Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

ทำอย่างไรจะมั่นใจในความดีที่ทำแล้วมากพอจะตายเมื่อไหร่ก็ได้

ถาม : ทำอย่างไรที่เราจะพอมั่นใจในความดีที่เราทำแล้วมากพอที่จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าที่ผ่าน ๆ มาในชีวิตนั้น
เคยใช้ชีวิตอย่างขาดปัญญามาก่อน ?

ตอบ : อ่านคำถามแล้ว นึกถึงบทสวดมนต์บทหนึ่ง
คือบท “อริยธนคาถา”
ขอยกพุทธพจน์นี้มาให้พิจารณากัน

ยสฺส สทฺธา ตถาคเต อจลา สุปติฏฺฐิตา
ศรัทธาในพระตถาคตของผู้ใดตั้งมั่นอย่างดีไม่หวั่นไหว

สีลญฺจ ยสฺส กลฺยานํ อริยกนฺตํ ปสํสิตํ
ศีลของผู้ใดงดงาม, เป็นที่สรรเสริญที่พอใจของพระอริยเจ้า

สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ
ความเลื่อมใสของผู้ใดมีในพระสงฆ์

อุชุภูตญฺจ ทสฺสนํ
ความเห็นของผู้ใดตรง

อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า บุคคลนั้นไม่ใช่คนจน (เป็นคนมั่งมี)

อโมฆนฺตสฺส ชีวิตํ
ความเป็นอยู่ของบุคคลนั้นไม่เป็นโมฆะ (คือไม่ไร้ประโยชน์)

ตสฺมา สทฺธญฺจ สีลญฺจ ปสาทํ ธมฺมทสฺสนํ
อนุยุญฺเชถ เมธาวี สรํ พุทฺธาน สาสนนฺติ

เพราะฉะนั้น เมื่อระลึกได้ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่
ผู้มีปัญญาควรสร้างศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรมให้เนือง ๆ

คาถานี้ พระองค์ตรัสถึงคุณธรรม ๔ ประการ คือ
๑. ศรัทธาในพระพุทธเจ้า และเป็นศรัทธาชนิดที่ตั้งมั่นด้วย
๒. ศีลที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ
๓. เลื่อมใสพระสงฆ์ (ที่ประกอบด้วยสังฆคุณ)
๔. มีความเห็นตรง

เมื่อศรัทธาในพระพุทธเจ้า คือศรัทธาในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
พระองค์สั่งสมบารมีทั้งหลายด้วยพระองค์เอง

ไม่ได้อ้อนวอนขอจากเทพเจ้าที่ไหน
เมื่อบารมีสมบูรณ์ ตรัสรู้แล้ว ก็มาบอกวิธีพัฒนาจิตใจให้กับชาวโลกทั้งหลายด้วย

เมื่อศรัทธาว่าพระองค์ตรัสรู้จริง ก็มีแรงบันดาลใจที่จะปฏิบัติตาม

สำหรับข้อ ๔ พระองค์ได้ตรัสสรุปให้ชัดขึ้นอีกว่า หมายถึง “เห็นธรรม”

แรก ๆ ที่เราหัดเจริญสติ
เราก็เห็นธรรมในระดับ “สภาวธรรม”

คือเห็นรูป เห็นนาม เห็นกาย เห็นใจ เห็นกิเลสไป

เห็นมากเข้า ก็จะเห็นธรรมในระดับความเข้าใจ
คือเข้าใจความเป็น “ธรรมดา” ของสิ่งที่เห็นมาในตอนแรก ๆ

ความเข้าใจอย่างนี้ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า มี “ปัญญา”

ถ้ามีปัญญาเห็นธรรมดาของกายใจนี้ว่าไม่มีเรา จะมีสำนวนเรียกผู้นั้นว่า มี “ดวงตาเห็นธรรม”

ถ้าจะให้มั่นใจในคุณธรรมความดีของตนเอง
ถึงขั้นที่ว่า จะตายเมื่อไหร่ก็ได้

ก็พึงระลึกถึงพระพุทธพจน์นี้
แล้วเจริญธรรม ๔ ประการ ดังที่ได้กล่าวมา
ชาตินี้ก็ไม่ไร้ค่าแน่นอน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๙

ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ผู้นั้นจะได้รับหรือไม่

ถาม : กราบเรียนถามหลวงพี่ครับ
การทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับหรือเจ้ากรรมนายเวร.. จริง ๆ แล้วการตายคือการไปจุติอีกภพภูมิหนึ่ง ดังนั้น
ผู้นั้นก็น่าจะไปจุติแล้ว อย่างนี้ส่วนของบุญกุศลเค้าจะได้รับหรือไม่อย่างไรครับ ?

ตอบ : ถ้าเขาตายแล้วไปเกิดใหม่อยู่ในที่ที่สามารถอนุโมทนาบุญได้ การทำบุญอุทิศให้เขาก็มีโอกาสได้ผล
มีเปรตประเภทหนึ่งเรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต
คือเปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยส่วนบุญที่มีผู้ทำอุทิศให้

หากไม่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศให้ก็มักจะกินเลือดและหนองของตัวเองเป็นอาหาร
การทำบุญอุทิศให้กับผู้ตาย ก็จะมีประโยชน์กับเปรตประเภทนี้โดยตรง
แต่เขาต้องรับรู้และอนุโมทนาบุญด้วย

ถาม : อย่างนี้ถ้าไม่ใช่เปรตประเภทนี้ แต่เป็นอย่างอื่น เช่น เทพ พรหม หรือ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จะได้รับไหมครับ

ตอบ : เทพพรหมเขาก็แค่ดีใจด้วย
แต่ไม่ได้หวังเอาบุญจากเรา
เหมือนญาติที่เป็นเศรษฐี ไม่ได้หวังของฝาก แต่รู้ว่าเราระลึกถึง ก็ดีใจ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖

ไม่ได้นิมนต์พระมาสวดงานศพ ฆราวาสจะสวดกันเองได้ไหม

ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์ เรื่องคติ ในการสวดพระอภิธรรมในงานศพครับ
หากเราไม่ได้นิมนต์พระมาสวดพระอภิธรรมในงานศพหรือไม่ได้ไปงานนั้น ฆราวาสจะสวดกันเองได้ไหมครับ?
และจะเป็นผล + / – มากน้อย อย่างไรครับ?

ตอบ : ฆราวาสจะสวดพระอภิธรรมกันเองก็ได้
และไม่เฉพาะพระอภิธรรมเท่านั้น
แม้บทสวดมนต์อื่น ๆ ฆราวาสก็สามารถสวดได้

เพราะบทสวดทั้งหลายก็มักจะนำมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า
ใครจดจำพร่ำสวดได้ ก็ย่อมเป็นกุศลต่อผู้นั้น

แต่การที่จะให้ฆราวาสมาสวดพระอภิธรรมในงานศพ ก็จะต้องมีองค์ประกอบที่พร้อมกันหลายประการ เช่น
๑. มีฆราวาสที่มีคุณธรรม น่าเคารพศรัทธา
๒. ฆราวาสนั้นมีความสามารถในการสวดพระอภิธรรม
๓. เจ้าภาพศรัทธาและยินดีให้ฆราวาสนั้นมาสวด
๔. ฆราวาสนั้นยินยอมมาสวดให้

เคยได้ยินว่ามีการสวดที่เรียกกันว่า “รำสวด”
ใช้ฆราวาส ๔ คน มีถือตาลปัตรสวดเลียนแบบพระ

แต่จะออกแนวสนุกสนานบันเทิง
แม้จะสอดแทรกด้วยธรรมะบ้างก็ตาม

โดยทั่วไป เมื่อจะบำเพ็ญกุศล จึงนิยมฟังพระสวดกันมากกว่า

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐

ลูกบวชพระ บอกแม่ทุกวันอยากฉันอะไร

ถาม : ลูกบวชเป็นพระ บอกแม่ทุกวันว่าอยากฉันอาหารอะไร แม่ก็จะทำถวายทุกวัน
แบบนี้ได้มั้ยคะ?

