Category Archives: นิมฺมโลตอบโจทย์

อกหัก ผิดหวังจากความรัก ควรทำอย่างไรดี?

ถาม : อกหัก ผิดหวังจากความรัก ควรทำอย่างไรดี?
ตอบ : ต้องมาสำรวจตัวเองดูก่อนนะว่า
..เวลาเราอกหัก..เราคิดอะไร?

เราคิดว่า ‘เขาไม่ดี..เขาเลว’
หรือเราคิดว่า ‘เราเลว..เราไม่ดี’

เราเอาอารมณ์ที่ผิดหวังอันนี้นะ..วางไว้ก่อน
เรามาลองประเมินตัวเอง แบบใจสบายๆ ที่เป็นกลาง
ดูสิว่า..เราบกพร่องอะไร?
หรือว่า..เขาเองไม่ดี?

ที่ถามคำถามนี้เพื่อหาคำตอบดูว่า ความไม่ดีมันอยู่ที่ไหน?
ถ้าความไม่ดีอยู่ที่เขา ก็แสดงว่า..เป็นบุญของเราแล้ว..ที่เขาจากไป

แต่ถ้าความไม่ดีอยู่ที่เรา ก็เป็นโอกาสที่เราจะมาสำรวจตัวเองว่า..
ความไม่ดีอันนั้น..คืออะไร?..และควรจะปรับปรุงอย่างไร?
พอเราปรับปรุงตัวเองแล้วนะ ดีไม่ดีคนนั้น..ถ้าเขาเก่งจริง..
ถ้าเขาเห็นเราปรับปรุงตัวแล้ว เขาอาจจะกลับมาก็ได้
หรือถ้าคนนั้นเขาไปแล้วไปเลย.. ก็อาจจะมีคนใหม่ที่สายตาดีเห็นความดีของเรา..เข้ามาในชีวิตเราก็ได้

แต่ถ้าเรามัวแต่มองคนอื่นว่า..เขาไม่ดี
โดยที่ไม่ยอมมาดูตัวเองว่า..แล้วเราล่ะ..เป็นยังไง? ทำไมเขาถึงไม่ยอมอยู่กับเราต่อ?
อย่างนี้ก็เท่ากับว่า..
เราใช้โอกาสตอนที่อกหักนี้ มาสร้างโทสะ ทำร้ายตัวเอง

การอกหักเป็นเครื่องยืนยันว่า“ความรัก..ทำให้เกิดทุกข์”
ตอนรักแรกๆ ก็มีสุขดี
แต่พอสูญเสียสิ่งที่รักไป.. ก็เกิดทุกข์เสมอ
แสดงว่า”รัก”ที่เรารักอยู่เนี่ย มันเป็นรักที่พร้อมจะเกิดทุกข์
มันไม่ใช่”รัก”ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ

“รัก”ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ..เป็นอย่างไร?

ความรักมีสองแบบ..คือ ‘รักแบบเมตตา’ กับ ‘รักแบบราคะ’
สำรวจตัวเองว่า..เรารักเขาเนี่ย ‘รักแบบเมตตา’ หรือ ‘รักแบบราคะ’

‘รักแบบเมตตา’ คือ ปรารถนาให้เขามีความสุข
เมตตากับคนไหน เราก็ต้องการให้คนนั้นมีความสุข
ถ้าเป็นแม่กับลูก แม่ก็ปรารถนาให้ลูกมีความสุข
เป็นเพื่อนกับเพื่อน เพื่อนก็ปรารถนาให้เพื่อนมีความสุข
คือปรารถนาให้บุคคลที่เราเมตตาด้วย..มีความสุข

ถ้า ‘รักแบบราคะ’ ก็คือ ปรารถนาให้เขามาทำให้เรามีความสุข
ต้องมีเขาอยู่ด้วย ต้องมีเขานั่งตรงนี้ ต้องมีเขามาคุย
ต้องมีเขามาอยู่ในชีวิต ฉันจึงจะมีความสุข
อย่างนี้เรียกว่า.. ‘รักแบบราคะ’

