงมันไม่ใช่บุญ (อาจจะเป็นเพราะเข้าใจผิด หรือมีมิจฉาทิฐิ) แม้จะเต็มใจทำ ก็ไม่ค่อยดี อย่างเช่น ทำทานกับอลัชชี กรณีอย่างนี้ การทำแบบฝืน ๆ ทำ
เพื่อนชวนมาทำก็ไป ก็ดีกว่าเต็มใจทำ

ก็ต้องแยกให้ออกว่าทำบุญอะไร ? แบบไหน ?

อย่าลืมว่า บุญ.. ทำได้ ๓ แบบ

ถ้าจะทำทาน ก็ควรระลึกในแง่ที่ว่า ทำเพื่อขัดเกลากิเลส ทำเพื่อลดความตระหนี่ สละความเห็นแก่ตัว แม้จะฝืนใจ แต่ถ้าระลึกได้อย่างนี้ก็ย่อมดีอยู่แล้ว

ถ้าจะรักษาศีล หากระลึกได้ถึงกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ แล้วรักษาความประพฤติทางกายวาจาไว้ได้ ก็ได้บุญมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ได้ทั้งเจริญสติและรักษาศีล แม้กิเลสจะยังไม่ดับ
แต่ก็ฝืนใจเพื่อไม่ให้ผิดศีล ก็ยังนับว่าดี

ถ้าจะเจริญภาวนา ก็ควรทำให้ครบทั้งสมถะและวิปัสสนา ทำสมถะได้ก็ทำไปก่อน ถ้าทำสมถะยังไม่ได้ก็ทำวิปัสสนาไปก่อน ไม่ต้องรอ ดูกิเลสไปเลย มีที่อยู่ของใจไว้สักที่หนึ่ง

พอเผลอไป ก็รู้ทันความเผลอ พอไม่อยากเผลอ.. ไปเพ่งเอาไว้ ก็รู้ทันความเพ่ง รู้ทันสภาวะ

ทั้งที่ดีและไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ดี รู้ไป จนสภาวะทั้งหลายสอนใจว่า ที่ปรากฏทั้งหมดนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ภาวนามาตั้งนาน ไม่เห็นความก้าวหน้า แต่ก็ฝืนทำอยู่ ก็ยังดีกว่าท้อถอย จนเลิกภาวนา

แรก ๆ อาจจะผืนทำ ทำบ่อย ๆ ก็ติดเป็นนิสัย กลายเป็นทำไปอย่างอัตโนมัติ ทำจนจิตยินดีทำเองนั่นแหละ

๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐

การจัดสัมมาสังกัปปะเป็นปัญญา ไม่น่าจะถูก

ถาม : การจัดสัมมาสังกัปปะเป็นปัญญานั้น.. ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะข้อนี้คือกุศลกรรมบถส่วนของใจ (สัมมาวาจา เป็นส่วนของวาจา, สัมมากัมมันตะ เป็นส่วนของกาย) เมื่อประกอบกันเป็นกุศลกรรมบถ จะต้องมีวิริยะในการเจริญกุศล ตามสัมมาวายามะ

ตอบ : กุศลกรรมบถ ก็เป็นธรรมที่พึงปฏิบัติ คือเป็นภาเวตัพพธรรม เช่นเดียวกับ มรรคมีองค์ ๘ และไตรสิกขา ธรรมทั้งสามหมวดนี้จึงสงเคราะห์เข้ากันได้

กุศลกรรมบถ ๓ ข้อท้าย (ที่เป็นส่วนของมโนกรรม คือ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น, ไม่มีจิตคิดร้าย และมีความเห็นชอบ) นั้น สงเคราะห์เข้าในอธิจิตตสิกขา และ อธิปัญญาสิกขา
การจัดสัมมาสังกัปปะเป็นปัญญา จึงถูกต้องแล้ว

สัมมาสังกัปปะ แปลว่า ดำริชอบ

คำจำกัดความของสัมมาสังกัปปะ คือ เนกขัมสังกัปปะ, อพยาบาทสังกัปปะ และ อวิหิงสาสังกัปปะ

และสัมมาสังกัปปะยังแบ่งเป็น ๒ ระดับ เช่นเดียวกับสัมมาทิฏฐิ คือ
๑. สัมมาสังกัปปะที่ยังมีอาสวะ
๒. สัมมาสังกัปปะที่ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ

๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐

อธิบายเรื่องขันธ์ ๕ และ ไตรลักษณ์

ถาม : ขอให้อธิบายความหมายของคำว่าขันธ์ ๕ และ ไตรลักษณ์ ครับ .. ขอแบบง่าย ๆ นะครับ

ตอบ : ของ่าย ๆ นี่แหละ.. ยาก !!!

