Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

เวทนานุปัสสนา ดูอะไรครับ

ถาม : เวทนานุปัสสนา ดูอะไรครับ
ดูเวทนาขันธ์ หรือดูเวทนา ?
ดูเวทนาขันธ์ – เห็นไตรลักษณ์, ดูเวทนาความเจ็บปวด ???
จะเห็นไตรลักษณ์ ..แสดงว่าความเจ็บปวดหายไป..
ที่สงสัยคือ มันหายได้อย่างไร ?
หรือว่ามีการขยับเล็ก ๆ ที่เราไม่รู้ หรือว่าใจที่ว่าไว้ (เวทนาขึ้นลงบ่อย ๆ จนวางลงได้)
กราบนมัสการครับ

ตอบ : เวทนา มีคำแปลในทางวิชาการจริง ๆ ว่า การเสวยอารมณ์ เป็นความรู้สึกถึงรสของอารมณ์
หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ความรู้สึก มี ๓ อย่าง คือ
๑. สุขเวทนา ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกทุกข์ ลำบาก เจ็บปวด ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุข คือเฉย ๆ จะสุขก็ไม่ใช่ จะทุกข์ก็ไม่ใช่
บางทีก็เรียกว่า อุเบกขาเวทนา

เวทนา :-
– มีลักษณะเป็น ความเสวย
– มีกิจหน้าที่ คือ การบริโภคร่วมซึ่งรสแห่งอารมณ์
– มีอาการที่ปรากฏ เป็นสุขและทุกข์
– มีเหตุให้เกิด คือ ผัสสะ

ผัสสะ คือความกระทบอารมณ์
เช่น ตา + รูป + จักขุวิญญาณ = จักขุสัมผัส ความกระทบอารมณ์ทางตา เป็นต้น
เพราะผัสสะมี เวทนาจึงมี

คือไม่ว่าจะมีจิตหรือวิญญาณเกิดขึ้นขณะใดก็ตาม ก็จะมีเวทนาคือความรู้สึก เกิดร่วมด้วยเสมอ
คือ ไม่สุขก็ทุกข์ หรือไม่ก็เฉย ๆ

แต่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่ใช่จิต เป็นเพียงธรรมที่ประกอบกับจิต
คือเป็นสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่ง ที่ภาษาบาลีใช้ศัพท์ว่า เวทนาเจตสิก
จิตหรือวิญญาณก็เป็นสภาพที่รู้อารมณ์เท่านั้น แต่ความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นเรื่องของเวทนา
เช่น มีความสุขในขณะฟังพระบรรยายธรรม

ในกรณีนี้ จิตทำหน้าที่รับรู้เสียง
ส่วนความรู้สึกสุข เป็นเวทนา
แต่เวทนาก็เกิดเพราะเสียงบรรยายนั้นแหละ จึงบอกว่า เวทนามีการบริโภคร่วมซึ่งรสแห่งอารมณ์
เวทนามี ๓ ก็จริง

แต่ในทางปฏิบัติ เราจะพบว่า อาการที่ปรากฏที่จะเจริญสติดูเวทนาได้ง่ายหน่อย ก็คือ สุขและทุกข์
ดูเวทนาจึงไม่ใช่ดูเฉพาะความเจ็บปวดที่เป็นทุกข์ทางกายเท่านั้น
เพียงแค่ส่วนมาก เวลาสุขก็มักจะเพลิน ลืมดู
เวทนาที่เป็นทุกข์จึงทำให้มีสติง่ายกว่า

สภาวะทุกอย่างแสดงไตรลักษณ์อยู่เสมอ แต่จิตที่ไม่มีสติปัญญามากพอ ก็จะมองไม่เห็น
สุขและทุกข์ ก็เป็นสภาวะที่เป็นเวทนา ก็ย่อมแสดงไตรลักษณ์อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
เช่น เจ็บปวดนิดหน่อย แล้วค่อย ๆ เจ็บปวดมากขึ้น นี่ก็แสดงไตรลักษณ์แล้ว
หรือเจ็บปวดมาก แล้วระดับความเจ็บปวดลดลง นี่ก็แสดงไตรลักษณ์แล้วเช่นกัน

และไม่ได้หมายความว่า ..เมื่อมีสติรู้เวทนาความเจ็บปวดแล้ว เวทนาความเจ็บปวดจะหายไป ..ไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะเวทนาความเจ็บปวดไม่ใช่กิเลส แต่เป็นวิบากที่เกิดจากผัสสะ
จะให้เวทนาความเจ็บปวดหาย ก็ต้องไปแก้ที่เหตุ
เช่น หลีกเลี่ยงผัสสะนั้น หรือไปหาหมอ เป็นต้น

แต่ถ้ามีเวทนาความเจ็บปวด แล้วจิตใจกระวนกระวาย หงุดหงิด มีโทสะ
ถ้ามีสติเห็นความกระวนกระวาย เห็นความหงุดหงิด หรือเห็นโทสะ
ความกระวนกระวาย ความหงุดหงิด หรือโทสะนั้น จึงจะดับ

ถ้ามองในแง่ชีวิต ที่มีส่วนประกอบ ๕ อย่าง ที่เรียกกันว่า ขันธ์ ๕
เวทนาทั้งหลายก็เป็นส่วนประกอบขันธ์หนึ่งในฝ่ายนามธรรม
ขณะที่เราเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราก็ดูเวทนาที่เป็นขันธ์นี่แหละ
ตอนที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน เมื่อกระทบอารมณ์แล้ว ก็เป็น “เราสุข” “เราทุกข์”

– เมื่อกระทบอารมณ์แล้วเราสุข ก็ชอบ มีตัณหา อยากเสวยอารมณ์นั้นอีก
– เมื่อกระทบอารมณ์แล้วเราทุกข์ ก็ไม่ชอบ มีตัณหา อยากเสวยอารมณ์อื่น หรือไม่ก็มีตัณหา
อยากพ้นไปจากอารมณ์นั้น

แต่ขณะที่มีสติ จะเห็น “ความสุข” “ความทุกข์” คือเห็นเป็นสภาวะ
ทั้งความสุขและความทุกข์ ก็เป็นเพียงสิ่งๆหนึ่ง ให้สติไปรู้
รู้ครั้งแรก ๆ จิตก็จำ ซึ่งการจำนี้ สัญญาก็ทำหน้าที่เอง
รู้เวทนาบ่อย ๆ สัญญาก็ทำหน้าที่บ่อย ๆ จิตก็จำได้แม่นขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ที่จะเจริญสติเห็นเวทนาได้ผลดี ควรเป็นผู้ที่มี “ตัณหาจริต – ปัญญากล้า” ด้วย
อย่างไรก็ตาม ขอให้สังเกตพุทธพจน์ในตอนท้ายของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีข้อความว่า

“…อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่.”

คือ มีเวทนาอะไรก็ได้ ก็รู้ไปตามนั้น
ไม่ใช่รู้ทุกข์เพื่อเปลี่ยนให้เป็นสุข
มีทุกข์ ก็รู้ไปซื่อ ๆ
แต่ถ้าขัดใจ อยากให้ทุกข์หายไป แสดงว่ามีตัณหา ก็ให้รู้ทันตัณหาที่เกิด

มีสุข ก็รู้ไปซื่อ ๆ
แต่ถ้าติดใจ อยากให้สุขนาน ๆ ก็แสดงว่ามีตัณหาเช่นกัน ก็ให้รู้ทันตัณหานั้นด้วย
พระอรหันต์รับรู้ และเสวยอารมณ์ทั้งหลายด้วยจิตที่เป็นอิสระ เพราะมีปัญญารู้เท่าทันธรรมชาติของมัน
การมีเวทนาแต่ละครั้งจึงไม่มีกิเลสมาครอบงำ

ไม่มีตัณหาทั้งในแง่บวกและแง่ลบ
คือ ไม่ยินดี – ไม่ยินร้าย ไม่ติดใจ – ไม่ขัดใจ
จึงไม่ปรุงแต่งภพใด ๆ ขึ้นมาอีก

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 13 สิงหาคม 2559

ทุกข์ในไตรลักษณ์ กับ ทุกข์ที่เป็นเวทนา มีความเชื่อมโยงหรือต่างกันอย่างไรบ้างครับ ?