ฉะนั้น ให้พัฒนาตัวเองนะ
เราควรจะพัฒนาให้ตัวเองมีความรักมากขึ้น
โดยที่เป็น ‘รักแบบมีเมตตา’
เช่น ถ้าเขามีความสุขกับคนอื่น..ก็ยินดีด้วย

ถ้าเรามีความรักตั้งต้นที่ดี คือมีเมตตา
มันจะมีกุศลธรรมอย่างอื่นติดตามมามากมายเลย
เช่นว่า มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา ติดตามมา
ไม่ใช่จมอยู่กับความรักแบบเดียว คือราคะ
ถ้ามีความรักแบบราคะอย่างเดียว.. มันก็จะเป็นเหตุให้เราเกิดความทุกข์อยู่เสมอ
เพราะว่าอยู่ต่อๆไปนะ ก็ต้องมีเหตุให้คนหนึ่งจากไป
ไม่เราจากเขาก่อน ก็เขาจากเราก่อน
เราก็จะมีความทุกข์เกิดขึ้นทันที
หรือเขาเสื่อมไป สลายไป เปลี่ยนแปลงไป ใจเขาเปลี่ยนไปนะ เราก็มีความทุกข์ได้อีก
มันมีโอกาสที่จะทุกข์ได้เสมอ เพราะว่าเราฝากความสุขไว้กับคนอื่น
ฝากไว้กับคนๆนั้น กับบุคคลนั้น กับสิ่งของนั้น
ถ้า‘รักแบบราคะ’อย่างนี้เกิดขึ้นกับใจเรานะ เราก็พร้อมที่จะทุกข์อยู่เสมอเลย

ฉะนั้น พัฒนาจิตใจตนเองนะ!
ให้มี‘รักแบบเมตตา’
มีเมตตาอย่างนี้แล้วก็สามารถเจริญกุศลตัวอื่นๆได้มากมาย

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากคำตอบในรายการ “ตอบโจทย์”
WBTV วัดยานนาวา

อยู่ในเมืองมันวุ่นวายมากเลย ความบีบคั้นสูงมากเลย ควรจะทำอย่างไรดี?

ถาม :  อยู่ในเมืองมันวุ่นวายมากเลย ความบีบคั้นสูงมากเลย ควรจะทำอย่างไรดี?

ตอบ :  ผู้ถามเขาคาดว่า..อาตมาจะแนะนำ’ให้คุณไปป่า’รึเปล่า?
ไม่จำเป็นนะ!

อยู่ในเมืองนี่แหละ..เหมาะแล้ว
เพราะเราเกิดมาในเมือง มีความคุ้นเคยกับการเป็นอยู่ในเมือง
การเป็นอยู่ในเมือง..ก็ธรรมดามากเลยที่มันจะต้องบีบคั้น เพราะคนมันเยอะ มันต้องเบียดกัน มันต้องแย่งกัน
..ธรรมดามาก!

และเราเกิดมาก็เรียนรู้ที่จะอยู่ในเมืองมาแล้ว
ดังนั้น การอยู่ในเมืองเนี่ย..มันเหมาะกับเรา!

เพียงแต่ว่า.. ทำอย่างไรให้การอยู่ในเมืองเกิดประโยชน์กับเราให้มากที่สุด

ปกติของการอยู่ในเมืองก็คือ.. มันมีสิ่งกระทบมาก
เมื่อกระทบแล้ว.. ก็มีกิเลสเยอะ
กิเลสเยอะเนี่ย จริงๆแล้วมันไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอะไรหรอก..เรื่องปกติ!
แต่เราควรใช้ความเป็นปกตินี่แหละ นำมาเพื่อพัฒนาตัวเองให้ได้