ขันธ์ ๕ คือคำตอบของคำถามที่ว่า “ชีวิต คืออะไร ?”

ส่วน ไตรลักษณ์ คือคำตอบของคำถามที่ว่า “ชีวิต เป็นไปอย่างไร ?”

ชีวิต ประกอบด้วย กาย กับ ใจ
พูดให้ตรงหน่อยก็คือ รูป กับ นาม

เรื่องใจเป็นเรื่องสำคัญ

ท่านจึงแยกแยะรายละเอียดในส่วนของนามอีก
เป็น เวทนา (ความรู้สึก), สัญญา (จำ, หมายรู้), สังขาร (ความปรุงแต่ง) และวิญญาณ (รู้อารมณ์)

ซึ่งเมื่อแยกออกมาแล้ว ก็เป็นเพียงสภาวะที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมด
ไม่มีส่วนไหนที่เป็นเรา เขา หรือตัวตนอะไรเลย

และสภาวะทั้งหลายที่เห็น
แม้จะมีลักษณะเฉพาะต่าง ๆ นานา

แต่ก็มีลักษณะโดยรวมที่เป็นธรรมดาสามัญเหมือน ๆ กัน ก็คือ
ทุก ๆ สภาวะ ล้วนเกิดดับ (ไม่เที่ยง) ถูกบีบคั้นให้เปลี่ยนไป (เป็นทุกข์) และไม่ใช่ตน (อนัตตา)

มีความจริงของสภาวะอยู่ ๓ อย่างนี้ จึงเรียกรวมว่า ไตรลักษณ์

และเพราะลักษณะทั้ง ๓ นี้ มีแก่สิ่งทั้งหลายเป็นสามัญเสมอเหมือนกัน จึงอีกชื่อหนึ่งว่า สามัญลักษณะ

จะรู้สึกว่าคำตอบนี้ง่ายขึ้น ต่อเมื่อได้มีสติรู้สภาวะบ้าง

จะรู้กาย (รูป) ก็ได้
จะรู้ใจ (นาม) ก็ได้

แต่ต้องเป็นสภาวะที่เป็นปัจจุบัน
ไม่ใช่คิดนึกเอา

เช่น โกรธ แล้วรู้ทันโกรธ (ที่เกิดเมื่อกี้ทันที โดยไม่มีอะไรมาแทรก)
ความโกรธที่มีสติรู้ทันนั้น ก็จะแสดงความจริงแง่ใดแง่หนึ่งให้เห็นแล้ว

อาจจะเห็นในแง่ไม่เที่ยง คือเห็นโกรธเกิดดับ
หรืออาจจะเห็นในแง่เป็นอนัตตาก็ได้ คือเห็นว่า โกรธเกิดเอง และดับไปเอง เป็นต้น

คำตอบจะง่าย ถ้าได้เห็นสภาวะรูปนาม (ขันธ์ ๕)
แล้ว สภาวะรูปนาม (ขันธ์ ๕) ก็จะสอนให้เข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ได้เอง

ถ้าเอาแต่คิด.. ยาก !

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล

หัวข้อบรรยายเรื่อง ขันธ์ ๕ ที่น่าจะง่าย
กลุ่มบ้านอริยะ ๘ มกราคม ๒๕๖๐

เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๐

การเน้นในเรื่องการ​ศึกษา​และ​ปฏิบัติ

ถาม : ดูเหมือนว่า​การ​ศึกษา​และ​ปฏิบัติ​ ไม่​ค่อย​เน้น​เรื่อง​มรรค​มี​องค์​ ๘​ บาง​แห่ง​เน้น​วิปัสสนา​ ซึ่ง​ไม่​อธิบาย​ว่า​อยู่​ใน​องค์​ใด​ของ​มรรค​ แต่​กลับ​อธิบาย​ถึง​ญาณ​ระดับ​ต่าง​ ๆ​