ถาม : ขอโอกาสครับ พระอาจารย์
ผมยังมีความสงสัย คำว่า “ทุกข์” ระหว่างทุกข์ในไตรลักษณ์ กับ ทุกข์ที่เป็นเวทนา
มีความเชื่อมโยงหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ ? ขอความเมตตาครับผม

ตอบ : ไตรลักษณ์ เป็นลักษณะร่วม ที่มีเสมอกันในสิ่งทั้งหลาย เป็นลักษณะสามัญ คือ
– ทุกอย่างที่เป็นสังขาร คือธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ล้วนแต่ไม่เที่ยง ล้วนแต่เป็นทุกข์ เสมอเหมือนกันทั้งหมด
– ทุกอย่างที่เป็นธรรม คือทั้งที่เป็นสังขารและนิพพาน ล้วนแต่ไม่เป็นอัตตา ล้วนแต่ไม่ใช่ตน เสมอเหมือนกันทั้งหมด

ทุกข์ในไตรลักษณ์ จึงหมายถึง
๑. ความบีบคั้น คือถูกการเกิดขึ้นและการดับสลายไปบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
๒. ทนได้ยาก คือคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยน ต้องหมดสภาพไป
๓. เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ คือก่อให้เกิดความรู้สึกทุกข์ น่าระอา
๔. แย้งต่อสุข คือโดยธรรมชาติที่มันบีบคั้นขัดแย้งและคงสภาพอยู่ไม่ได้นั้น มันก็กีดกันความราบรื่น ปฏิเสธความคล่องสบายตัว

ส่วนทุกข์ที่เป็นเวทนา (เรียกตามศัพท์ว่า ทุกขเวทนา) ก็เป็นเวทนาอย่างหนึ่ง
เวทนามี ๓ อย่าง คือ
๑. สุขเวทนา ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกทุกข์ ลำบาก เจ็บปวด ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๓. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุข คือเฉย ๆ จะสุขก็ไม่ใช่ จะทุกข์ก็ไม่ใช่ บางทีก็เรียกว่า อุเบกขาเวทนา

ทุกขเวทนา โดยเฉพาะที่เป็นทางกาย เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย เพราะรับรู้ได้ทันที แค่กายนี้ที่ไม่เที่ยง มีลักษณะคงทนอยู่ไม่ได้
กระทั่งป่วยเป็นโรคขึ้นมา เราก็เกิดทุกขเวทนา ปวดหัว ปวดท้อง เจ็บนั่นเจ็บนี่
ทุกขเวทนาทางกายแม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นธรรมดาของมันอย่างนี้ แต่ก็แก้ไขได้บ้าง เมื่อรู้เหตุรู้ปัจจัย ไปหาหมอหายา
ถ้าวินิจฉัยได้ตรงจุด จ่ายยาที่เหมาะสม ทุกขเวทนานั้นก็หายได้

ถ้าหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ หรือกินยาแล้วไม่หาย โกรธหมอ หาว่าหมอเลี้ยงไข้ คราวนี้ความบีบคั้นมาปรากฏที่ใจด้วย
กลายเป็นทุกขเวทนาทางใจ กายก็ยังคงเป็นทุกข์ ใจก็เป็นทุกข์ซ้ำขึ้นมาอีก
ทุกขเวทนาทางใจสามารถลดลงจนกระทั่งหมดไปได้ ตามกำลังของสติปัญญา
พระอรหันต์ เป็นผู้ที่ไม่มีทุกขเวทนาทางใจแล้ว โดยสิ้นเชิง

ส่วนทุกข์ในไตรลักษณ์ก็เป็นไปตามธรรมดาของมัน ยกเลิกไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ และไม่ต้องไปแก้ เรามีหน้าที่เพียงทำความเข้าใจ
เห็นสภาวะต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง กระทั่งมีปัญญารู้เท่าทันโลกและชีวิต ไม่ยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย
จิตใจปลอดโปร่งหลุดพ้น เป็นอิสระ

สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ใน อุปปาทสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต
พวกเราอาจจะเคยได้ยินหรือได้สวดกันมาบ้าง คือ
“ตถาคต (คือพระพุทธเจ้า) ทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุนั้นก็ดำรงอยู่
เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยามว่า
๑. สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง …
๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ …
๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา …
ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก
เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่ายว่า

“สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง …สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ …ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา”
ธาตุ คือ ภาวะที่ทรงตัวทรงสภาวะของมันอยู่เองโดยธรรมดา
ธรรมฐิติ คือ ภาวะที่ตั้งอยู่หรือยืนตัว ความดำรงคงตัวแห่งธรรม
ธรรมนิยาม คือ กฎธรรมชาติ หรือกำหนดแน่นอนแห่งธรรมดา
พระองค์เปิดเผย แจกแจง ทำให้ง่ายแล้ว
พระองค์ทำหน้าที่ของพระศาสดาแล้ว
ที่เหลือ.. เป็นหน้าที่ของพวกเราไปภาวนา

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 7 สิงหาคม 2559

เอาความเจ็บปวดร่างกายปฏิบัติธรรมอย่างไร

ถาม : จะเอาความเจ็บปวดของร่างกาย
มาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมได้อย่างไรบ้างครับ ?

ตอบ : เอาความเจ็บปวดของร่างกาย
มาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมได้ ดังนี้

– ใช้เตือนใจตนเอง ให้เห็นทุกข์ของชีวิต ถ้ายังหลงโลก ก็ยังมาเกิดอีก และก็จะได้รับทุกข์อย่างนี้อีก
(จะได้ไม่หลงเพลินกับโลกจนเกินไป)
– ใช้เป็นฐานในการเจริญสติ คือ ตามดูรู้ทันเวทนาที่เกิดตามที่มันเป็น ไม่ติดใจ ไม่ขัดเคือง
(คือ เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน)

– ดูจิต คือเมื่อมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นแล้ว จิตเป็นอย่างไร ก็ตามดูรู้ทันจิต ตามที่มันเป็น มันหงุดหงิด มีโทสะ หรือกังวล
ก็รู้ตามที่มันเป็น หรือมีตัณหาอยากหายจากความเจ็บปวดนี้ ก็รู้ตามที่มันเป็น
(คือ เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
– ให้เห็นความเกิดดับของเวทนา ที่เคยสุขก็ดับไปแล้ว ที่เจ็บปวดอยู่นี้ก็มีระดับของความเจ็บปวดที่ต่างกันไป
ในแต่ละขณะ (คือ เห็นอนิจจลักษณะ)

– ให้เห็นความบีบคั้นของร่างกาย ที่มันไม่อาจคงอยู่ในสภาพเดิมได้ (คือ เห็นทุกขลักษณะ)
– ให้เห็นว่า ความเจ็บปวดนี้ เราบังคับไม่ได้ ไม่อยากให้เกิด มันก็เกิด อยากให้หายเดี๋ยวนี้ มันก็ไม่หาย
ตามที่เราอยาก มันมีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ (คือเห็นอนัตตลักษณะ)

ไม่ต้องทำทุกข้อก็ได้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 1 สิงหาคม 2559

ทำบุญแค่ไหนจึงไม่เดือดร้อน

ถาม : มีเพื่อนชอบทำบุญ และบริจาคสิ่งของช่วยเหลือมาก
จนไม่มีเงินเก็บเลย แต่ระยะหลังลดลง
เพราะคิดเริ่มออม กลับโดนติงมาว่า ‘ไม่ให้เสียดายเงินที่ทำลงไป’
จึงสงสัยว่า.. ถ้าเรามีเงิน เราต้องทำบุญหมดเลยเหรอคะ ?
มันก็ขัดแย้งกับการไม่ให้สะสมทรัพย์
ในทางพระพุทธศาสนาหรือไม่
แค่ไหนถึงเรียกว่า.. เดินสายกลาง คะ ?