พระพุทธศาสนาบอกว่า ถ้าอยู่ในเมืองมีการกระทบมาก..ให้ดูจิต
จิตมันมีความเปลี่ยนแปลงมากมาย
มีราคะเกิดขึ้น มีโทสะเกิดขึ้น
บางคนโทสะเกิดบ่อยด้วย มากกว่าอย่างอื่น
บางคนอยู่ในที่ๆ ที่น่าดู น่าดม น่ากิน น่าสัมผัส มันก็เกิดราคะได้เหมือนกัน
ฉะนั้น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมา มีการกระทบ แล้วเกิดกิเลสขึ้นมา ..ให้รู้ทันกิเลสตัวนั้น!

ตอนที่ไม่รู้ทัน คือตอนเกิดกิเลส
ตอนเกิดกิเลส คือใจหลงไปหาสิ่งที่มากระทบนั้น
ใจหลงไปหาผู้ชาย ใจหลงไปหาผู้หญิง ใจหลงไปหาของกิน ใจหลงไปหาสิ่งของวัตถุต่างๆ
ขณะนั้นเรียกว่า “ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”

ชาวเมืองมีข้อดีตรงนี้ ตรงที่ว่า..มันมีสิ่งกระทบเยอะ!
สิ่งกระทบเยอะ มีกิเลสเยอะ
มีกิเลสเยอะ ก็คือ มีสิ่งที่จะให้จิตไปดูเยอะ
คือนอกจากจะมีสิ่งที่กระทบให้ดูแล้ว ยังมีกิเลสอีกมากมายให้เห็น!

เมื่อจิตเห็นกิเลส.. ทันทีที่เห็นกิเลส ขณะนั้นมีสติ
มีสติขึ้นมา.. ขณะนั้นเรียกว่า มีกุศลเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง
มีกิเลสขึ้นมาครั้งหนึ่ง มีสติรู้ทันครั้งหนึ่ง เท่ากับว่า..ได้แต้ม!

แต่ถ้ามีกิเลสต่อเนื่องยาวนาน เห็นแต่คนนู้น เห็นแต่คนนี้
แล้วก็ไม่พอใจบ้าง พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง สลับกันไปอย่างนี้นะ
ไม่รู้กิเลสในใจเลย
การกระทบครั้งนั้น หรือเกิดกิเลสครั้งนั้น.. ไม่มีประโยชน์เลยกับชีวิต..แถมมีโทษด้วย!

คนอยู่ในเมืองเนี่ย..มีกิเลสมาก มีการกระทบมาก
เป็นโอกาสอย่างมากเลยที่คนในเมืองจะมาเจริญสติในชีวิตประจำวัน
การเจริญสติในชีวิตประจำวันของคนในเมือง ..เป็นการปฏิบัติธรรมที่เหมาะสมมากเลย
เพราะว่าเราไม่มีเวลาที่จะไปนั่งคนเดียว..ใต้ต้นไม้..ทำใจสงบ..ใจสบาย หนึ่งชั่วโมง..ไม่มีเวลา!
นั่งนานๆ อาจจะมีคนมาไล่เราด้วย
เพราะฉะนั้น อยู่ในเมืองนี่ มีการกระทบแล้วเกิดกิเลส..ให้ดูกิเลส

พระพุทธเจ้าสอนให้คนปฏิบัติธรรมนี่นะ พระองค์สอนให้เหมาะกับคนทุกๆคน
คนอยู่ในเมืองปฏิบัติธรรมแบบหนึ่ง
คนอยู่นอกเมืองที่เขาทำสมาธิง่าย ใจสงบง่าย ก็ทำอีกแบบหนึ่ง
คนอยู่ในเมืองมีกิเลสมาก ให้ดูกิเลส

พระพุทธเจ้าสอนให้คนดูกิเลส ก็คือสอน “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน”
คนในเมืองมีกิเลสที่พระองค์แนะให้ดูหมดเลย
มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ มีฟุ้งซ่าน มีหดหู่ ..มีหมดเลย
แสดงว่า..เรามีอุปกรณ์ในการเจริญสติมากมายเลย