ตอบ​ : ไม่ว่า​จะ​เน้น​เรื่อง​มรรค​มี​องค์​ ๘​ หรือ​เน้น​เรื่อง​วิปัสสนา​ ก็​เรื่อง​เดียวกัน​

วิปัสสนา​ เรียก​เต็ม ​ๆ ​ว่า​ วิปัสสนา​ภาวนา​

อยู่​ใน​หมวด​ธรรม​ที่​ชื่อ​ว่า​ ภาวนา​ ๒​ ได้แก่​
๑. สมถ​ภาวนา​
๒. วิปัสสนา​ภาวนา​

ทั้ง​ภาวนา​ ๒​ และ​ มรรค​มี​องค์​ ๘​ ต่าง​ก็​เป็น​ “ภาเวตัพพธรรม” คือ​ธรรม​ที่​พึง​ปฏิบัติ​

ทีนี้​ก็​สุด​แล้วแต่​ผู้​สอน​ จะ​นำ​ธรรม​หมวด​ไหน​มา​อธิบาย​หรือ​มา​เน้น​

ซึ่ง​สุดท้าย​ก็​เรื่อง​เดียวกัน​อยู่ดี

๑๓ มกราคม ๒๕๖๐

เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๐

เป้าหมายในทางธรรมในชาตินี้

ถาม : ขอสอบถามท่านอาจารย์ถึงเป้าหมายในทางธรรมในชาตินี้ครับ
เพื่อจะนำไปสู่การทำหน้าที่ของพุทธบริษัทต่อไป ในฐานะที่ผมเป็นส่วนหนึ่งในพุทธบริษัทครับ

ตอบ : เป้าหมายในชาตินี้ ของพุทธบริษัท
ในแง่ที่เป็นประโยชน์ตน ก็เรียงจากขั้นสูงสุดลงไปตามลำดับได้ดังนี้คือ
1. บรรลุอรหัตตผล
2. บรรลุอนาคามิผล
3. บรรลุสกทาคามิผล

4. บรรลุโสดาปัตติผล
5. แม้ยังไม่บรรลุธรรมใน 4 ข้อข้างต้น ก็มีความมั่นใจตั้งแต่ในชาตินี้ว่า ชาติหน้าจะไม่ไปสู่อบาย
6. ชาตินี้ก็มีทรัพย์ มีกัลยาณมิตร และมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ของคนดี

ในฐานะที่เป็นอุบาสก ก็ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. มีศรัทธาในพระรัตนตรัย
2. มีศีล

3. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อในหลักกรรม คือมุ่งหวังผลจากการกระทำและการงาน ไม่หวังจากโชคลางหรือของขลัง
4. ไม่แสวงหาทักขิไนยภายนอกพุทธศาสนา
5. ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา

นอกจากนี้ ยังควรหมั่นเข้าหาครูบาอาจารย์
ไปฟังธรรมและสอบถามปัญหา

และควรระวังว่า จะไม่ฟังธรรมด้วยความเพ่งโทษติเตียน
แต่จะเรียนเพื่อให้รู้หลักธรรม แล้วนำไปปฏิบัติให้เห็นจริง

เป้าหมายในชาตินี้ ในแง่ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ก็ควร
1. ให้ทาน แบ่งปัน ช่วยเหลือกันด้วยสิ่งของ ตลอดจนให้ความรู้และคำแนะนำสั่งสอน
2. มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน สมานสามัคคี มีประโยชน์

3. ขวนขวายช่วยเหลือ มีจิตสาธารณะ บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม
4. ทำดีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมแก้ไขปัญหา รวมทั้งวางตนให้เหมาะสมกับฐานะ
และกาลเทศะ

และถ้าจะให้ดีสมบูรณ์

เป้าหมายในชาตินี้ ก็ควรให้ได้ในแง่ที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
คือทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ของผู้อื่น

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็รวมทั้งในฐานะอุบาสิกาด้วย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

หาที่อยู่ให้จิต

ถาม : กราบนมัสการค่ะ เป็นคนคิดมากวิตกกังวล และหงุดหงิดง่ายค่ะ
ปกติฝึกในรูปแบบ ใช้ ‘พุทโธ’ เป็นเครื่องอยู่ค่ะ
ต่อมาหายไป ก็คอยรู้ทันจิตไหล