ตอบ : พระบอกแม่ได้ ส่วนแม่จะทำหรือไม่ทำก็ได้

แต่การบอกทุกวัน.. แม้จะไม่ผิดพระวินัย
แต่ก็จะถูกตำหนิได้.. ในแง่ที่อ่อนแอเกินไป

ควรฝึกคุณธรรมเพิ่มขึ้น คือ ความสันโดษ และความเป็นผู้เลี้ยงง่าย
เพื่อความเจริญในพระธรรมวินัยยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ความสันโดษ ในที่นี้คือ ยินดีในปัจจัยตามมีตามได้

ความเป็นผู้เลี้ยงง่าย คือ ญาติโยมจะถวายอะไรก็ฉันได้
ไม่เจาะจงว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ไม่ตำหนิเรื่องรสชาติหรือประเภทของอาหาร

ไม่ให้ผู้เลี้ยงต้องเดือดร้อนวุ่นวาย
เป็นที่เบาใจกับครูบาอาจารย์และหมู่คณะ
รวมทั้งเป็นที่น่าศรัทธาปสาทะกับผู้ที่ได้พบเห็น

พระอริยะทั้งหลายเป็นผู้เลี้ยงง่ายทั้งนั้น
แม้ปุถุชน.. ก็ควรฝึกตนให้เป็นผู้เลี้ยงง่ายด้วยเช่นกัน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙

ความหมาย กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก วิหิงสาวิตก อยู่ในโมหะหรือโทสะ ?

ถาม : ความหมายของ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ..
ผมสงสัยว่า วิหิงสาวิตก จัดอยู่ใน โมหะ หรือ โทสะ กันแน่ ?

ตอบ : นี้เป็นเรื่องของ “อกุศลวิตก”
อกุศลวิตก คือ ความตรึกที่เป็นอกุศล หรือความนึกคิดที่ไม่ดี

มี ๓ ได้แก่
๑. กามวิตก คือ ความตรึกในทางกาม ความนึกคิดในทางแส่หาหรือพัวพันติดข้องในสิ่งสนองความอยาก
๒. พยาบาทวิตก คือ ความตรึกในทางพยาบาท ความนึกคิดที่ประกอบด้วยความขัดเคืองเพ่งมองในแง่ร้าย
๓. วิหิงสาวิตก คือ ความตรึกในทางเบียดเบียน ความนึกคิดในทางทำลาย ทำร้ายหรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น

อกุศลวิตกเหล่านี้ เทียบได้กับ มิจฉาสังกัปปะ – ความดำริผิด
ตามปกติของปุถุชนคนธรรมดาโดยทั่วไป เวลาจะนึกคิดอะไร ก็มักจะเป็นไปเพื่อสนองกิเลสแง่ใดแง่หนึ่ง
คิดอยากได้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่น่าพอใจ มาบำเรอตน

เป็นความคิดที่เกิดจากความถูกใจ ชอบใจ ก็กลายเป็น – กามวิตก
อย่างนี้เทียบได้ง่ายว่า สนองกิเลสฝ่ายโลภะ (หรือราคะก็ได้)

เกิดความขัดใจ ไม่ชอบใจ เคียดแค้น ชิงชัง
คิดทำร้าย มองเขาเป็นศัตรู ไม่ต้องการให้เขามีความสุข ก็กลายเป็น – พยาบาทวิตก

อย่างนี้เทียบได้ง่ายว่า สนองกิเลสฝ่ายโทสะ
แต่พอคิดเบียดเบียน หรือคิดก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ที่เป็นวิหิงสาวิตกนั้น
อย่างนี้ไม่ใช่ลำพังโทสะ แต่มีโมหะเป็นตัวนำ หรือบางทีก็มีอกุศลตัวอื่นอีก เช่น

– นาย ป. อยู่ว่าง ๆ คิดว่า ‘ไปตกปลาเล่นดีกว่า’
ขณะที่คิด ไม่ได้โกรธปลา แต่คิดเบียดเบียนปลา
ขณะเลือกมุมที่จะนั่ง ขณะนั่งหยิบเหยื่อ ขณะนั่งรอ ก็อาจจะไม่เกิดโทสะเลย

อาจจะนั่งผิวปากอย่างสบายใจไปด้วยซ้ำ
อันนี้ “โมหะ” เป็นตัวนำ เข้าใจว่าไม่เป็นไร ไม่บาป

– ราชาเมือง อ. เป็นเมืองมหาอำนาจ อยากให้โลกรับรู้ว่า ข้าฯ ยิ่งใหญ่
คิดว่า ‘จะไปขยายอาณาเขต โดยไปยึดเมือง ซ.’
ขณะที่คิด ไม่ได้โกรธราชาเมือง ซ. แต่ก็คิดเบียดเบียนรุกรานเมือง ซ.

ขณะวางแผน จะวางกำลังตรงนั้นตรงนี้ มีแผนลวงอย่างนั้นอย่างนี้ ก็อาจจะไม่เกิดโทสะเลย
อาจจะนั่งรวมหัวอยู่กับลิ่วล้อ แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างกระหยิ่มใจกับชัยชนะที่กำลังจะมาถึง
อันนี้ “มานะ” เป็นตัวเด่น คือ อยากเป็นใหญ่

ความแตกต่างที่น่าจะชัดเจนขึ้น ก็มาดูที่ธรรมที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม คือ
พยาบาทวิตก ตรงข้ามกับ เมตตา
วิหิงสาวิตก ตรงข้ามกับ กรุณา

และมีข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พยาบาทวิตก กับ วิหิงสาวิตก อีกอย่างหนึ่งว่า
วิหิงสาวิตก เป็นความนึกคิดในฝ่ายจะไปกระทบ คือเริ่มก่อน ไม่ว่าจะโดยโทสะ โมหะ ฯลฯ ก็ตาม
พยาบาทวิตก เป็นความนึกคิดในฝ่ายถูกกระทบ เช่น

– นาย ป. อยู่ว่าง ๆ คิดว่า ‘ไปตกปลาเล่นดีกว่า’
(ตอนนี้นาย ป. มีวิหิงสาวิตก – คิดเบียดเบียนเขาก่อน)
ก็ไปตกปลา ปลาติดเบ็ด ดิ้นไปมา (ปลาถูกเบียดเบียน)

ปลาทราบว่า นาย ป. เป็นผู้ทำร้ายตน ปลามีความแค้นใจ ตั้งใจไว้ว่า
‘ไม่ว่าจะเกิดอีกเมื่อไร จะขอเอาคืนด้วยชีวิตให้สาสม’

(ตอนนี้ปลามีพยาบาทวิตก – คิดพยาบาท)

– ราชาเมือง อ. เป็นเมืองมหาอำนาจ คิดว่า ‘จะไปขยายอาณาเขต โดยไปยึดเมือง ซ.’
(ตอนนี้ราชาเมือง อ. มีวิหิงสาวิตก – คิดเบียดเบียนเขาก่อน)
ขณะยกทัพเข้าไปข่มเหงเมือง ซ. ประชาชนชาวเมือง ซ. เดือดร้อน ถูกเบียดเบียน

ประชาชนชาวเมือง ซ. ก็คิดสาปแช่งราชาเมือง อ.
‘ขอให้เจ้า อ. จงพินาศ จงฉิบหายไป’
(ตอนนี้ประชาชนชาวเมือง ซ. มีพยาบาทวิตก – คิดพยาบาท)

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้ถูกเบียดเบียนก่อนดูจะน่าเห็นใจมาก
และนี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เราทั้งหลายไม่พ้นจากการเวียนเกิดเวียนตายไปได้

ความน่ากลัวอยู่ตรงที่..