ตอบ : พระพุทธศาสนาไม่ได้ห้ามโยมสะสมทรัพย์นะ
ลองดูที่พระองค์สอนเรื่อง หลักการแบ่งทรัพย์ โดยจัดสรรเป็น ๔ ส่วน คือ
๑. ใช้จ่ายเลี้ยงตน เลี้ยงครอบครัว และทำประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ๑ ส่วน
๒. ใช้ลงทุนประกอบการงาน ๒ ส่วน
๓. เก็บไว้ใช้ยามจำเป็น ๑ ส่วน

ธรรมหมวดนี้ ชื่อว่า “โภควิภาค ๔”
จะเห็นได้ว่า
ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ พระองค์ให้แบ่งไว้ ๑ ส่วน
การลงทุนในธุรกิจ หรือกิจการต่าง ๆ พระองค์ให้แบ่งไว้ถึง ๒ ส่วน หรือครึ่งหนึ่งเลย
และเผื่อฉุกเฉินอีก ๑ ส่วน

ไม่ใช่ใช้ให้หมด จนไม่มีเก็บ
ส่วนเงินที่จะทำบุญ พระองค์ก็ไม่ได้บอกให้ทุ่มทำให้เกลี้ยง
แต่สอนว่า..

อริยสาวกแสวงหาโภคทรัพย์มาได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงและความขยันหมั่นเพียร โดยสุจริตชอบธรรมแล้ว
ควรถือครองโภคทรัพย์นั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์ ดังนี้
๑. เลี้ยงตัว บิดามารดา บุตรภรรยา และคนในปกครองทั้งหลาย ให้เป็นสุข
๒. บำรุงมิตรสหาย และผู้ร่วมกิจการงาน ให้เป็นสุข
๓. ใช้ป้องกันภยันตราย
๔. ทำพลี ๕ อย่าง คือ
ก. สงเคราะห์ญาติ
ข. ต้อนรับแขก
ค. ทำบุญอุทิศให้ผู้ล่วงลับ
ง. บำรุงราชการ ด้วยการเสียภาษีอากร เป็นต้น
จ. สักการะ บำรุง ถวายเทวดา
๕. บำรุงสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ

ธรรมหมวดนี้เรียกว่า “โภคาทิยะ ๕”
จะเห็นได้ว่า ทำบุญกับพระเพียงส่วนเดียว คือ ในข้อ ๕
สรุปว่า
– ทำบุญตามกำลัง
– ทำบุญกับผู้ปฏิบัติดีประพฤติชอบ
– ศรัทธาแล้วจึงทำ
– ทำแล้วตน ครอบครัว กิจการงาน ไม่เดือดร้อน
– ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน
ประมาณนี้

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 25 กรกฎาคม 2559

เอาเงินใส่บาตรพระได้ไหม

ถาม : เวลาใส่บาตร เราสามารถเอาเงิน
ใส่ลงไปในบาตรพระวัดบ้านได้ไหมเจ้าคะ
เพราะเวลาใส่บาตร พระท่านบอกว่า
‘ใส่เงินได้นะโยม โยมจะได้มีเงินใช้ไม่ขาดมือ’
หนูสงสัยถึงข้อวัตรของพระวัดป่า และพระวัดบ้านเจ้าค่ะ

ตอบ : พระท่านไม่ควรพูดอย่างนั้น
พระภิกษุ ไม่ว่าวัดบ้าน หรือวัดป่า ถ้ารับเงินทอง ก็เป็นอาบัติด้วยกันทั้งนั้น
เพราะประพฤติปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยเดียวกัน
ถ้าโยมจะถวายเงิน ควรฝากไว้กับไวยาวัจกร
(ผู้ทำกิจธุระแทนสงฆ์, ผู้ช่วยเหลือรับใช้พระ จะเป็นคนวัดหรือลูกศิษย์ก็ได้)
จะเหมาะสม และถูกต้องตามพระวินัยมากกว่า

ถ้าท่านไม่มีคนวัดหรือลูกศิษย์ติดตามมา ก็หาโอกาสแวะเข้าวัดที่พระรูปนั้นอยู่ แล้วถามหาไวยาวัจกรอีกที
หรือไปวัดที่เราศรัทธา นำเงินไปหยอดตู้บริจาคกับวัด หรือจะโอนเงินเข้าบัญชีของวัดก็ได้
อีกวิธีหนึ่งคือ ใช้วิธีปวารณา
คือ เปิดโอกาสให้ขอ

จะบอกกล่าวด้วยวาจา หรือด้วยลายลักษณ์อักษรก็ได้ ว่า
“ข้าพเจ้าขอถวายจตุปัจจัย อันสมควรแก่สมณะ มูลค่า … บาท”
ถ้าไม่ได้ฝากเงินไว้กับใคร ก็ให้ท่านบอกสิ่งที่ต้องการกับเราโดยตรง
ถ้าฝากเงินไว้กับใคร ก็บอกให้ท่านทราบด้วย
ขวนขวายเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ก็คุ้มค่า
สิกขาบทที่ไม่ให้รับเงินนี้ คือเรื่องพระอุปนันทศากยบุตร ในพระวินัยปิฎก
…..

สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน
อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์.

ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็นพระที่คุ้นเคยสนิท ไปมาหาสู่ที่สกุลหนึ่ง
รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น
เขาก็แบ่งส่วนไว้ถวายท่านอยู่เสมอ

เย็นวันหนึ่ง ในสกุลนั้นได้เนื้อสำหรับทำอาหาร เขาจึงแบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทะ
แต่พอตอนเช้า ลูกเขาตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้องอ้อนวอนขอกินเนื้อนั้น

บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า “จงนำส่วนของพระให้แก่เด็กไปก่อน เราจะซื้อของอื่นถวายท่านภายหลัง.”

ครั้นแล้วเวลาเช้า ท่านอุปนันทศากยบุตร นุ่งห่มผ้าแล้ว ถือบาตรจีวร
เข้าไปสู่สกุลนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย. ทันใดนั้น บุรุษนั้นเข้ากราบเรียนว่า
“ท่านครับ เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น, ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่ง,
จากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด ร้องอ้อนวอนว่า ‘อยากกินเนื้อ’

ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของพระคุณเจ้าแก่เด็กไป,
พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวาย ด้วยทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ ?”
[กหาปณะ เป็นชื่อมาตราเงินในสมัยนั้น
มีค่าเท่ากับทองคำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก]

ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า “เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เรา แล้วหรือ ?”
บุรุษ : “ขอรับ ผมบริจาคแล้ว.”
อุปนันทะ : “ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา.”

บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะไปแล้ว ก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า
“พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา.”
[รูปิยะ แปลว่า เงินตรา
หมายความว่า โยมคนนั้นรู้สึกว่า ถ้าพระภิกษุรับเงิน ก็ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้าน จึงพูดตำหนิออกมา]

ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย
สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
“ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะ (เงินตรา) เล่า ?”
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า
“ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่าเธอรับรูปิยะจริงหรือ ?”
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า “จริง พระพุทธเจ้าข้า.”

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
“ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ,
ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า ? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว.

โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.”

พระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว
ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ
ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน

ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย

แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์
[นิสสัคคิยปาจิตตีย์ คือ อาบัติปาจิตตีย์ ที่ต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัตินั้นก่อน ในกรณีนี้คือ ต้องสละรูปิยะ หรือเงินทองนั้้น]

วิธีสละรูปิยะ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ดังนี้ :-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละรูปิยะนั้น อย่างนี้:-
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าจีวรเฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า
นั่งกระหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า

“ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ารับรูปิยะไว้แล้ว. ของนี้ของข้าพเจ้า เป็นของจำจะสละ,
ข้าพเจ้าสละรูปิยะนี้แก่สงฆ์.”
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ
ถ้าคนผู้ทำการวัดหรืออุบาสก เดินมาในสถานที่เสียสละนั้น พึงบอกเขาว่า “ท่านจงรู้ของสิ่งนี้”
ถ้าเขาถามว่า “จะให้ผมนำของสิ่งนี้ไปหาอะไรมา ?”