แต่ในชีวิตประจำวัน ไม่สามารถหาที่อยู่ให้จิตได้ มันว่าง ๆ แต่ก็คิดฟุ้งซ่านตลอด
นาน ๆ จะรู้ทีว่า เผลอบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง หลงบ้าง
ลองใช้ ‘พุทโธ’ หรือ ดูกายเคลื่อนไหว ก็ได้แค่ไม่กี่วินาที แล้วก็หลงยาวเลยค่ะ
ขอความเมตตา แนะนำด้วยค่ะ

ตอบ : ก่อนอื่น ให้เปลี่ยนมุมมอง
ความรู้สึกใหม่
จาก ‘นักปฏิบัติ’
มาเป็น ‘นักศึกษา’

คือทำไว้ในใจว่า จะขอเรียนรู้ความจริง
คำว่า ‘ปฏิบัติ’ มันหลอกใจเราให้ทำอะไรที่ไม่ธรรมดา
เพื่อให้ได้สิ่งที่ไม่ธรรมดา

จิตขณะนี้มันเผลอ มันฟุ้ง ก็เป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเป็นนักปฏิบัติ.. ก็จะทำให้หายฟุ้ง บังคับมัน
ถ้าเป็นนักศึกษา.. ก็จะรู้ไปตามที่มันเป็น

นักปฏิบัติ
ถ้าทำได้ตามต้องการ ก็จะดีใจ ภูมิใจ รู้สึกว่า ‘เราเก่ง’
ถ้าทำไม่สำเร็จ ก็หงุดหงิด เครียด

นักศึกษา
จะได้องค์ความรู้ สะสมไปเรื่อย ๆ
จนเข้าใจความจริงที่ซ่อนอยู่

คือเบื้องต้น จะเข้าใจลักษณะของสภาวะที่ปรากฏ
ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา

นักปฏิบัติ
เวลามีเครื่องอยู่ ก็มักจะเข้าใจว่า จิตต้องอยู่กับเครื่องอยู่เท่านั้นจึงจะดี
พอจิตเผลอ จิตหลง ก็รีบบังคับจิตให้กลับ ให้อยู่นิ่ง ๆ
กะจะให้ได้ดีกันตรงนี้

นักศึกษา
จะมีเครื่องอยู่ เพียงเพื่อเอาไว้คอยสังเกตว่า จิตเผลอเป็นอย่างไร
คือเอาไว้ศึกษาความจริงว่า จิตทำงานอย่างไร

เห็นครั้งหนึ่งแล้วยังไม่เข้าใจ.. ก็กลับมาที่เครื่องอยู่ เพื่อเรียนอีก
เริ่มเข้าใจแล้ว แต่ยังไม่แจ่มแจ้ง.. ก็กลับมาที่เครื่องอยู่ เพื่อเรียนอีก

ฉะนั้น ปัญหาไม่ได้เป็นที่ ‘เครื่องอยู่’
แต่อยู่ที่ ‘มุมมอง’

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๐

โอวาทปาติโมกข์ ข้อ “ทำกุศลให้ถึงพร้อม”

ถาม : อยากถามเรื่องโอวาทปาติโมกข์ค่ะ
มีข้อสงสัยว่า ในข้อที่ว่า “ทำกุศลให้ถึงพร้อม” นั้น
สำหรับปุถุชนแล้ว ทำกุศลอย่างไร แค่ไหนจึงจะเรียกว่าถึงพร้อมคะ ?

ตอบ : ตามหลักแล้ว คำว่า “ทำกุศลให้ถึงพร้อม” ท่านมักจะหมายเอา “กุศลกรรมบถ ๑๐”
อันได้แก่

๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการทำลายชีวิต – มีเมตตากรุณาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ช่วยชีวิตกัน

๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้ – เคารพกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น

๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม – ไม่ล่วงละเมิดประเวณีทางเพศ

๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ – ไม่ยอมกล่าวเท็จเพราะเหตุตนเอง ผู้อื่น หรือเพราะเห็นแก่ประโยชน์ใด ๆ

๕. ปิสุณายะ วาจายะ เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด – พูดถ้อยคำที่สร้างสามัคคี

๖. ผรุสายะ วาจายะ เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ – พูดคำสุภาพอ่อนหวาน

๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ – พูดเรื่องที่มีสาระ มีประโยชน์ มีเหตุผล ถูกกาลเทศะ