ในสังสารวัฏ เราก็ไม่อาจทราบได้ว่าใครเริ่มเบียดเบียนใครก่อน ตั้งแต่ชาติไหน
ชาตินี้มาพบคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว อย่าให้ความคิดผิด ๆ เหล่านี้ หลอกเราได้อีก
มีสติสัมปชัญญะ

ไม่ปล่อยให้ความนึกคิดแล่นไปตามความรู้สึกชอบใจ – ไม่ชอบใจ
ไม่ปล่อยให้ความนึกคิดแล่นไปตามเหตุผลที่เอนเอียง หรือจากทัศนคติที่บิดเบือน

ความชอบใจ – ไม่ชอบใจ เกิดเมื่อไร ให้รู้ทัน
ถ้าใจยังไม่ปลอดโปร่ง ไม่เป็นอิสระจากความชอบใจ – ไม่ชอบใจ ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อความคิดจากใจอย่างนั้น
แยกแยะให้ได้ว่า ความคิดนี้ เป็นกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก

ให้รู้ตามที่มันเป็น
ไม่ให้อกุศลวิตกเหล่านี้ครอบงำใจ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 26 กันยายน 2559

“กลาปะ” หมายถึง ยืนยันอย่างไรว่าเห็นกลาปะ ?

ถาม : คำว่า “กลาปะ” หมายถึงอะไร ? แล้วเราจะยืนยันได้อย่างไรว่า
เราภาวนาจนเห็นกลาปะ ?

ตอบ : กลาปะ มาจากภาษาบาลี บางทีคนไทยก็เขียนว่า “กลาป” [อ่านว่า กะ – หลาบ]
หมายถึง กลุ่ม ก้อน กอง หมวด หน่วยรวม

เมื่อพูดถึงรูปธรรม ในทางพระอภิธรรม กลาป จะหมายถึงหน่วยรวมของรูป
มีคำเต็มว่า “รูปกลาป”

รูปเป็นปรมัตถธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ และสังขารธรรม คือมีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น
รูป ๆ หนึ่งอาศัยรูปอื่นเกิดขึ้น
จะมีรูปเกิดขึ้นเพียงรูปเดียวไม่ได้

ต้องมีรูปที่เกิดพร้อมกัน และอาศัยกันเกิดขึ้นหลายรูปรวมกันเป็น ๑ กลุ่มเล็ก ๆ
ซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้เลย
กลุ่มเล็ก ๆ ที่ว่านี้ ภาษาบาลีเรียกว่า ๑ กลาป

รูปกลาปที่ละเอียดที่สุด เล็กที่สุด จะประกอบด้วยรูปอย่างน้อย ๘ อย่าง คือ
ปฐวี (ดิน), อาโป (น้ำ), เตโช (ไฟ), วาโย (ลม),
วัณณะ (สี), คันธะ (กลิ่น), รสะ (รส) และ โอชา (รสอาหารที่ซึมซาบ เป็นปัจจัยให้เกิดรูป)

หมายความว่า องค์ประกอบทั้ง ๘ นี้ จะมีอยู่ในทุกกลุ่มรูป
ถ้าไม่มีองค์ประกอบอื่นร่วม ก็เป็นหน่วยรวมหมวด ๘ ล้วนเรียกว่า “สุทธัฏฐกกลาป”
(บางกลาปก็มี ๙ รูป บางกลาปมี ๑๐ รูปบางกลาปมี ๑๑, ๑๒, ๑๓ รูป

ขึ้นอยู่กับกลุ่มของรูปนั้นเกิดจากสมุฏฐานใด –เริ่มยากแล้ว ! )
ธาตุดิน น้ำ ไฟ และ ลม เป็นรูปธรรมที่เกิดพร้อมกัน และเกิดร่วมกันเสมอ
คือ ไม่ว่าจะมีรูปธรรมปรากฏอยู่ที่ใด ก็จะมาครบทั้งชุด

เพียงแต่ว่า ในแต่ละรูป จะมีธาตุใดธาตุหนึ่งยิ่งหรือหย่อนกว่ากันบ้าง
เช่น ธาตุดินที่แข็ง อยู่กับธาตุน้ำที่เกาะกุม กับธาตุไฟที่เย็น และกับธาตุลมที่เคร่งตึง
ธาตุดินที่อ่อน อยู่กับธาตุน้ำที่ไหล กับธาตุไฟที่ร้อน และกับธาตุลมที่ไหว

ส่วนสี กลิ่น รส และโอชา ก็เป็นธรรมดาที่จะมีอยู่กับรูปทุกรูปเสมอด้วย
ตัวอย่างเช่น เลือด
มีธาตุดิน แม้มีน้อย แต่ก็สัมผัสได้ รู้สึกได้ถึงความอ่อน ๆ ไม่แข็ง

มีธาตุน้ำ เพราะมีความเกาะกุมกันอยู่
มีธาตุไฟ อุ่น ๆ สามารถวัดอุณหภูมิได้
มีธาตุลม สูบฉีด ไหลไป

มีสี แดง
มีกลิ่น คาว ๆ
มีรส เค็มปะแล่ม ๆ

มีโอชา เป็นสารอาหารต่าง ๆ
แต่ “กลาป” อย่างนี้… ดูยาก !
ต้องทรงสมาธิ ทรงฌานจริง ๆ จึงจะมาเห็น “กลาป” แสดงไตรลักษณ์

คนฟุ้งซ่าน (รวมทั้งพระฟุ้งซ่าน – อย่างอาตมา) ดูไม่เห็นหรอก ได้แต่คิดเอา
แต่มี “กลาป” อีกอย่างหนึ่ง… พอทำได้
เรียกว่า “กลาปในการเจริญวิปัสสนา”
น่าสนใจกว่า (สำหรับอาตมา)

ในการเจริญวิปัสสนา การพิจารณาโดยกลาป คือ พิจารณาธรรมอย่างรวม ๆ หรือเหมารวม
โดยรวมเป็นหมวด หรือรวบทั้งกลุ่ม
เช่นว่า กายนี้เป็นทุกข์ (ซึ่งง่ายกว่าการพิจารณาโดยองค์แบบรูปกลาป)

กายยืนเกิดแล้วดับ กายนั่งเกิดแล้วดับ
นั่งอยู่ก็ทุกข์ เดินอยู่ก็ทุกข์
หายใจเข้าก็ทุกข์ หายใจออกก็ทุกข์
มีทุกข์บีบคั้นอยู่ทุุกลมหายใจเข้าออก

ถ้าดูอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปดูรูปกลาป
แต่มาพิจารณาอย่างที่เรียกว่า กลาปวิปัสสนา
ผู้ที่เข้าฌานได้ ก็มาพิจารณา..

เข้าฌานแล้วก็ต้องออก ฌานไม่มีแล้วก็มีขึ้น มีแล้วก็ไม่มี (ซึ่งง่ายกว่าการพิจารณาโดยองค์ฌานตามลำดับข้อ)
เป็นต้น
ผู้ที่ทำฌานไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
ก็พิจารณา..

ดูทุกข์ในกายธรรมดา ๆ นี่แหละ
หรือจะดูนามธรรมก็ง่ายขึ้น
ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ก็ดูไป
ความสุขที่มี เดี๋ยวก็หายไป

ความทุกข์ที่มี เดี๋ยวก็หายไป
กุศล – อกุศล ก็เกิดดับเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวก็รู้
ทั้งเผลอทั้งรู้.. ไม่เที่ยงทั้งหมดเลย !