อย่าบอกว่า จงนำของสิ่งนี้หรือของสิ่งนี้มา. ควรบอกแต่ของ
ที่เป็นกัปปิยะ(ของที่สมควรแก่ภิกษุบริโภคใช้สอย) เช่น เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย,
ถ้าเขานำรูปิยะนั้นไปแลกของที่เป็นกัปปิยะ
มาถวาย เว้นภิกษุผู้รับรูปิยะ, ภิกษุนอกนั้นฉันได้ทุกรูป,
ถ้าได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี;

ถ้าไม่ได้,
พึงบอกเขาว่า “โปรดช่วยทิ้งของนี้”
ถ้าเขาทิ้งให้ นั่นเป็นการดี;
ถ้าเขาไม่ทิ้งให้,
พึงสมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ.
องค์ ๕ ของภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ

องค์ ๕ นั้น คือ ๑ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ, ๒ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะเกลียดชัง,
๓ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะงมงาย ๔ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะกลัว;
และ ๕ รู้จักว่าทำอย่างไรเป็นอันทิ้งหรือไม่เป็นอันทิ้ง.
[จะเห็นได้ว่า รูปิยะ (เงินทอง) นี่สร้างปัญหามากจริง ๆ
เมื่อรับมาแล้ว ก็เป็นอาบัติ
ปลงอาบัติแล้วก็ต้องสละเงินที่รับมานั้นด้วย
วิธีสละก็มีเรื่องราวขั้นตอนมากกว่าการสละสิ่งอื่น]

รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ (คือต้องสละ) ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รูปิยะ ภิกษุสงสัย รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
[คือ ไม่ว่าจะรู้ หรือไม่รู้ หรือสงสัย ถ้าเป็นรูปิยะ คือเป็นเงิน รับมาแล้วก็เป็นอาบัติ และจริงสละเงินนั้น]
ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ. รับมา ต้องอาบัติทุกกฎ.
ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสงสัย รีบมา ต้องอาบัติทุกกฎ.

[โยมไม่ได้ถวายเงิน แต่คิดว่าใช่ หรือสงสัยว่าใช่ แล้วรับ ก็เป็นอาบัติ]
กรณีที่ภิกษุจะไม่ต้องอาบัติ ก็ได้แก่
๑. ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุรู้อยู่ว่าไม่ใช่รูปิยะ รับมา ก็ไม่ต้องอาบัติ
๒. ทองเงินตกอยู่ภายในวัด หรือภายในที่อยู่, ภิกษุหยิบยกเองก็ดี ใช้ให้หยิบยกก็ดี, แล้วเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า
‘เป็นของผู้ใด, ผู้นั้นจักนำไป'(คือเก็บไว้เพื่อคืนเจ้าของ)
๓. ภิกษุวิกลจริต
๔. ภิกษุอาทิกัมมิกะ (คือภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติในสิกขาบทนี้)

ตอบยาว และลงรายละเอียดสักหน่อย
เพื่อความซื่อตรง และเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 15 กรกฎาคม 2559

การรู้รูปนามคือ จะรู้รูปรู้นามยังไง

ถาม : การรู้รูปรู้นามคืออะไรคะ ?
นามคือจิต รูปเป็นสิ่งที่เรารับรู้สัมผัสใช่ไหมคะ ?
แล้วเราจะรู้รูปรู้นามยังไงคะ ?

ตอบ : รูป – นาม ที่พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ ก็คือ รูป – นาม ที่ถูกยึดว่าเป็นเรา
กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ กายนี้ – ใจนี้
พระพุทธเจ้าสอนให้มองสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นของมันอย่างนั้น
เป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ ที่ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
กายใจที่รวมเป็นชีวิตนี้ ถูกยึดว่าเป็นเรา

พระองค์ก็สอนให้เข้าใจว่า
มันเป็นการประชุมรวมกันของส่วนประกอบต่าง ๆ
ส่วนประกอบแต่ละอย่างก็ไม่มีเจ้าของ ไม่มีตัวตนของสิ่งนั้น
วิธีแยกส่วนประกอบของชีวิตนี้อย่างง่าย ๆ คือ แยกเป็น รูป กับ นาม

รูป คือ ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย
ส่วนหนึ่งรับรู้สัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย
มีบางส่วนต้องใช้ใจรับรู้
นาม คือ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง
คือรู้ไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย
เป็นเรื่องของจิตใจ

โดยทั่วไปก็หมายถึงขันธ์ที่เป็นฝ่ายนามธรรม ๔ ขันธ์ ดังนี้คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
การรู้รูปรู้นาม.. ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้าน ก็คือ รู้กายรู้ใจ นั่นเอง
เวลารู้กาย ก็ทำใจสบาย ๆ
อย่าไปคิดว่า ‘เอาล่ะ.. ฉันจะปฏิบัติธรรม !”
แต่แค่สังเกต หรือแค่รู้สึก ว่ากายนี้มันเคลื่อนไหว มันเดิน มันนั่ง มันขยับไปมา มันกลืนกิน มันขับถ่าย ฯลฯ

รู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
เดี๋ยวอาหารเข้า เดี๋ยวอาหารออก เดี๋ยวลมเข้า เดี๋ยวลมออก ไม่ใช่สิ่งคงที่ถาวร
ดู ๆ ไป ก็จะช่วยให้เห็นความจริงว่า กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา
แล้วจะสังเกตได้ว่า ตอนที่รู้กาย ไม่ใช่มีแต่กาย
แต่ยังมีธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เป็นผู้รู้กายด้วย

คือมี ใจที่เป็นผู้รู้ กับ กายที่ถูกรู้
ถ้ารู้สึกได้ถึงตรงนี้ ก็เรียกได้ว่า แยกรูปแยกนาม
บางคนไม่ถนัดดูกาย ก็มาดูใจ
เช่น หิวข้าวแล้วโมโหหิว โกรธคนข้าง ๆ ที่ทำให้ชักช้า
ก็มารู้ที่ความโกรธ จะเห็นว่าความโกรธก็ขึ้น ๆ ลง ๆ
บางทีดูไป ๆ ความโกรธก็ดับไปเอง

แต่ไม่ว่าจะดับหรือไม่ดับ ถ้าเห็นว่าความโกรธถูกรู้
ไม่มีเราในความโกรธ เห็นความโกรธ กับ ใจที่เป็นผู้รู้อยู่ต่างหาก
ถ้ารู้สึกได้ถึงตรงนี้ ก็เรียกได้ว่า แยกนามกับนาม
ก็เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

ส่วนมากจะเห็นสิ่งที่เรียกว่ากิเลส
เช่น ราคะ โทสะ โมหะ ความฟุ้งซ่าน ความลังเล ความหดหู่ เป็นต้น
มีเกณฑ์ง่าย ๆ คือ
ถ้าลืมกายลืมใจ คือ หลง
ถ้าไม่เห็นรูปไม่เห็นนาม คือ ขาดสติ
ถ้าลำพังเห็นรูป หรือเห็นนาม อย่างเดียว ก็อยู่ในขั้นจิตตสิกขา คือมีสติ
ถ้าแยกรูปแยกนาม หรือแยกนามกับนาม
บางทีก็เรียกกันว่าแยกขันธ์
ก็อยู่ในขั้นปัญญาสิกขา คือเริ่มมีปัญญาแล้ว

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 6 กรกฎาคม 2559

เวลาใส่บาตรพระและรับของจากสีกา

ถาม : อยากจะเรียนถาม พอจ.กฤช
เวลาใส่บาตรพระ พระให้พร เราต้องยืนหรือนั่งลง (คุกเข่า) รับพรครับ

ตอบ : จะ​รับ​พร​ใน​อิริยาบถ​ไหน​ก็ได้​ เพียง​ขอให้​อยู่​ใน​อาการ​เคารพ​และ​นอบน้อม​ แต่​ฝ่าย​พระ​ภิกษุ​ท่าน​ต้อง​ระวัง​ เพราะ​การ​สวด​ให้​พร​ก็​เปรียบ​ได้กั​บ​การ​แสดง​ธรรม​ เช่น​ คำ​ให้​พร​ที่​เรา​คุ้นชิน..

อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจ​จัง​ วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา​ วัฑฒันติ อายุ​ วัณโณ สุขัง​ พะลัง​ ฯ

เป็น​การ​แสดง​ธรรม​ว่า​ ธรรม​ ๔​ ประการ​ คือ​ อายุ​ วรรณะ​ สุข​ และ​พละ​กำลัง​ ย่อม​เจริญ​แก่​บุคคล​ผู้​มี​ปกติ​ไหว้​กราบ​ มี​ปกติ​อ่อนน้อม​ต่อ​ผู้ใหญ่​เป็น​นิตย์​

ทีนี้​ ใน​พระ​วินัย​ ส่วน​ที่​ว่า​ด้วย​การ​แสดง​ธรรม​ มี​อยู่​ข้อ​หนึ่ง​ ทรง​บัญญัติ​ไว้​ว่า​

“ภิกษุ​พึง​ทำ​ความ​ศึกษา​ว่า​ เรา​ยืน​อยู่​ จัก​ไม่​แสดงธรรม แก่​คน​ที่​ไม่​เป็นไข้​ที่​นั่ง​อยู่”

ยัง​มี​สิกขาบท​ที่​เกี่ยว​ข้อง​ ที่​น่าสนใจ​อีก​ ๒​ ข้อ​ คือ​

“ภิกษุ​พึง​ทำ​ความ​ศึกษา​ว่า​ เรา​จัก​ไม่​แสดง​ธรรม​แก่​คน​ที่​ไม่​เป็น​ไข้​ ที่​สวม​เขียง​เท้า​”

“ภิกษุ​พึง​ทำ​ความ​ศึกษา​ว่า​ เรา​จัก​ไม่​แสดง​ธรรม​แก่​คน​ที่​ไม่​เป็น​ไข้​ ที่​สวม​รอง​เท้า​”

เขียง​เท้า​ คือ​รองเท้า​ที่​ทำ​จาก​ไม้​ ถ้า​พระ​ให้พร​ใน​ระหว่าง​บิณฑบาต​ โยม​จะ​ลำบาก​ใจ​ตรง​ที่​ว่า​ รองเท้า​สมัย​นี้​บางที​ก็​ถอด​ยาก​ จะ​นั่ง​รับ​พร​ พระ​ท่าน​ก็​จะ​ผิด​พระ​วินัย​ จะ​ยืน​รับ​พร​ บาง​คน​ก็​ตำหนิ​ว่า​ยืน​ค้ำ​หัว​พระ​

ดังนั้น​ เพื่อ​เป็น​การ​ตัด​ปัญหา​ อาตมา​จึง​นิยม​ไม่​ให้พร​ใน​ระหว่าง​การ​เดิน​บิณฑบาต​ ซึ่ง​ส่ง​ผลดี​กับ​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​ ฝ่าย​พระ​ภิกษุ​ก็​ไม่​ผิด​พระ​วินัย​ ฝ่าย​ฆราวาส​ก็​ไม่​ลำบาก​ใจ​และ​ไม่​ถูก​ตำหนิ​ติเตียน​

ถาม : พระสามารถรับของจากสีกาโดยตรง โดยไม่มีผ้ารับประเคนได้หรือไม่ ?

ตอบ : ถ้าว่าตามพระวินัยเป๊ะ ๆ ก็ต้องตอบว่า.. ได้
แต่ที่มีประเพณีให้พระภิกษุใช้ผ้ารับ เมื่อผู้ประเคนเป็นผู้หญิง ก็มีเหตุผลนะ
เพราะเรื่องกามเป็นเรื่องที่หักห้ามกันยาก

การรับของจากอุบาสิกา ถ้าไม่ระวังให้ดี ก็มีโอกาสที่จะถูกเนื้อต้องตัวกันได้
และก็เป็นเหตุให้พระภิกษุ ต้องอาบัติชั่วหยาบได้
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของไทยจึงให้มีประเพณีการใช้ผ้ารับประเคนขึ้นมา
เพื่อป้องกันทั้งพระภิกษุและอุบาสิกา ไม่ให้ใกล้ชิดกันเกินไป

อันเป็นการเอื้อเฟื้อพระวินัยอีกส่วนหนึ่งด้วย
ในความเห็นของอาตมา
ก็ควรรักษาประเพณีนี้ไว้
เพราะพระท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
แถมยังปลอดภัยมากขึ้นอีกต่างหาก

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ 22 มิถุนายน 2559

เรื่องให้ดูตรง ๆ แต่ทำไมจิตยังเข้าไปแก้ไข

ถาม : เรื่องให้ดูมันตรง ๆ อย่างที่มันเป็น เรื่องแบบนี้เหมือนง่าย
แต่ทำไมจิตมันถึงเข้าไปแก้ไขอยู่ร่ำไป จิตมันไม่ยอมรับสิ่งที่มันเป็นสักที
โยมก็เห็นว่าเป็นเพราะไปให้ค่ากับสิ่งที่เห็น ว่ามันไม่ดี
โยมว่าโยมก็รู้สาเหตุแล้วนะ แต่ทำไมยังมีตัวที่จะเข้าไปแก้อยู่ตลอดเวลา เจ้าคะ

ตอบ : อย่างนี้เรียกว่า ยังไม่เป็นกลาง
คือรู้สภาวะแล้ว แต่ยังให้ค่ากับสิ่งนั้น
ถ้าไม่รู้ทันตรงนี้ ก็จะเข้าไปแทรกแซง
อาการแทรกแซงก็เช่น เข้าไปรีบดึงจิตให้กลับมาที่องค์ภาวนาเร็ว ๆ
แล้วก็ทำการกด หรือบีบบังคับจิตให้อยู่กับที่

การภาวนาที่ถูก ไม่ใช่ไปพยายามทำความเป็นกลาง หรือพยายามห้ามการแทรกแซง
แต่ให้รู้.. เมื่อมันไม่เป็นกลาง
และให้รู้.. เมื่อมันเผลอไปแทรกแซง
คือรู้ว่าเมื่อกี้.. ผิด !
พอรู้ว่าผิด ก็ถูกทันที !

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙

ธิดามาร ๓ ตัณหา ราคะ อรดี นางอรดี คือแบบไหนครับ ?

ถาม : ธิดามาร ๓ ตัณหา ราคะ อรดี
ผมเข้าใจว่าเป็น มารในจิต ซึ่งผมเข้าใจ ตัณหา ราคะ
แต่ที่สงสัย — นางอรดี คือแบบไหนครับ ?

ตอบ : ว่าตามศัพท์ก่อนนะ
ตัณหา คือ ความทะยานอยาก ความร่านรน อยากได้อยากเอาเพื่อตน
ราคา (=ราคะ) คือ ความกำหนัด ความติดใคร่ในอารมณ์
อรดี (=อรติ) คือ ความไม่ยินดี ไม่พอใจ
มาจากคำว่า อ (ไม่) + รติ (ความยินดี)

หลายคนเข้าใจว่าเรื่องธิดามารทั้ง ๓ เป็นเรื่องสมมุติ เพื่อสื่อว่าเป็นมารในจิต
แต่อาตมาเชื่อว่าไม่ใช่ !
เพราะเรื่องนี้มีในพระสูตร ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์
ใน มารธีตุสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “หลังจากตรัสรู้” แล้ว
หมายความว่า.. เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

พูดง่าย ๆ คือ พระองค์ไม่มีกิเลสในจิตใจแล้ว
ถ้ากล่าวว่า เรื่องมารและธิดามารทั้งสาม หมายถึงกิเลสที่อยู่ในใจ
คำกล่าวนี้ก็จะแย้งกับหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
เพราะเมื่อตรัสรู้แล้ว จิตของพระพุทธองค์ก็ย่อมบริสุทธิ์แล้ว
การที่จะกล่าวว่าตัณหา, ราคะ และอรติ ยังมารบกวนจิตใจของพระองค์ ก็จะเป็นการกล่าวขัดกับความเป็นจริง

ส่วนประเด็นที่ถามว่า “นางอรดี คือแบบไหน ?”
เท่าที่อ่านมา ก็ไม่พบคำอธิบายขยายความในส่วนนี้
แต่อาตมาจะลองตอบนะ
ถ้าผิด ก็ขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วย
ก่อนที่จะมารู้จักนางอรดี
ก็ลองมาดูอุบายวิธีของธิดามารทั้ง ๓ เสียก่อน
ในพระไตรปิฎก มีข้อความว่า