๘. อนภิชฌา ไม่โลภคอยจ้องอยากได้ของเขา

๙. อพยาบาท ไม่คิดร้ายเบียดเบียนเขา – ปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีทุกข์ ครองตนอยู่เป็นสุข

๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม – เช่น เห็นว่าทานมีผล การบูชามีผล วิบากของกรรมดีกรรมชั่วมีจริง เป็นต้น

ข้อ ๑ – ๓ เป็น กายกรรม ๓
ข้อ ๔ – ๗ เป็น วจีกรรม ๔
ข้อ ๘ – ๑๐ เป็น มโนกรรม ๓

เวรมณี แปลว่า เจตนาที่ทำให้เว้น
ก็คือเจตนาที่ตรงข้าม

เช่น ปาณาติปาตา เวรมณี ก็หมายถึงว่า การทำดีที่ตรงข้ามกับการเบียดเบียนทำลายชีวิต
ข้ออื่น ๆ ก็ในทำนองเดียวกัน

สรุปง่าย ๆ คือ
พร้อมที่จะทำกรรมดีอยู่เสมอ

และทางที่จะทำกรรมดี ก็มีได้ทุกทาง
ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือแม้แต่ทางใจ

การทำกุศลที่ได้อานิสงส์มากจริง ๆ
ก็ควรคำนึงด้วยว่า

ไม่ใช่ทำเพื่อเอาเข้าตัว – เสริมตน หรือ “งกบุญ”
แต่จะทำด้วยความเข้าใจในคุณค่าของสิ่งที่ทำ

และเป็นไปในลักษณะ “สละออก”

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

สัมมาอาชีวะในความหมายสำหรับพระ

ถาม : สัมมาอาชีวะ มีผู้อธิบายว่า คือไม่ประกอบอาชีพที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่น ขายอาวุธ, ขายยาพิษ ซึ่งถูกสำหรับชาวบ้าน แต่ถ้าเป็นพระ ควรหมายความเท่ากับมหาศีล คือไม่ทำน้ำมนต์, ไม่เป็นหมอดูฤกษ์ยาม เป็นต้น

ตอบ : ที่ว่า “ไม่ประกอบอาชีพที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เช่น ขายอาวุธ, ขายยาพิษ” นั้น เป็นเรื่องของมิจฉาวณิชชา
การค้าขายที่อุบาสกอุบาสิกาไม่ควรประกอบ ซึ่งยังไม่ครอบคลุมความหมายของสัมมาอาชีวะ

สัมมาอาชีวะ มีคำจำกัดความกว้าง ๆ ว่า
ละมิจฉาอาชีวะเสีย หาเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ

ที่ให้คำจำกัดความไว้กว้าง ๆ อย่างนั้น เพราะบุคคลแต่ละสถานะมีการเลี้ยงชีพแตกต่างกันไป

การหาเลี้ยงชีพ ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องการค้าขาย
ไม่ได้หมายเพียงการใช้แรงงานให้เกิดผลผลิต หรือการทำงานแล้วได้เงินค่าจ้าง

แต่หมายถึงการทำหน้าที่ ความประพฤติ หรือการดำรงตนอย่างถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่ทำให้เป็นผู้สมควรแก่การได้ปัจจัยบำรุงเลี้ยงชีวิต

ผู้ใช้แรงงาน ทำงานสุจริตเพื่อรับเงินค่าจ้าง มีสัมมาอาชีวะได้
ชาวนา ทำนา ไถหว่าน ก็เป็นสัมมาอาชีวะได้

แต่พระภิกษุเลี้ยงชีพด้วยการทำงานเช่นนั้น ย่อมไม่เป็นสัมมาอาชีวะ
การประพฤติอยู่ในมหาศีล ก็ส่วนหนึ่งในสัมมาอาชีวะด้วย

พึงสังเกตว่า คำว่า อาชีวะ ในที่นี้ ไม่ได้มีความหมายตรงกับคำว่า อาชีพ ที่เราเข้าใจกันในปัจจุบัน

เด็ก ๆ อายุเจ็ดแปดขวบ ยังไม่มีอาชีพการงานอะไร

แต่ประพฤติตนให้เป็นลูกที่ดี สมควรแก่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ ก็ยังนับว่าเด็กนั้นมีสัมมาอาชีวะได้
และเด็กนั้นก็มีโอกาสบรรลุมรรคผลได้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

ถือศีล ๕ ได้แค่ ๔ ข้อ / เห็นเขาฆ่าสัตว์เพื่อทำอาหาร / บ้านแฟนขายของชำ แม่แฟนขายสุรา

ถาม ๑: ผมถือศีล ๕ ได้แค่ ๔ ข้อครับ
โดยมากจะผิดข้อ ๕ ครับ แต่นาน ๆ ๆ นานจริง ๆ จะผิดข้อ ๕ ครับ ผมควรทำอย่างไรครับ ?
จะเป็นบาปไหมครับ ?