พิจารณารวบไปเลยอย่างนี้ ไม่เครียดดีนะ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙

ทำบุญที่วัด เห็นพระแล้วปิ๊ง ควรทำอย่างไร

ถาม : ถ้าหนูทำบุญที่วัดกับแม่ เห็นพระแล้วปิ๊ง แต่ห้ามใจไม่ได้ หนูควรทำอย่างไรดีคะ ?

ตอบ : ถ้าห้ามใจไม่ได้ ก็ห้ามกายกับวาจาไปก่อน

ห้ามกาย คือ ไม่นำกายไปใกล้ชิดกับท่าน ไม่อยู่กันสองต่อสอง แต่งกายนุ่งห่มให้เรียบร้อยมิดชิด ฯลฯ

ห้ามวาจา คือ ไม่บอกรักท่าน ไม่พูดเกี้ยว ไม่เว้าวอน ไม่เวิ่นเว้อ ไม่แซว ไม่ปรึกษาเรื่องส่วนตัว ไม่ส่งไลน์ ฯลฯ

ถ้าจะให้ดี.. การห้ามกายกับวาจาที่ควรทำ คือ ตราบใดที่ยังปิ๊งอยู่ ก็ไม่พบท่านเลย และไม่คุยกับท่านเลย
เพราะเป็นการหมิ่นเหม่ ต่อการสร้างกรรมฝ่ายอกุศลอย่างมาก

ถ้าท่านเป็นพระที่ไม่ดี ก็ควรปล่อยท่านไป ไม่ควรนำมาเป็นภาระกับชีวิตของเรา
.. เราแยกออกไหม ว่าพระไม่ดีเป็นอย่างไร ?

ถ้าพระท่านเป็นพระที่ดี ก็ควรปล่อยให้ท่านศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ให้เต็มกำลังของท่าน
อย่าให้ท่านหวั่นไหว เพราะเราเป็นต้นเหตุ

เปลี่ยนจากรักที่เป็นราคะ – ปรารถนามาเป็นเจ้าของ มาเป็นเมตตา – ปรารถนาให้ท่านมีความสุข
ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติ บรรลุมรรคผลนิพพาน

ถ้ารักจริง ๆ ก็ควรเป็นรักแบบเมตตา
ปรารถนาเห็นความก้าวหน้าในทางที่ดีของบุคคลที่เรารัก

ถ้ารักแบบอยากเป็นเจ้าของ ใจก็เศร้าหมองทันที
ถ้าคิดว่าต้องได้มาเท่านั้นจึงจะสุข ก็ทุกข์ทันทีที่คิดอยาก

แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน ว่าอยู่ด้วยกันแล้วชีวิตจะดีอย่างที่ฝันไว้

แรก ๆ ที่ปิ๊ง อะไร ๆ ก็ดูดี เพราะเรามี “อคติ” มาบังใจ
เบื้องหลังที่เรายังไม่ได้ดู มักมีกิเลสอยู่บานตะไท

รักพระไม่ดี – ชีวีล้มเหลว เพราะพระดีหรือเลวก็ยังแยกไม่ได้
รักพระเลว – ก็เตรียมตกนรก เพราะเขาคิดลามกตั้งแต่ยังไม่สึกออกไป

รักพระดี – ก็เตรียมอกหัก เพราะใจท่านรักแต่พระรัตนตรัย
รักพระดี – ให้ได้บุญ ควรทำใจคุณให้เป็นหนึ่งในรัตนตรัย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙

อุบายพิจารณาโทษกาม

ถาม : เราจะมีอุบายวิธีพิจารณาให้เห็น
โทษของกามได้อย่างไรบ้าง ? ที่นอกจากการตามรู้ตามดูครับ

ตอบ : กาม คือความใคร่ ความอยาก สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่
กามมี ๒ คือ
๑. กิเลสกาม แปลว่า กิเลสที่ทำให้ใคร่
๒. วัตถุกาม แปลว่า วัตถุอันน่าใคร่

กามก็มีคุณเหมือนกันนะ
ที่เรียกกันว่า “กามคุณ ๕”
คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าพอใจ

กามให้คุณ คือให้ความสุข
ที่เรียกกันว่า “กามสุข”
แต่ความสุขทั้งหลายไม่ได้มีเพียงกาม

กามสุขเป็นสุขที่หยาบที่สุด
ยังมีสุขที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ละเอียดขึ้นไป อีกหลายระดับ
ว่าโดยคร่าว ๆ ก็คือ
๑. สุขชั้นกาม ที่เรียกว่า “กามสุข”
๒. สุขชั้นพรหม เรียกว่า “ฌานสุข”
๓. สุขชั้นโลกุตระ เรียกว่า “นิพพานสุข”

ชั้นแรก เมื่อทราบว่า ยังมีสุขที่ประณีตยิ่งกว่า
เราก็จะขวนขวายแสวงหาสุขที่ยิ่งกว่านั้น
เมื่อได้สัมผัสสุขที่ประณีตยิ่งขึ้นกับตัวบ้าง
ก็จะเห็นโทษของสุขที่หยาบ ๆ ได้ง่ายขึ้น

โทษของกาม มองได้ ๓ มุม คือ
๑. มุมที่มองมาที่ผู้บริโภคกาม
โดยเฉพาะมองมาที่กระบวนการก่อทุกข์ในใจ
คือมองที่กิเลสกาม

เพราะไม่รู้เท่าทัน เผลอพอใจ – ไม่พอใจ
รับรู้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ แล้วสร้างตัณหาขึ้นมา
สั่งสมจนเคยชิน
พอได้สนองตัณหา ก็ติดใจ

รู้สึกว่ามีความสุข
ถ้าไม่ได้ ก็ขัดใจ
ดิ้นรนตะเกียกตะกาย เพื่อให้ได้มา
บ่นรำพึงถึงสิ่งที่เคยมีเคยได้ในอดีต

ครุ่นคำนึงฝันถึงสิ่งที่ปรารถนาในอนาคต
ไม่มีสติรู้สภาวะจริง ๆ ที่เป็นไปในปัจจุบัน

ไม่มีปัญญาเท่าทันความเป็นจริงที่ปรากฏ
แต่ถ้ามีสติปัญญา มองมาดี ๆ
จะรู้ว่า

แค่เพียงมีกามตัณหา ใจก็ทุกข์ขึ้นมาทันทีแล้ว
และยังเป็นปัจจัยให้วงจรปฏิจจสมุปบาท หมุนวนต่อไป ไม่สิ้นสุด
เรียกว่า สั่งสมความพร้อมที่จะทุกข์

๒. มุมที่มองไปที่ตัวกาม ที่เราแสวงหา
คือมองไปที่วัตถุกาม
เราแสวงหาวัตถุกาม ก็หวังจะได้รสของกาม
หวังจะได้ความพึงพอใจจากการเสพ

แต่ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นข้อบกพร่องอยู่มาก
คือมีความสุขให้ชื่นใจนิดเดียว
แต่ให้ทุกข์ให้โทษมากเหลือเกิน
ท่านให้ข้อเปรียบเทียบไว้มากมาย เช่น

– เหมือนสุนัขที่อ่อนเพลียและหิวโหย
มีคนโยนกระดูกเปื้อนเลือดให้
ก็แทะไปจนเหนื่อยอ่อน
ปริมาณก็ไม่เต็มอิ่ม
อร่อยก็ไม่เต็มอยาก

– เหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งกาโฉบมาได้
แร้งกาตัวอื่นเห็น ก็โผเข้ามาแย่ง
รุมจิกตีกัน เพื่อแย่งชิ้นเนื้อนั้น
หมายความว่า กามเป็นของที่คนทั่วไปหมายปอง
เราไม่มีสิทธิ์ขาด

ผู้อื่นแย่งชิงได้
เป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียน ทำร้าย
และทำลายชีวิตกัน

– เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า ที่ถือเดินทวนลม
ก็ได้อาศัยความสว่างบ้าง
แต่ควันไฟที่ลอยมา ก็ทำให้แสบตาแสบจมูก
ถ้าถือไว้ ไม่ปล่อยวาง

ไม่ช้า ไฟก็จะลามมาไหม้มือ
ยังมีข้อเปรียบเทียบอีกมาก
ขอยกมาเป็นตัวอย่างแค่นี้ก่อน

โดยสรุปก็คือ
กามนำสุขมาให้ชั่วครู่
แต่นำทุกข์มาฝังติดอยู่ในใจแสนนาน
คิดถึงสุขที่ผ่านไปในวันวาน
ก็ให้รู้สึกทรมานเสียดายอาลัยอาวรณ์

๓. มุมที่มองด้านความสัมพันธ์ในสังคม
เริ่มตั้งแต่ต้องทนทุกข์ยากในการหางานทำเลี้ยงชีพ
สั่งสมวัตถุเงินทอง
ต้องทนแดดทนฝน ทนหนาวทนร้อน

เหนื่อยยากพากเพียร
ปวดเศียรเวียนเกล้ากับเจ้านายและลูกน้อง
บางทีไม่ทันได้มีกามเต็มตามหวัง ก็ตายไปเสียก่อน
ที่ได้มาบ้าง ก็ลุ่มหลง ตกเป็นทาสมัน

ยกเอาวัตถุกามมาเหยียดหยามกัน
บ้างก็ทะเลาะวิวาทแย่งชิงกามกันก็มากมาย
ที่เข่นฆ่ากันถึงตายก็มากมี

เพื่อนทะเลาะกับเพื่อน
พี่ทะเลาะกับน้อง

ลูกทะเลาะกับพ่อแม่
ญาติทะเลาะกับญาติ
ทะเลาะวิวาทกันถึงระดับชาติระดับโลก
ทำสงครามทำลายชาติบ้านเมืองกัน

ก็ด้วยเหตุแห่งกาม
ถ้ามาฝึกทำฌาน
สุขจากฌานจะประณีตกว่าสุขจากกาม
ท่านเปรียบกามสุขเหมือนสุขของเด็กทารก

ที่เล่นสนุกแม้กับอุจจาระและปัสสาวะของตนเอง
แต่ถ้าทำฌานได้
ก็เหมือนกับเด็กนั้นเติบโตขึ้นมา รู้เดียงสา

ที่สนใจของเล่นใหม่ ๆ
สนุกกับการเล่นตุ๊กตา เล่นรถเด็กเล่น
เล่นหกคะเมน เล่นเกม เล่นกีฬา ฯลฯ

ก็จะยินดีในสุขที่ประณีตกว่า
แต่ก็ยังประมาทไม่ได้
เพราะฌาน ยังอยู่ในระดับโลกิยะ
คือยังเสื่อมได้

และกามนี่แหละ ที่ทำให้เสื่อม
ต้องพัฒนาตน จนสัมผัสสุขในขั้นโลกุตระบ้าง
จึงจะพอวางใจได้
วิธีพัฒนาตน ที่ครูบาอาจารย์ท่านสรุปไว้ให้ ก็คือ

“มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง”
เมื่อพัฒนาตนจนมีปัญญา

มีโลกุตระสุขเต็มภูมิแล้ว
ก็จะไม่วกเวียนกลับมาหากามอีก

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๙

คำว่า จิตถึงฐาน “ฐาน” อยู่ส่วนไหนของร่างกาย ?

ถาม : ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า
คำว่า จิตถึงฐาน.. คำว่า “ฐาน” นี้่อยู่ตรงส่วนไหนของร่างกายคะ ?

ตอบ : ที่ว่า “จิตถึงฐาน” นี่
คำว่า “ฐาน” ในที่นี้ ไม่ใช่กาย
จึงไม่ได้อยู่ส่วนไหนของร่างกาย

แต่เราสามารถใช้กายเป็น “ที่อยู่ชั่วคราว”
เพื่อให้เกิดสภาวะ “จิตถึงฐาน” ได้

เช่น ใช้ลมหายใจเป็นที่อยู่
พอเผลอไปคิด ก็รู้ว่าเผลอ
ขณะที่รู้ว่าเผลอ ก็ได้สติรู้สึกตัว

“รู้” แล้วก็กลับมาที่ลมหายใจอีกครั้ง
ฝึกรู้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

จิตจะคุ้นเคยกับการดูสภาวะที่เป็นนามธรรม
เมื่อไรที่เห็นนามธรรมที่มีลักษณะแบบว่า “จิตไหลไป”
ไม่ว่าจะไหลไปคิด ไปดู ไปฟัง ฯลฯ
จิตจะถึงฐานโดยอัตโนมัติ

“ฐาน” ในที่นี้ ก็คือ “จิต” นั่นเอง
แต่พอบอกอย่างนี้
ก็อย่าไปแสวงหาฐาน
และอย่าไปแสวงหาจิต
จะไม่ถึงฐาน และไม่เจอจิต

การถึงฐาน สำหรับคนฟุ้งซ่านอย่างอาตมา
จะใช้วิธี “รู้ทันว่าจิตไหลไป”

แล้วมันจะถึงฐานของมันเอง
ข้อควรรู้ ที่พึงสังเกต คือ :-
1. ถ้าจิตยังไม่ถึงฐาน อย่าควานหาจิต
ให้รู้เท่าที่รู้ได้

เช่น รู้ว่าเผลอไป เป็นต้น
2. จะเห็นจิตไหล อย่าไปจ้องดู
ให้มันเผลอไปก่อน ไหลไปก่อน
แล้วค่อยตามรู้
แต่ให้รู้ไว ๆ

3. เห็นแล้ว อย่าไปประคอง
ที่ประคอง เพราะรู้สึกว่าสภาวะนี้ดี
อยากให้มีนาน ๆ
แต่พอประคองปุ๊บ ! จิตจะเกินพอดี

พลาดจากภาวะความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
กลายเป็นจิตหนัก ๆ แน่น ๆ
ก็เดินปัญญาต่อไปไม่ได้
แต่ถ้าเผลอไปประคอง ก็ให้รู้ว่าประคอง

คือรู้ตามที่มันเป็น รู้ไปเรื่อย ๆ
จิตถึงฐาน
จะมีลักษณะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จะเบา คล่องแคล่ว ว่องไว

อ่อนโยน นุ่มนวล
ควรแก่การงาน คือควรแก่การเจริญปัญญาเห็นความจริงต่อไป

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 3 ตุลาคม 2559

ขอคำแนะนำการวางใจ ของพสกนิกร

ถาม: มีผู้กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า..
“พสกนิกร รักและอาลัยต่อในหลวง ตอนนี้จิตใจเคว้งคว้าง ไร้หลักที่พึ่งพิง
กราบเรียนขอคำแนะนำการวางจิตใจ ของพสกนิกร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. นักภาวนา”

ตอบ : ครูบาอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง
ตอนหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าท่านอยู่ไกล
นาน ๆ จึงจะมีโอกาสไปกราบท่านสักที
พอหลวงปู่มรณภาพ กลับรู้สึกว่าอยู่ในสายตาท่านตลอดเวลา ไม่กล้าขี้เกียจเลย