ถ้ามองในแง่ว่า.. กิเลสที่เกิดจากการกระทบกระทั่งกันในเมืองเหล่านั้น เป็นอุปกรณ์ในการเจริญสติ
เป็นอุปกรณ์ในการทำกุศลของเรา
เราจะไม่รู้สึกว่ากิเลสเหล่านั้นเป็นอุปสรรคในชีวิตของเราเลย
มันเป็นเครื่องมือที่เราเอามาเจริญกุศลต่างหาก

กิเลสเกิดขึ้น..”รู้ทัน” … กิเลสเกิดขึ้น..”รู้ทัน”
ระวังเพียงแต่ว่า อย่าให้มันไปทำผิดศีลเท่านั้นเอง อย่าให้มันไปเกิดการฆ่ากัน ทำร้ายชีวิตกัน
อย่าไปลักขโมยใคร
อย่าไปทำร้ายคนรักของคนอื่นเขา
อย่าไปโกหกกัน
อย่าไปพูดจาทำให้คนอื่นเขาเสียใจ
ฯลฯ
ทำอย่างนี้นะ

กิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นจากกระทบกระทั่งของคนเมือง จึงเป็นอุปกรณ์ที่ดีของคนเมือง
เอาสิ่งที่มีอยู่ของคนเมืองนี่แหละ..มาปฏิบัติ
คนเมืองไม่ค่อยมีสมาธิ จะไปดูว่า สมาธิของฉันตอนนี้..กำลังเข้าฌานที่ ๑ มันไม่มีน่ะ!
เพราะฉะนั้น ไปหวังสิ่งที่ไม่มี ยิ่งทุกข์ใหญ่เลย ใช่มั้ย?

สิ่งที่มีอยู่ของเราตอนนี้คือกิเลสต่างๆ
ก็ให้ดูกิเลสเหล่านั้น
กิเลสเกิดขึ้นมา..รู้ทัน ก็เป็นสติครั้งหนึ่ง เป็นกุศลครั้งหนึ่ง
ฉะนั้น คนเมือง..ใช้สิ่งที่มีของคนเมืองให้เป็นประโยชน์ ก็คือ “รู้ทันมัน”

แล้วคนเมืองหาเวลาสักหน่อยหนึ่ง
แต่ละวัน วันหนึ่ง ๑๕ นาที สวดมนต์..
ระลึกถึงพระพุทธเจ้าบ้าง ระลึกถึงพระธรรมบ้าง ระลึกถึงพระสงฆ์บ้าง
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ฯ
สวากขาโตฯ
สุปะฏิปันโนฯ
สวดมนต์แค่นี้ก็พอ
และหลังจากนั้น ขอเวลาอีกสักหน่อย รวมแล้ว ๑๕ นาที
เพื่อมาอยู่กับตัวเอง
รู้สึกตัว ใช้ตัวเองที่หายใจอยู่นี้..เป็นที่อยู่ของใจ
ใจลืมจากตรงนี้ไปให้รู้ทัน..แล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่
ใจลืมจากตรงนี้ไปให้รู้ทัน..แล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่
เป็นการซ้อมในรูปแบบ
แล้วใช้กำลังจากตรงนี้ ที่เราฝึกซ้อม ๑๕ นาทีทุกวันนี่แหละ นำไปใช้ต่อในชีวิตประจำวันในเมือง

เพราะเรามีชีวิตเป็นคนเมือง เราควรอยู่ในเมือง
ถ้าเราเป็นคนเมืองคุ้นเคยกับคนเมืองแล้ว ถ้าไม่อยากอยู่ในเมือง..จะไปอยู่ป่านะ..อยู่ยาก!
มันจะอยู่ไม่ได้จริง
เรามาใช้ความเป็นคนเมืองให้เป็นประโยชน์ดีกว่า

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากคำตอบในรายการ “ตอบโจทย์”
WBTV วัดยานนาวา

บางครั้งผิดหวังในชีวิตอย่างแรง นึกอยากฆ่าตัวตาย จะทำอย่างไรดี?