ตอบ : ได้อย่างนี้ ก็ถือว่าดีมากแล้วนะ เราก็เพียรรักษาศีลทั้ง ๔ ข้อนั้นต่อไป อย่าได้ละเมิด
คุณความดีที่มีอยู่ ก็รักษาเอาไว้ให้ได้

ส่วนข้อ ๕ ถ้าผิดไปแล้ว ก็สมาทานใหม่ เราก็ระวังอย่าให้ผิดบ่อย และอย่าให้ถึงกับเมามายเสียสติ
เพราะมันจะพลาดไปผิดศีลข้ออื่น ๆ ได้อีก

ถาม ๒ : เราจะวางใจอย่างไรครับ เมื่อเห็นเขาฆ่าสัตว์ เช่น เขาฆ่าเพื่อทำอาหาร ?

ตอบ : ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยอะไรไม่ได้ ก็เจริญอุเบกขา
คือมองว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน และย่อมได้รับผลของกรรมที่ทำไว้เอง
มีคำเจริญอุเบกขาดังนี้

“สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฎิสะระณา, ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ”

แปลความว่า
เราทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เป็นผู้ได้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว เราจักเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น

ถาม ๓ : บ้านแฟนผมขายของชำ และแม่แฟนผมขายสุราด้วย ผมต้องวางใจอย่างไรครับ ?

ตอบ : ถ้าอยู่ด้วยกัน ก็ขอแนะนำ ดังนี้
๑. ไม่โฆษณาเชิญชวนให้ซื้อ ไม่มีโปรโมชั่น ไม่โชว์สินค้า ใครจะมาซื้อก็ถือว่าเป็นความประสงค์ของเขาเอง
๒. นำกำไรที่ได้จากการขายสุราไปทำบุญ และเน้นบุญในแง่เตือนให้เกิดสติ หรือเจริญปัญญาให้หายหลง
๓. ถ้ามีโอกาส ก็ปรึกษากัน เพื่อให้เห็นตรงกันว่ามีโทษ และหาทางเลิกขายสินค้าประเภทนี้

********

หมายเหตุ

บทสวด ปัญจอภิณหปัจจเวกขณะ (เช่นในหนังสือวัดสังฆทาน)
ที่ขึ้นต้นว่า ชะราธัมโมมหิ
เป็นคำสำหรับพิจารณาตนเอง

คำภาษาบาลีจะเป็นอย่างหนึ่ง
คำเจริญอุเบกขา
ที่ขึ้นต้นว่า สัพเพ สัตตา

พิจารณาไปที่สัตว์ทั้งหลาย
คำภาษาบาลีก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
#ปัญจอภิณหปัจจเวกขณ์

ข้อที่พึงพิจารณาเนือง ๆ ๕ ประการ

๑. ชะราธัมโมมหิ เรามีความแก่เป็นธรรมดา
ชะรัง อะนะตีโต จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้

๒. พะยาธิธัมโมมหิ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
พะยาธิง อะนะตีโต จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้

๓. มะระณะธัมโมมหิ เรามีความตายเป็นธรรมดา
มะระณัง อะนะตีโต จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

๔. สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย

๕. กัมมัสสะโกมหิ เรามีกรรมเป็นของๆตน
กัมมะทายาโท เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
กัมมะโยนิ เรามีกรรมเป็นแดนเกิด

กัมมะพันธุ เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
กัมมะปะฏิสะระโน เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสามิ เราทำกรรมอันใดไว้

กัลฺยาณัง วา ปาปะกัง วา เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น
……

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

ใส่บาตรด้วยผลไม้ที่เป็นกัปปิยะ

ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะ เวลาใส่บาตรประเภทผลไม้ ต้องปอกเปลือกออกจนสามารถฉันได้เลย
อย่างเช่น ส้ม จะต้องเอาเยื่อเส้นใยข้างในออกด้วย แต่ถ้าใส่เป็นลูกก็จะสามารถเก็บไว้ฉันมื้ออื่นได้อีกค่ะ
ไม่รู้ทราบมาผิด ๆ หรือเปล่า อยากทำให้ถูกต้องค่ะ