อาตมาเชื่อว่า ตอนนี้..
เราอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ง่ายกว่าเดิมอีก
เราก็ต้องทำดีทันที เดี๋ยวนี้เลย !
ให้พระองค์ทอดพระเนตรมาเมื่อไร ก็ปลอดโปร่งใจ
ที่เห็นคนไทยครองสติได้

เป็นบุญของพวกเราจริง ๆ ที่ได้เกิดมาร่วมสมัยกับพระองค์
มาเป็นพสกนิกรของกษัตริย์ที่สุดประเสริฐ
สุดปัญญาที่บรรยายให้ทั่วถ้วน
ในส่วนพระคุณของพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ พระองค์นี้

ถ้าจะแสดงความภักดี
ก็ให้นึกถึงหลักทรงงาน ให้มาเป็นแรงบันดาลใจกับเรา

เช่น
เคยรับสั่งว่า “ต้องทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ มิใช่ทำเพื่อหวังผลประโยชน์..
ผลประโยชน์โดยสมบูรณ์ของงาน ก็เป็นรางวัลสูงสุดอยู่แล้ว”

เราก็ทำงานให้ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อหน้าที่การงาน
ทำงานที่สุจริต
เวลาทำก็สนุกที่จะทำและเต็มใจทำ
สังเกตได้ว่า เรามักจะเห็นรอยยิ้มของพระองค์
ก็ตอนทรงงานอยู่กับราษฎร

เราก็ให้มีความสุขกับการทำงานของเรา
ยิ่งงานที่มีประโยชน์ต่อคนหมู่มาก
ก็ยิ่งสุขมาก
สำหรับนักภาวนา
ก็เรียนหลักมามากแล้ว
ก็มีงานที่เหลือคือ นำไปทำ
และทำทันที

แม้จะทุกข์โศก ก็รู้สึกตัวไว ๆ
ไม่ปล่อยใจให้ถลำไปกับอกุศลนาน
งานกรรมฐานก็ทำได้ไม่เว้น แม้ในกรณีนี้
ก็ขอให้มีพระองค์เป็นแรงบันดาลใจ

ทำหน้าที่ของคนไทย
ทำหน้าที่ของพ่อแม่
ทำหน้าที่ของลูก
ทำหน้าที่ของข้าราชการ
ทำหน้าที่ของประชาชน

ทำหน้าที่ของพระ
ทำหน้าที่ของโยม
ทำหน้าที่ของชาวพุทธ

อุทิศถวายรางวัลอันสูงสุดที่เรามี
คือผลงานในหน้าที่ที่สมบูรณ์ แด่พระองค์
มองขึ้นฟ้า ก็แน่ใจได้ว่า พระองค์กำลังยิ้ม..

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙

จะ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” มีผลอย่างไรทางธรรม ?

ถาม : อยากเรียนถามว่า การที่มีผู้เขียนว่าจะ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” นี้
มีผลอย่างไรหรือไม่ในทางธรรม ?

คือ แต่ละบุคคลย่อมทำบุญกุศล และกรรม ต่างกรรมต่างวาระกัน

พระองค์ท่านมีบุญบารมีมากล้น ในขณะที่คนธรรมดาอาจมีบุญบ้างกรรมบ้าง
ดังนั้นการที่ประสงค์ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” จะเป็นไปได้อย่างไรหรือไม่ครับ ?
และมีความเหมาะสมหรือไม่ครับ ?

ตอบ : ถ้าผู้ที่เขียนหรือกล่าวอย่างนั้น เขียนหรือกล่าวด้วยความตั้งใจจริง ก็ยอมมีผล
เป็นที่ยอมรับกันว่า พระองค์มีบุญบารมีมากล้น
ก็เป็นความจำเป็นของผู้ที่ประสงค์ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” นั้น ต้องสร้างบุญบารมีให้มาก

เพื่อจะได้รับโอกาสเกิดเป็นข้ารองบาทพระองค์ได้ทันตามประสงค์
ครูบาอาจารย์ที่อาตมาเชื่อว่าเป็นผู้มีปรีชาหยั่งรู้
กล่าวตรงกันว่า

พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ระบุด้วยว่า
“.. พระองค์เคยเกิดเป็นช้างป่าเลไลก์..”
ซึ่งในคัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวว่า จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า ‘พระสุมังคลสัมพุทธเจ้า’

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ให้รายละเอียดอีกว่า
“.. พระองค์ทรงมีกระแสจิตแรงมาก
ฉันเองยังสู้ท่านไม่ได้”
เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ (ในหลวง ร.๙) ปรารถนามานาน

แต่เวลานี้บารมีเป็น ‘ปรมัตถบารมี’
เหลืออีก ๕ ชาติ
และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ
พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญกันมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น ‘วิริยาธิกะ’
ต้องบำเพ็ญถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป
นี่เกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว

‘แสนกัป’ อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ ..”
แม้ไม่ต้องอ้างคำของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

เรื่องที่พระองค์ทรงงานด้วยความวิริยะอย่างยิ่งนี้
เป็นสิ่งพวกเราชาวไทยซาบซึ้งใจกันดี

ฉะนั้น ขอเสนอสิ่งที่พึงตระหนักบางประการ ของผู้ประสงค์ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” คือ
๑. แสดง “ความรักจริง”
ด้วยการนำพระบรมราโชวาทมาทบทวน

เพื่อปฏิบัติให้เกิดผลจริง
พระบรมราโชวาทมีมากมาย
เลือกมาทำจริง ๆ แม้เพียงเรื่องเดียว ก็ย่อมได้ประโยชน์ใหญ่หลวงกับชีวิตและสังคม

เช่น หลักเศรษฐกิจพอเพียง
เราก็มาร่วมกันประหยัด ใช้ชีวิตเรียบง่าย
พึ่งตนเองให้ได้ พึ่งคนอื่นให้น้อย

แสดงความรักความศรัทธาด้วยการปฏิบัติตาม
เหมือนพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย
ที่แสดงออกซึ่งความศรัทธาในพระพุทธองค์
ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง เป็นต้น

พระสงฆ์สาวกเหล่านั้นจึงตามเสด็จพระศาสดา
ไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้

๒. เผื่อแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่นที่ยังทุกข์ เดือดร้อน
พระองค์บุกป่าฝ่าดง ไปช่วยเหลือพสกนิกรในถิ่นกันดาร ด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณา
เป็นพระราชาที่ไม่ติดในความหรูหรา
ทำงานตลอด ๗๐ พรรษา ไม่เคยทอดทิ้งประชาชน
ข้ารองบาททั้งหลาย ก็ไม่ทอดทิ้งกัน

๓. ใช้หลักการทรงงาน “รู้ รัก สามัคคี”
จะทำอะไร ให้หาข้อมูล จนรู้จริงในสิ่งนั้น
พระองค์เสด็จไปหาแหล่งน้ำให้ประชาชน
ลงพื้นที่จริง หาข้อมูลจริง ๆ กับคนในพื้นที่
บางครั้งราษฎรไม่ทันเตรียมตัว ก็มาเข้าเฝ้าถวายข้อมูลทั้งที่ยังนุ่งเพียงผ้าขาวม้าก็มี

ทำงานด้วยความมุ่งดีต่อกัน
และมีใจรักงาน
ดังที่เคยรับสั่งว่า
“.. ต้องทำหน้าที่เพื่อหน้าที่
มิใช่ทำเพื่อหวังผลประโยชน์..
ผลประโยชน์โดยสมบูรณ์ของงาน
ก็เป็นรางวัลสูงสุดอยู่แล้ว..”