ถาม : บางครั้งผิดหวังในชีวิตอย่างแรงเลย แล้วนึกอยากฆ่าตัวตายจะทำอย่างไร ดี?

ตอบ : ถ้าตอบตรงๆ ก็คือว่า ไม่ควรรีบตาย
เพราะว่า..ถ้าตายด้วยความผิดหวังอย่างนั้นนะ จิตมันจะเศร้าหมอง
จิตที่เศร้าหมอง..แล้วตายด้วยความเศร้าหมองนี่นะ
พอมันตายปุ๊บ! มันไม่ใช่ว่าตายจากชาตินี้..แล้วหายไปเลย หรือสูญหายนะ
จิตนี่..ถ้ามันยังไม่ฉลาด..มันยังจะแสวงหาภพอยู่
เมื่อจิตที่เศร้าหมอง..มันก็ไปแสวงหาภพที่เศร้าหมองไปเกิดต่อ
ชาตินี้เป็นคน ถ้าตายด้วยความเศร้า.. เกิดในชาติใหม่จะเกิดในภพที่เศร้า..เป็นผีเศร้าๆ

เป็นผีเศร้าๆ นี่น่าสงสารมากเลย ตรงที่ว่า..
เป็นคนนี่นะ มีชีวิตโดยเฉลี่ยประมาณ ๗๕ ปี ตาย
แต่เป็นผีนี่นะ..มันอายุยืนกว่าคน..แล้วเศร้านาน! แล้วไม่มีใครช่วยให้หายเศร้าได้ นอกจากจะเจอครูบาอาจารย์
แต่บางทีถึงจะเจอ..แต่ก็ไม่ฟังด้วย
เป็นผีเศร้า..แบบโง่ๆ อย่างนี้นะ
เจอพระบอกก็ไม่ยอมฟัง เจอพระเรียกก็ไม่ได้ยิน
มันจมอยู่ในความเศร้า

ขนาดตอนเป็นคนนี่ ตอนเศร้า..เราเคยรู้ตัวบ้างมั้ย?
เวลามีเสียงอะไรเข้ามากระทบในขณะที่เรากำลังศร้าอยู่เนี่ย.. เราเคยได้ยินเสียงอื่นบ้างมั้ย?
นกมาร้องอยู่ตรงหน้าต่าง.. เราเคยได้ยินเสียงนกบ้างมั้ย?
..ไม่ได้ยิน!
เราไม่ยอมรับรู้อะไรเลย..นอกจากความคิดที่ทับถมตัวเอง..
เอาทุกข์มาทับถมตัว!

เพราะฉะนั้นแสดงว่า..เราต้องรีบแก้ตัวใหม่ตั้งแต่ตอนนี้
ให้รู้เลยว่า..ถ้าเราตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวตายน่ะ..ผิด!
ถ้าคิดขึ้นมาว่า..’จะฆ่าตัวตาย’ หรือ ‘ตายดีกว่า’ อะไรอย่างนี้นะ
คิดทำนองนี้เมื่อไหร่..ให้รู้ตัวเลยว่าขณะนั้น ‘เรากำลังคิดผิด!’
คำตอบนั้นไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่เราจะเลือก!

ถ้ามันผุดขึ้นมาอีกให้รู้ว่า..’อย่ามากวนฉัน’
คำตอบนี้ไม่ใช่..อย่ามากวนฉัน! คำตอบนี้อย่ามากวนฉันนะ!
เพราะว่าถ้าเชื่อแล้ว..ชีวิตข้างหน้า หรือที่ภาษาพระเรียกว่า“ปรโลก”นี่นะ
ก็คือชีวิตข้างหน้าหลังจากตายไปแล้ว..มันน่าสงสาร! น่าสมเพช!
แต่ถ้าเตือนแล้วไม่ยอมฟัง มันก็จะกลายเป็นว่า..น่าสมน้ำหน้า เข้าใจมั้ย?