ดูเป็นคำถามไม่ค่อยน่าถามยังไงก็ไม่รู้ แล้วแต่ความกรุณาของพระอาจารย์เจ้าค่ะ
อยากทำให้ถูกต้องและประณีตขึ้นเจ้าค่ะ

ตอบ : การบริโภคผลไม้ มีพระวินัยบัญญัติให้ทำให้ควรแก่สมณะที่จะบริโภคเสียก่อน มีศัพท์ทางพระเรียกกันว่า”ทำกัปปิยะ”

ผลไม้ที่สมควร หรือเป็นกัปปิยะ มีลักษณะดังนี้
๑. ผลไม้ที่ถูกจี้ด้วยไฟ (อาจจะใช้ฟืนที่ติดไฟมาจี้ที่ผลไม้ หรือแม้แต่โลหะที่ร้อนมาจี้ก็ได้)
๒. ผลไม้ที่ถูกแทงด้วยมีด (หรือจะฝาน ปาด ตัด ผ่า ปอก ด้วยคมมีดหรือปลายมีดก็ได้)
๓. ผลไม้ที่ถูกจิกด้วยเล็บ (อาจจะใช้เล็บสัตว์ที่แหลมคมพอที่จะใช้จิก หรือใช้เล็บตนเองก็ได้ หรือจะปอกเปลือกด้วยเลยก็ได้)
๔. ผลไม้ที่ไม่มีเมล็ด
๕. ผลไม้ที่ปล้อนเมล็ดออกแล้ว

ถ้าเราใส่บาตรด้วยผลไม้ที่เป็นกัปปิยะแล้ว ท่านก็นำไปฉันได้เลย
ถ้าเป็นพระท่านอยู่ในสำนักที่ไม่มีคนวัดคอยรับใช้ ก็ควรทำกัปปิยะก่อน จึงนำมาใส่บาตร
ส่วนจะทำละเอียดลออแค่ไหน ก็ดูตามความเหมาะสม

เช่น ในกรณีของส้ม
ถ้าเราคิดว่า จะทำให้ประณีต สวยงาม เราจะเอาเส้นในขาว ๆ ออกไปก็ได้
ถ้าเราคิดว่า เส้นใยนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เราจะไม่เอาเส้นใยนั้นออกก็ได้

เรียกว่า สุดแต่กุศลเจตนา และปัญญา

ถ้ายังไม่เป็นกัปปิยะ ท่านก็ต้องให้อุบาสกหรืออุบาสิกาที่วัดทำกัปปิยะให้

กรณีผลไม้ที่ยังไม่เป็นกัปปิยะมีเป็นจำนวนมาก ในพระวินัยท่านอนุญาตให้นำผลไม้เหล่านั้นมาทำให้ติดต่อเนื่องเป็นอันเดียวกัน
(เช่น กองรวมกัน, ใส่ภาชนะเดียวกัน เป็นต้น) แล้วทำกัปปิยะ (เช่น ใช้มีดปาด) ที่ผลใดผลหนึ่ง เพียงผลเดียว
ผลที่เหลือทั้งหมดก็เป็นอันทำกัปปิยะแล้วด้วย

ถ้าพระท่านเห็นว่ายังมีผลไม้ที่ยังไม่ได้ทำกัปปิยะ ท่านก็จะเรียกอุบาสกมา แล้วถามว่า “กัปปิยัง กะโรหิ ?”
แปลว่า สิ่งนี้สมควรแล้วหรือ ?

อุบาสกพิจารณาดูแล้ว จะทำกัปปิยะถวาย ก็นำมีดมาปาดผลไม้นั้น พร้อมกับพูดตอบว่า “กัปปิยะ ภันเต”
สิ่งนี้สมควรแล้วครับ

จะถาม – ตอบด้วยภาษาบาลีหรือถ้าไทยก็ได้ ขอให้เข้าใจกัน เป็นใช้ได้

ผักสดที่ยังนำไปปลูกต่อได้ (เช่น พริกสด ผักบุ้ง) ก็ต้องทำกัปปิยะด้วยเช่นกัน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