การทำงานต่าง ๆ ก็ย่อมมีปัญหาและข้อขัดแย้งบ้าง
การขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ถ้ายังอยู่บนหลักการของความสามัคคี
เหมือนผ้าที่ทอมาเป็นผืน
เส้นด้ายทั้งหลายต้องขัดกัน

มีทั้งแนวตั้งแนวนอน
แต่ขัดกันอย่างมีระเบียบ และสามัคคี
ทุกคนทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
เข้าใจหน้าที่กันและกัน
ไม่ติดในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วมาพลอยเสียเรื่องใหญ่
ไม่อาฆาตจองเวร ไม่เหยียบย่ำซ้ำเติม
ถนอมน้ำใจกัน ให้อภัยกัน

ประเดี๋ยวไปไม่ทันพระองค์
มัวแต่ตกนรกอยู่แถวนี้นี่เอง

๔. เพราะในหลวง ร.๙ ปรารถนาพุทธภูมิ มุ่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต
เราจึงจะต้องใส่ใจคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันด้วย
เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์.. สอนเรื่องเดียวกัน
คือเรื่องทุกข์
เหตุให้เกิดทุกข์
ความพ้นทุกข์
และข้อปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์

ศึกษาแล้วนำมาปฏิบัติ ทั้งสมถะและวิปัสสนา ให้เต็มความสามารถ
ช่วงที่พระองค์ทรงงานหนัก แต่ก็ยังมีเวลาภาวนา
และภาวนาได้ผลดีด้วย
พวกเราไม่น่าจะมีใครงานหนักเกินท่าน
ฉะนั้น ก็ไม่น่าจะมีข้ออ้างว่าไม่มีเวลา
ไม่ต้องกลัวว่าจะบรรลุธรรมไปก่อน

เพราะถึงอย่างไร ความประสงค์ “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” ก็จะกระตุ้นเตือนใจให้ยั้งรอไว้
๕. เมื่อพระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ชาตินั้นย่อมเป็นชาติสุดท้าย
และจะไม่ปรากฏพระบาทให้เราได้รองต่อไปอีก
เหลือเพียงพระธรรมให้เราได้เข้าถึงเท่านั้น
จึงควรทำความคุ้นเคยกับพระธรรมนับแต่บัดนี้

สรุปว่า ไม่เป็นเรื่องเสียหายถ้าจะตั้งใจเช่นนั้น
แต่พึงตระหนักใน ๕ ประเด็นดังกล่าว
อย่างน้อย ๆ ..
สังสารวัฏก็ไม่ยืดยาวจนไร้จุดหมาย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙

เราเรียก “อริยสงฆ์” ในพระที่ปฏิบัติดีได้ไหม

ถาม : นมัสการเจ้าค่ะ… ถ้าเราเลื่อมใสพระองค์ใดที่ท่านปฏิบัติดี
เราเรียก “อริยสงฆ์” ได้ไหมเจ้าคะ

ตอบ : พระอริยสงฆ์ ไม่ได้ตัดสินว่าเป็นหรือไม่เป็นด้วยความเลื่อมใสของเรา
แต่ตัดสินกันที่จิตท่าน ว่าละสังโยชน์ไปได้มากน้อยแค่ไหน
สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี 10 อย่าง คือ

ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่

1. สักกายทิฐิ – มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา
2. วิจิกิจฉา – มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
3. สีลัพพตปรามาส – ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย

4. กามราคะ – มีความติดใจในกามคุณ
5. ปฏิฆะ – มีความกระทบกระทั่งในใจ

ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่

6. รูปราคะ – มีความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
7. อรูปราคะ – มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
8. มานะ – มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือคุณสมบัติของตน
9. อุทธัจจะ – มีความฟุ้งซ่าน
10. อวิชชา – มีความไม่รู้จริง

พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้ คือ หมดสักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
พระสกทาคามี ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้ และทำสังโยชน์ข้อ 4 และ 5 คือ กามราคะและปฏิฆะ ให้เบาบางลงด้วย
พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อแรกได้หมด
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

ผู้หญิงถวายของพระ โดยไม่มีผู้ชายอยู่ด้วยได้ไหม

ถาม : หนูเข้าไปถวายของพระ ที่นั่งอยู่รูปเดียว โดยมีเพื่อนผู้หญิงไปด้วยกันเป็นกลุ่ม ได้ไหมคะ ?

ตอบ : มีวินัยของพระภิกษุ ห้ามไม่ให้นั่งอยู่ในที่ลับหู – ลับตากับผู้หญิง

ที่ลับหู คือ สถานที่ที่คนอื่นมองเห็นได้ แต่ไม่ได้ยินเสียงพูดคุย
ที่ห้าม เพราะอาจจะพูดเกี้ยวพาราสี หรือพูดในเชิงชู้สาวกันได้

ที่ลับตา คือ สถานที่ที่มีสิ่งกำบัง
เช่น ในห้องที่ปิด หรือไม่ปิด แต่มีผนังบัง

ที่ห้าม เพราะอาจถูกเนื้อต้องตัวกัน กระทั่งมีเพศสัมพันธ์กันได้
แม้ยังไม่ได้ทำอะไรกัน แต่เพียงนั่งอยู่ในที่เช่นนั้น พระภิกษุก็มีอาบัติ
เว้นแต่มี “ผู้ชายที่รู้ความ” นั่งอยู่ด้วย

ผู้หญิงไม่ว่าจะกี่คน ก็ป้องกันอาบัติไม่ได้
แม้เป็นผู้ชายที่ไม่รู้ความ
เช่น เป็นเด็กทารก ไร้เดียงสา หรือเป็นผู้ชายต่างชาติที่ไม่รู้ภาษา ก็ป้องกันอาบัติไม่ได้เช่นกัน

ฉะนั้น คำตอบสำหรับข้อนี้ คือ
ถ้าพระท่านอยู่รูปเดียว แล้วกลุ่มเรามีแต่ผู้หญิง
ก็ควรหา “ผู้ชายที่รู้ความ” ไปเป็นเพื่อน

หรือรอให้ท่านหา “ผู้ชายที่รู้ความ” มาเป็นเพื่อนก่อน
อาจจะนิมนต์พระหรือสามเณรก็ได้
ให้ช่วยกันรักษาพระวินัยในส่วนนี้ เพื่อ

– ป้องกันอันตรายจากการกระทำที่ไม่ดีไม่งาม ระหว่างพระภิกษุกับผู้หญิง
คือ ป้องกันทั้งพระ ป้องกันทั้งโยม
– แม้ไม่มีอะไรกัน ก็ป้องกันคำครหานินทาต่าง ๆ
(ถึงเป็นแม่ ก็ป้องกันอาบัติไม่ได้)

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 19 กันยายน 2559

เกิดมาทำไม

ถาม : ลูกผมเค้าถามว่า ..เรื่องบุญเรื่องกรรม มีจริง เค้าเชื่อ
แต่สงสัยว่าสิ่งมีชีวิตสิ่งแรก เช่น มนุษย์คนแรก หรือปลาตัวแรก หรือนกตัวแรก เกิดมาทำไม ?
ถ้าไม่เกิดก็จะไม่มีต่อ ๆ กันมา ก็ไม่ต้องมีบุญหรือกรรม
แล้วถ้าว่าเกิดเป็นนั่นเป็นนี่จากผลบุญผลกรรม แล้วคน ๆ แรกทำไมเกิดเป็นคน ไปเอาบุญกรรมที่ไหนมากำหนด ?