“… ลำดับนั้น มารธิดา คือนางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันหลีกออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมกันคิดอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษมีต่าง ๆ กันแล อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรนิรมิตเพศเป็น
นางกุมาริกาคนละร้อย ๆ ฯ”

หมายความว่า ธิดามารคิดว่า ผู้ชายจะใจแข็งเพียงใด ก็ย่อมมีจุดอ่อน
ถึงจะมาบวช แต่ถ้าเจอการยั่วยวนในรูปแบบต่าง ๆ
และกับหญิงในวัยต่าง ๆ วัยละ ๓๐๐ รูปแบบ
ก็ไม่น่าจะมีชายใดหลุดพ้นไปได้

นางราคา ก็คงจะเน้นเนรมิตเป็นหญิงที่ยั่วราคะเป็นหลัก
เช่น มาเต้นส่ายร่ายรำ, นุ่งห่มน้อยชิ้น, ทำเป็นอายบ้าง ไม่อายบ้าง,
ทำเป็นเปิดวับ ๆแวม ๆ, ทำกระซิบกระซาบ, ฯลฯ
พูดหยาบ ๆ ก็คือ ยั่วให้เกิดอารมณ์ทางเพศ

นางตัณหา ก็คงจะเน้นเนรมิตเป็นหญิงที่ยั่วตัณหา
คือไม่ได้มีเฉพาะอารมณ์ทางเพศ
แต่รู้สึกว่า หญิงนี้สมฐานะเรา จะทำให้เราได้รับคำสรรเสริญ ได้ยศ ได้ตำแหน่ง ฯลฯ
เช่น เป็นหญิงสง่างาม, มีเสื้อผ้าอาภรณ์อลังการ, ดูมีจิตใจอ่อนโยน เล่นหยอกล้อกับเด็ก ๆ,
รู้สึกอบอุ่น, ดูเก่ง – ฉลาด, พูดจาฉะฉาน, ฯลฯ

คือสนองกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
ส่วนนางอรดี … คงจะมีได้หลายแบบ เช่น
– แกล้งทำหน้าบึ้งใส่, แกล้งพูดให้เจ็บใจ, ทำสะบัดสะบิ้ง, ทำเป็นไม่ยินดี, ทำงอน ฯลฯ
เพื่อยั่วให้ชายมาสนใจ จนลืมตัว จิตส่งออกมาที่หล่อน

– แกล้งทำเป็นว่า กำลังมีอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ, กำลังเศร้า, กำลังมีปัญหา, ทำสะอึกสะอื้น, ฯลฯ
ยั่วให้ชายสงสาร เข้ามาปลอบ เข้ามาให้คำปรึกษา
คือยั่วให้เกิดความเห็นอกเห็นใจก่อน จนลืมตัว จิตก็ส่งออกไปที่หล่อน
น่ากลัวทั้งสามนาง !!!

ถึงอย่างนั้น พระพุทธองค์ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะพระองค์สิ้นกิเลสแล้วอย่างยอดเยี่ยม
ก้าวล่วงบ่วงมารไปได้แล้ว
จิตหลุดพ้นดีแล้ว
เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
นำสัตว์โลกทั้งหลายให้ข้ามพ้นบ่วงมารไปได้ด้วยพระสัทธรรม

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘

“โมหะ” คืออะไรคะ ? เกี่ยวกับ “ความหลง” ยังไงคะ ?

ถาม : “โมหะ” นี่คืออะไรคะ ?
แล้วมันเกี่ยวกับ “ความหลง” ยังไงคะ ?

ตอบ : “โมหะ” มีลักษณะ มีการทำงาน
มีผลปรากฏ และมีเหตุใกล้ให้เกิด
ที่เราจะสามารถสังเกตได้ ดังนี้ :-
– มีลักษณะ คือ ไม่รู้ความจริงของสภาวธรรม
– งานของมัน คือ ทำให้มีการปกปิดสภาวะแห่งอารมณ์
– ผลที่ปรากฏ คือ ความมืดมน
– มีความใส่ใจในอารมณ์โดยไม่แยบคาย เป็นเหตุใกล้ให้เกิด

ฉะนั้น สภาวะที่เรียกว่า หลง เผลอ เหม่อ
ซึม ทื่อ มึน ไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัว มืดมน หรือ
ใจลอย อย่างนี้จัดเข้าใน “โมหะ” ทั้งหมด

แต่ทันทีที่รู้ว่าเมื่อกี้นี้ หลง เผลอ เหม่อ ซึม
ทื่อ มึน ไม่รู้เนื้อรู้ตัว มัว มืดมน หรือ
ใจลอย อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขณะที่รู้นั้นโมหะก็ดับ กลายเป็นสติขึ้นมา

เราก็มาใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตเมื่อกี้นี้บ่อย ๆ
ก็จะสามารถเปลี่ยน “หลง” … เป็น “รู้” ได้
หลงบ้าง รู้บ้าง อย่างนี้บ่อย ๆ ก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาเป็นลำดับ

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙

นำพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเขาลง Social

ถาม : ถ้าเราเห็นคนที่ทำอะไรไม่เหมาะสม
ไม่เป็นธรรม การที่นำพฤติกรรมของเขา
มาแชร์ใน social เจตนาแค่ต้องการเตือนคนอื่น ระวังหรือหลีกเลี่ยง
เราทำได้ขอบเขตแค่ไหนคะ ?

ที่จะช่วยเหลือสังคม หรือให้วางใจ ปล่อยให้เขารับวิบากไปเอง
หรือถ้าเราทำ เราจะมีวิบากกรรมอะไร ?
ซึ่งแน่นอนค่ะ ถ้าเราแชร์จะต้องผู้ได้รับการกระทบแน่นอนค่ะ
(คำถามนี้ขอถามเผื่อการแชร์เรื่องราวต่าง ๆ
ที่เป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมบน social ทั่ว ๆ ไปด้วยเลยนะเจ้าคะ)
ขอยกตัวอย่างเจ้าค่ะ.. ทุกเช้าจะเห็นมอเตอร์ไซด์มาส่งเป็ดย่าง
ให้กับร้านอาหารหนึ่ง โดยการขนส่ง ของไม่สะอาด ไม่คำนึงถึงผู้บริโภค
ใส่ในถุงก๊อบแก๊ป หลายถุง หัวเป็ดหลายหัวห้อยออกมานอกถุง
ถุงก็ห้อยข้าง ๆ ล้อรถ มันสกปรกไม่น่าทาน
ไหนจะความสกปรกของรถเอง ไหนจะเขม่า
ท่อไอเสีย เห็นแล้วขัดตามาก ๆ ค่ะ

ตอบ : เรื่องการโพสต์ การแชร์ เรื่องราวต่าง ๆ ใน สังคมออนไลน์ เป็นเรื่องที่ควรระวัง
ยิ่งถ้าเราตั้งสถานะให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงสิ่งที่เราโพสต์ได้ เราก็ยิ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้น
โดยหลักการ ก็เทียบได้กับการพูดคุยกันทั่วไป
คือ ไม่โกหก, ไม่ส่อเสียดให้แตกแยก, ไม่หยาบคาย และไม่เพ้อเจ้อ ความแตกต่างกันอยู่ตรงที่..