เตือนแล้วนะ! ว่า..
ถ้าผิดหวัง..อย่างแรงแค่ไหนก็แล้วแต่ มันไม่แรงเกินกว่าที่เราจะสู้ได้
ถ้าเราผิดหวังกับคน..ก็ไปหาคนใหม่
ถ้าผิดหวังกับงาน..หางานใหม่ 

ถ้าผิดหวังกับสิ่งของ..หาสิ่งของใหม่

ให้นึกดูว่าชีวิตของเรานี่นะ เกิดมาแล้วควรจะมีค่า อย่าให้ไร้ค่าเพราะว่าคนอื่นมาทำ
ชีวิตเราเกิดมานี่นะ ไม่ได้เกิดมาเป็นอยู่ได้ด้วยลำพังตัวของเราเอง
ถ้าชีวิตของเราเกิดมาแล้วยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณ ให้รีบไปทดแทนซะ..ก่อนที่จะตาย
ไม่ใช่ผิดหวังกับคนนี้..แล้วก็ฆ่าตัวตาย
แล้วคนที่มีพระคุณกับเรา..ร้องไห้!
นี่เท่าว่าเราทั้งโง่ ทั้งเซ่อนะ
คือทั้งไม่ได้ทดแทนบุญคุณผู้ให้กำเนิดหรือผู้เลี้ยงดูมาเลย ยังมีความผิดที่พาชีวิตลงอบายอีก
มันผิดซ้ำซ้อนหลายอย่างเลยนะ

คนที่รักเราจริงๆ รอเราอยู่
แล้วคนที่มีบุญคุณกับเราจริงๆ ให้อภัยกับเราเสมอ

ลองไปดูเถอะนะ!
กลับไปบ้าน ไปหาพ่อหาแม่ ไปบอกท่านว่า เรามีทุกข์อย่างนี้
หาพ่อหาแม่ ขอขมาท่าน อย่างนี้นะ
พ่อแม่จะอ้าแขนรับ โอบกอดเราด้วยความรักความผูกพัน
ท่านปรารถนาเต็มหัวใจ ที่จะให้เรานี่พ้นจากทุกข์อันนี้
ไม่มีอ้อมอกไหนที่จะอบอุ่นเท่ากับ อ้อมอกพ่อ อ้อมอกแม่
ถ้าผิดหวังอย่างไรแล้ว อย่าลืมพ่อ อย่าลืมแม่

แล้วกลับไปหาท่านแล้ว..เมื่อพ้นทุกข์จริงๆได้แล้ว
ควรจะสร้างความดี หรือสร้างกิจกรรมอะไรต่างๆ เพื่อทดแทนคุณท่าน
อย่าเอาความผิดหวังของตัวเองไปเป็นทุกข์ทับถมตน
เพราะทุกข์นั้นจะไปทับถมพ่อแม่ผู้มีพระคุณของเราด้วย

เพราะฉะนั้น ชีวิตของเรายังควรจะต้องมีอยู่..
อยู่เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่
อยู่เพื่อพัฒนาจิตใจตัวเองให้สูงขึ้น
อย่าเอาความทุกข์ชั่วคราวมาทำให้เป้าหมายใหญ่ในชีวิตต้องสะดุดลง
ทุกข์นี้แป๊บเดียวจริงๆ แป๊บเดียว!
ผ่านไป ๑๐ ปีแล้วมองย้อนกลับมานะ
ไอ้ทุกข์ที่เคยเกิดขึ้น..ที่เราคิดว่าจะพ้นไปไม่ได้ กลายเป็นเรื่อง..ขี้ปะติ๋ว!

พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากคำตอบในรายการ “ตอบโจทย์”
WBTV วัดยานนาวา