ตอบ : คำถามทำนองนี้ ตรงกับ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น “อจินไตย”
อจินไตยนั้นแปลว่า ไม่ควรคิด มี ๔ อย่าง คือ
๑. พุทธวิสัย
๒. ฌานวิสัย
๓. กัมมวิบาก
๔. โลกจินตา

พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้า
ฌานวิสัย คือ วิสัยของผู้ได้ฌาน
กัมมวิบาก คือ ผลจากกรรม
โลกจินตา คือ ความคิดเรื่องโลก
ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิด

ผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
เช่น เรื่อง พุทธวิสัย
ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า แม้จะคิดถึงอานุภาพของพระสัพพัญญุตญาณ
คิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธองค์

พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะให้รู้เท่าวิสัยของพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นไปไม่ได้เลย
เรื่อง ฌานวิสัย
ผู้ที่ไม่ได้ฌาน แม้จะคิดเท่าไร ก็คิดไม่ออกว่า
ทำไมผู้ที่ได้ฌาน ได้อภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ เหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น
ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้น ๆ เท่านั้น จึงจะรู้ได้

เรื่อง กัมมวิบาก
คนปกติย่อมไม่อาจรู้ชัดว่า วิบากที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นผลมาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อไร ชาติไหน
คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก

พระพุทธองค์ทรงมีกัมมวิปากญาณ ญาณหยั่งรู้ผลของกรรม
สามารถกำหนดแยกการให้ผลอย่างสลับซับซ้อนระหว่ากรรมดีกับกรรมชั่ว ที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ
มองเห็นรายละเอียดและความสัมพันธ์ภายในกระบวนการก่อผลของกรรมอย่างชัดเจน

เรื่อง โลกจินตา
เช่น คิดว่าใครสร้างโลก ใครสร้างพระจันทร์ – พระอาทิตย์
มนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ เกิดมาได้อย่างไรเมื่อครั้งแรกสุด โลกจะแตกเมื่อไร
คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์

แม้จะมีคนมาตอบให้ ก็ยังเป็นเหตุให้สงสัยต่อไปได้
เพราะไม่อาจนำมาพิสูจน์ได้

หลวงพ่อปราโมทย์เคยเล่าให้ฟัง
เรื่องที่มีคนไปร้องไห้ระบายทุกข์กับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
แล้วถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ ! หนูเกิดมาทำไม ? ทำไมหนูต้องเกิด ?”
หลวงปู่ตอบว่า “เพราะไม่รู้”
โยมคนนั้นอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วถามกลับไปว่า
“หลวงปู่ไม่รู้ .. แล้วใครจะรู้ !”
เรียกว่า แม้จะได้รับคำตอบแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ

พระพุทธองค์จึงเตือนว่า
สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าจะสั่งสมสติปัญญาบารมี ให้ได้ความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อจะได้ไม่ติดข้องในเรื่อง “อจินไตย” เหล่านี้

ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปทีเดียว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ควรคิดถึงเรื่อง “อจินไตย” เหล่านี้
เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะรู้ได้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
มีแต่จะเพิ่มโทษ คือได้กิเลสเพิ่มขึ้น

ใจก็ฟุ้งซ่านหาคำตอบ
ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ ก็หงุดหงิด
ครั้งหนึ่ง นายบ้าน ชื่อ คันธภัก ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดแสดงความเกิด และความดับแห่งทุกข์แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“แน่ะท่านนายบ้าน ถ้าเราแสดงความเกิดขึ้นและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน
โดยอ้างกาลส่วนอดีตว่า ‘ในอดีตกาล ได้มีแล้วอย่างนี้’
ความสงสัยเคลือบแคลงในข้อนั้น ก็จะมีแก่ท่านได้

ถ้าเราแสดงความเกิดขึ้นและความอัสดงแห่งทุกข์แก่ท่าน โดยอ้างกาลส่วนอนาคตว่า
‘ในอนาคตกาล จักเป็นอย่างนี้’
ความสงสัย ความเคลือบแคลง ก็จะมีแก่ท่านแม้ในข้อนั้นได้อีก

ก็แล ท่านนายบ้าน เรานั่งอยู่ที่นี่แหละ
จักแสดงความเกิดขึ้นและความดับแห่งทุกข์แก่ท่าน
ผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้เหมือนกัน”

พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมาย และสั่งสอนเฉพาะสิ่งที่จะนำมาใช้ปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริงได้
เกี่ยวข้องกับชีวิต การแก้ไขปัญหาชีวิต และการลงมือทำจริง ๆ
ส่วนสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แม้เป็นความจริง ก็ไม่สอน
ไม่ทรงสนับสนุนการพยายามเข้าถึงสัจธรรมด้วยวิธีครุ่นคิด
หรือถกเถียงหาเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาทางอภิปรัชญา ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์

ใครจะกล่าวว่า “ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตอบปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ตราบใด
ข้าพเจ้าก็จะไม่ประพฤติพรหมจรรย์ (คือไม่ปฏิบัติธรรม) ในศาสนาของพระองค์ ตราบนั้น”
พระพุทธองค์ก็จะไม่พยากรณ์ปัญหาข้อนั้นเลย
และบุคคลนั้นก็คงตายไปเสียก่อนเป็นแน่

มีข้อความอุปมาที่น่าสนใจ ใน จูฬมาลุงกโยวาทสูตร
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
ว่าดังนี้
“เปรียบเหมือนบุรุษถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ ที่อาบยาไว้อย่างหนา
มิตรสหาย ญาติสาโลหิตของเขา ไปหาศัลยแพทย์ผู้ชำนาญมาผ่า

บุรุษผู้ต้องศรนั้นกล่าวว่า
‘ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักคนที่ยิงข้าพเจ้า ว่าเป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ หรือเป็นศูทร
มีชื่อว่าอย่างนี้ มีโคตรว่าอย่างนี้
ร่างสูง เตี้ย หรือปานกลาง ดำ ขาว หรือคลํ้า
อยู่บ้าน นิคม หรือนครโน้น

ข้าพเจ้าจะยังไม่ยอมให้เอาลูกศรนี้ออก ตราบนั้น;
ตราบใด ข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่า ธนูที่ใช้ยิงข้าพเจ้านั้น เป็นชนิดมีแล่ง หรือชนิดเป็นเกาทัณฑ์
สายที่ใช้ยิงนั้น ทำด้วยปอ ด้วยผิวไม้ไผ่ ด้วยเอ็น ด้วยป่าน หรือด้วยเยื่อไม้

ลูกธนูที่ใช้ยิงนั้น ทำด้วยไม้เกิดเอง หรือไม้ปลูก
หางเกาทัณฑ์ เขาเสียบด้วยขนปีกแร้ง หรือนกตะกรุม หรือเหยี่ยว หรือนกยูง หรือนกสิถิลหนุ

เกาทัณฑ์นั้น เขาพันด้วยเอ็นวัว เอ็นควาย เอ็นค่าง หรือเอ็นลิง
ลูกธนูที่ใช้ยิงเรานั้น เป็นชนิดไร
ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้เอาลูกศรออก ตราบนั้น’

“บุรุษนั้น ยังไม่ทันได้รู้ความที่ว่านั้นเลย
ก็จะต้องตายไปเสียโดยแน่แท้…”
สิ่งที่ควรคิด ควรพิจารณา คือ
การศึกษาความจริงของสภาวะที่เป็นอยู่ในขณะนี้
มีสติรู้สิ่งปรากฏจริงที่กายที่ใจ ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง

สงสัย ก็รู้ว่าสงสัย
รำคาญใจ ก็รู้ว่ารำคาญใจ
ความจริงที่เป็นประโยชน์
เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
และทำให้เกิดปัญญาพ้นทุกข์

ปรากฏในปัจจุบันนี้เท่านั้น
ไม่ได้อยู่ในอดีตหรืออนาคต อันนานไกลโพ้นโน้นเลย.

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 22 สิงหาคม 2559