#ในสังคมออนไลน์มีคนมารับรู้มากกว่า ผลจึงมีมากกว่า
ถ้าสิ่งที่โพสต์เป็นประโยชน์ ก็ได้ประโยชน์มาก
แต่ถ้าเป็นโทษ ก็ให้โทษมากเช่นกัน

การที่จะโพสต์อะไรเราก็ต้องดูที่เจตนา เราเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เห็นคนที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม
เราก็ช่วยเก็บหลักฐานมาช่วยกันเตือนเพื่อนเราให้ระวัง ก็นับว่าเป็นเจตนาที่ดี
บางคนอาจจะคิดว่า “ช่างเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ปล่อย ๆ ไป อยู่เฉย ๆ ดีกว่า”
ถ้าเราวางเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ ก็ต้องมาประเมินว่า เราเฉยแบบอุเบกขาที่เป็นกุศล
คือ เฉยรู้ หรือเฉยที่เป็นอกุศล คือ เฉยเมย

ถ้าเฉยเมย.. ใครจะทำอะไรก็ช่าง จะเลวจะร้าย จะเป็นผลกระทบกับในทางเสื่อมทรามอย่างไรก็ช่าง
ทั้ง ๆ ที่เราเห็นอยู่ – รู้อยู่ แล้วเฉย อย่างนี้น่าจะเข้าข่ายเฉยเมยนะ
เราก็พลาดโอกาสที่จะช่วยกันพัฒนาสังคมและความเป็นอยู่ร่วมกันไปอีกครั้ง
ที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่า มีกรณีตัวอย่างหลายกรณี ที่ช่วยกันโพสต์ช่วยกันแชร์
ทำให้ผู้ที่มีพฤติกรรมร้าย ๆ ที่เคยแอบเอาเปรียบสังคม ก็ถูกเปิดเผยออกมา
และถูกจับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็มากมาย

นี่เป็นผลจากการไม่นิ่งเฉยดูดาย
คนร้ายอยู่ยากขึ้น เพราะมีสายตาคนดีคอยจับจ้องอยู่
อย่างไรก็ดี การที่เราไม่รู้ถ่องแท้ ไม่ทราบข้อมูลรอบด้าน การโพสต์ก็อาจจะกระทบผู้อื่นในทางเสียหาย
ทั้งที่ผู้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือไม่ผิด เมื่อมีข้อมูลหลักฐานยืนยันว่า.. เราเข้าใจผิด
เราก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของเรา
เบื้องต้นก็ต้องรับผิด และขอขมา
แต่ถ้ามีเจตนาไม่ดี จะให้ร้ายผู้อื่น ยิ่งถ้าข้อมูลหรือภาพที่เราโพสต์นั้นมาจากการบิดเบือน
ก็กลายเป็นหลักฐานเท็จ

คราวนี้จะผิด “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” ด้วย
สังคมจะดีได้ก็อาศัยคนในสังคมช่วยกันดูแลและตักเตือนกัน
แต่ต้องดูแลตักเตือนกันด้วยเมตตาและกรุณา
เหมือนกับพระภิกษุ เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นสงฆ์ ท่านก็ช่วยตักเตือนกันด้วยความปรารถนาดี
พระพุทธองค์ทรงให้ภิกษุทั้งหลายอาศัยความกรุณาว่ากล่าวกัน
ใครมีอาบัติ ก็ให้ช่วยกันให้ออกจากอาบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ไม่ใช่ช่วยกันปกปิด ใครปกปิดก็เป็นอาบัติอีกข้อหนึ่งด้วยซ้ำไป

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ
วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙

ขยายความ “ธัมมวิจยะ”

ถาม : ถ้าพูดถึงในข้อของ “#ธัมมวิจยะ” น่ะครับ แล้วมันเหมือนกับว่า เราจะต้องไปคิดไปค้นคว้า ซึ่งมันมีความรู้สึกว่า.. มันไม่ใช่แล้ว อยากให้หลวงพ่อขยายความ “ธัมมวิจยะ” ครับ

ตอบ : “ธัมมวิจยะ” เนี่ย แรก ๆ อาจจะต้องคิดบ้าง คือต้องวิจัยใช่มั้ย ?
คือมันต้องเหมือนจะต้องวิจัยตัวเองว่า.. เราเหมาะกับอะไร ?
ธรรมะข้อไหนเหมาะกับเรา ?
หรือเราเหมาะกับธรรมะข้อไหน ?
เพราะว่าบุคคลต่าง ๆ ในโลกนี้ มีจริตต่างกัน

พระพุทธเจ้าก็แสดงวิธีปฏิบัติสำหรับคนที่จริตต่างกัน ด้วยธรรมะคนละชุด
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปปฏิบัติให้ครบทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น
ฉะนั้น วิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะกับเรามีอยู่
บางทีแค่หัวข้อเล็กๆ เท่านั้นเอง
ในจำนวน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เนี่ย
เราก็ต้องมา “วิจัย”

“วิจัย” เนี่ย ไม่ต้องไปวิจัยทั้งหมดก็ได้
เอาแค่พระสูตรหลัก ๆ
พระสูตรหลักๆ ที่พระองค์แสดงเป็นหลักการใหญ่ๆ เช่น #สติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน ๔ เนี่ย พระองค์ก็ไม่ได้ให้เราไปทำทั้งหมด ให้เลือกเอาที่ตรงกับจริตของตัวเราเอง
จริตสำหรับผู้ที่จะมาเจริญสติปัฎฐาน
แบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ
๑. จริตของ ‘สมถยานิก’ คือพวกที่ทำสมถะได้ง่าย
กับ
๒. จริตของพวก ‘วิปัสสนายานิก’ คือพวกที่เจริญปัญญาได้ง่าย

พูดง่าย ๆ ก็คือ
๑. สมาธินำปัญญา
หรือ
๒. ปัญญานำสมาธิ
ถ้าเราเป็นพวก ‘ปัญญานำสมาธิ’ คือทำฌานไม่ค่อยได้ แต่เจริญปัญญาได้ง่าย
เห็นสภาวะเกิด – ดับได้ ก็ใช้วิธีดูจิต

คือใช้สติปัฏฐานข้อ “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน”
ดูว่ามีราคะเกิดขึ้น ราคะดับไป
โทสะเกิดขึ้น โทสะดับไป
โมหะเกิดขึ้น โมหะดับไป
ฟุ้งซ่านเกิดขึ้น หดหู่เกิดขึ้น
อย่างนี้นะ

เรามาวิจัยตัวเองว่าเราอยู่ในจริตแบบไหน?
แล้วปฏิบัติให้ตรงกับจริต อันนี้เรียกว่า “ธัมมวิจัย”
พอวิจัยได้แล้วว่า..
เราเหมาะกับธรรมะหมวดไหน ข้อไหน ก็เริ่มทำเลย!
ไม่ใช่มัวแต่คิด
ผ่านขั้นธัมมวิจัยไปแล้ว คือได้เลือกเฟ้นแล้วว่า จริตเราลงอยู่กับข้อนี้
ธรรมะข้อนี้เหมาะกับเรา .. ก็ลงมือทำเลย!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากพระฟุ้งซ่าน (571026)_11.ถาม – ขอให้อธิบาย ธัมมวิจยะ

“กูเก่ง” เป็นมานะใช่ไหมคะ?

ถาม : “กูเก่ง” เป็นมานะใช่ไหมคะ?

ตอบ : “กูเก่ง” เนี่ย ใช่เลย! ชัด ๆ เลย!
“มานะ” เกิดจากการเทียบเขา – เทียบเรา
มานะมี ๙ อย่าง
– เราด้อยกว่าเขา สำคัญว่าเราสูงกว่าเขา
– เราด้อยกว่าเขา สำคัญว่าเราเสมอเขา
– เราด้อยกว่า สำคัญว่าเราด้อยกว่าเขา
ทั้ง ๆ ที่สำคัญถูกนะ!

มันมีการเทียบเขา – เทียบเรา ก็ถือว่าเป็นมานะ
– เราเสมอเขา สำคัญเราว่าสูงกว่าเขา
– เราเสมอเขา สำคัญว่าเราเสมอเขา
– เราเสมอเขา สำคัญว่าเราด้อยกว่าเขา
เป็นมานะเหมือนกัน
– เราสูงกว่าเขา สำคัญว่าเราสูงกว่าเขา
– เราสูงกว่าเขา สำคัญว่าเราเสมอเขา
– เราสูงกว่าเขา สำคัญว่าเราด้อยกว่าเขา
ก็เป็นมานะทั้งหมดเลย

จะสำคัญถูก หรือสำคัญผิด ก็เป็นมานะทั้งหมดเลย
เพราะว่ามันมีการเทียบกัน เทียบเขา – เทียบเรา
อย่างเช่นที่ครูบาอาจารย์ ท่านเล่าว่า..
ครั้งหนึ่ง ท่านไปหาหลวงปู่
แล้วท่านรู้สึกว่า ‘โอ้โห! หลวงปู่สบายแล้ว
แต่เราเนี่ย ยังต้องมีงานทำอยู่

เรายังมีทุกข์อยู่’ ทั้ง ๆ ที่เทียบถูกนะ!
แต่มันเป็นการเทียบเขา – เทียบเรา อย่างนี้ก็เรียกว่า
‘เทียบด้วยมานะ’
แต่มานะที่น่าเกลียด คือ ‘ตัวเอง’ ก็ไม่ได้เรื่องเลย ตัวเราเองนี่แย่มาก ยังนึกไปว่า.. ดีกว่าเขา

อย่างนี้เป็นมานะที่น่าเกลียด
แล้วปุถุชนส่วนใหญ่ยังมีมานะตัวนี้เยอะ!
แล้วถ้ารู้ตัวขึ้นมาแล้วจะรู้สึกว่า..
โอ้ย! น่าเกลียดมาก

ถ้ารู้เมื่อไหร่นะ! แสดงว่า.. เริ่มน่ารักแล้ว
เพราะรู้ทันความน่าเกลียด ใช่มั้ย?
ถ้ามีความน่าเกลียดอยู่ แล้วไม่รู้เลยนะ!
น่าเกลียดมากเลย
… พอเข้าใจนะ!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ในการแสดงธรรม
ณ คอร์สปฏิบัติธรรมเนยยะ วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙
ไฟล์คำถาม – กูเก่ง เป็นมานะใช่ไหม 590401_ขยายผล-01.เปลี่ยนแรงขับเพื่อพ้นจากห้วงทุกข์
สามารถดาวน์โหลดเพื่อรับฟังได้ที่ http://bit.ly/22kpk0V

ปฏิบัติมานานแล้ว ทำไมยังเลวอยู่ ?

ถาม: คนที่ปฏิบัติมานานแล้ว แยกธาตุ แยกขันธ์ได้ ครูบาอาจารย์ก็ชม
แต่ทำไมยังเบียดเบียน ยังแย่งชิง ศีลก็ยังไม่ดี คือ.. ทำไมยังเลวอยู่ ?

ตอบ: คือ.. คนเจริญสติ ทำเจริญกรรมฐาน ขนาดเดินปัญญาแล้ว
แต่มันยังไม่ถึงมรรคผล มันก็ยังเสื่อมได้
ขณะที่เกิดปัญญา ก็อยู่ในขั้นที่ว่ามีสติ
เห็นสภาวะ.. แล้วเกิดปัญญา เกิดความเข้าใจเห็นสภาวะไปเรื่อย ๆ อย่างนี้นะ!
แต่มันยังอยู่ในขั้นโลกียะ

เนี่ย! พอมันเสื่อม สภาวะนั้น พอเกิดความเข้าใจ
ไม่ใช่ว่า.. เข้าใจปุ๊บ! ฉลาดค้างเติ่ง อยู่อย่างนั้นนะ!
พอมันเผลอขึ้นมา มันก็โง่ได้ ตอนโง่นี่ก็คือ สามารถที่จะผิดศีลได้
สามารถที่จะงกได้ สามารถที่จะร้ายได้
ธรรมดามาก.. เป็นใช่มั้ย? ดูเป็นนักปฏิบัตินี่แหละ แต่พอโง่ก็โง่นะ!

ตอนโง่ก็แสดงความโง่ให้เห็นเลยว่า
น่าเกลียด น่าชัง น่ากลัว หลายแบบ
#โยม: จริง ๆ คำถามที่ถามพระอาจารย์
จริง ๆ ก็เป็นกันทุกคน เพียงแต่ว่าอยากเสริมว่า.. ไม่รู้ตัว!

ทีนี้ เวลาเรียนเนี่ย จึงต้องเรียนให้ครบ สิกขา ๓
ต้องเรียนให้ครบ ‘สีลสิกขา’ ‘จิตตสิกขา’ ‘ปัญญาสิกขา’..
ต้องเรียนให้ครบ! ในขณะที่เรามาศึกษาเรื่องจิตเนี่ยนะ ก็อย่าละเลยเรื่องศีล
ฉะนั้นไม่ว่าจะปฏิบัติถึงขั้นไหนแล้วเนี่ย
พอมันเผลอขึ้นมา มีกิเลสขึ้นมาตัวใหญ่
ขึ้นมาแล้วเนี่ย!.. ยังไง ๆ ก็อย่าไปผิดศีล

มันจะดุดัน หรือมันจะมีโทสะแค่ไหน.. ก็จะไม่ผิดศีล
มันจะมีราคะมากแค่ไหน.. ก็จะไม่ผิดศีล อย่างนี้นะ!
‘ศีล’ ยังไงก็ต้องเป็นมาตรฐาน
คือต้องศึกษาไปควบคู่กัน ไม่ใช่ศึกษาทีละเรื่อง
ในชีวิตจริงมันแยกไม่ได้ว่าจะต้องศึกษาทีละเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่
แต่ตอนเรียนมันเรียนทีละเรื่อง เพราะว่าบรรยายเป็นเรื่อง ๆ ตามลำดับไปเรื่อย ๆ

แต่ตอนศึกษาในชีวิตจริงเนี่ย มันต้องศึกษาควบคู่กันไป
มันแยกไม่ออกหรอกว่า ขณะนี้เราจะศึกษาเรื่องศีลเฉพาะนะ!
ยังไม่ศึกษาเรื่องจิต มันแยกไม่ได้
คือเวลาบรรยายในแง่ของกรรมฐานเนี่ย ก็มักจะมาขยายความในเรื่องของ ‘จิต’
หรือเรื่องของ ‘จิตตสิกขา’ มาก พอขยายเรื่องนี้ลืมขยายเรื่อง ‘ศีล’
บางทีคนฟังก็เลยละเลยเรื่อง ‘ศีล’ ไปด้วย บางทีอาศัยว่ากิเลสมันยังมีอยู่

บางทีก็มีความถือตัว หรือความโลภ พอกิเลสตัวนี้เกิดขึ้นมาแล้ว จิตไม่ทัน สติไม่ทัน
บางทีก็อาศัยสองตัวนี้ไปทำผิด ไปเบียดเบียนกันเองบ้าง ไปกดข่มกันเองบ้าง
หรือไปยกตัวเองสูงแล้วกดข่มคนอื่น
หรือบางทีก็กิเลสนั้นครอบงำใจโดยที่ตัวเองไม่รู้ ก็พาไปพูดไม่ดี
ทำไม่ดีคิดไม่ดี ในแง่ของศีลนี่มันไม่ยากในการอธิบาย
แต่ตอนลงมือปฏิบัติมันก็เบียดเบียนกันนะ

โดยเฉพาะเรื่องคำพูด
ถ้ามีการกระทบกระทั่งกัน ถ้าเรารู้ตัวเมื่อไหร่ให้ไปขอขมากัน
ถ้ามีการเบียดเบียนเป็นบุคคลนะ แต่ถ้าความผิดที่ว่านั้นไม่ได้ไปผิดต่อคน
มันเป็นผิดเฉพาะตัวเราเอง

ก็ให้เรียนรู้ว่าเป็นบทเรียนของตัวเอง ตรงนี้อยู่ในขั้นของ ‘โยนิโสมนสิการ’
แต่ถ้ามันมีการกระทบกระทั่งคน เบียดเบียนคน
ก็ต้องไปขอขมา ขออภัยกัน
สมมุติว่า.. เพื่อนกัน เดือนที่แล้วพลาดกัน
ทำอย่างนู้น ทำอย่างนี้ ก็เป็นนักปฏิบัติด้วยกันทั้งคู่ มันพลาดกันแล้ว

พอรู้ตัวก็ต้องมีความกล้าที่จะไปขอขมา พอขอขมากันได้แล้วก็หาย
แต่ถ้าเก็บเอาไว้นะ ก็จะคล้าย ๆ เป็นหนามแทงใจ
นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ เจ็บแปล้บ! เจ็บแปล้บ! ก็ต้องไปบ่งออก
วิธีบ่งออกก็คือ.. ต้องไปขอขมากัน

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ที่ลิงค์ bit.ly/22ol2HG
ถาม – ผู้ปฏิบัติที่ได้รับคำชมว่าภาวนาดี แต่ทำไมยังเบียดเบียน แย่งชิง ศีลไม่ดี.mp3