#นิมฺมโลตอบโจทย์ #จิตผุดคำด่า ?? #ถาม : มีความคิดด่าคนอื่นเกิดขึ้นในหัว… – เราจะต้องทำอย่างไร ไม่ให้เป็นบาปกับเรา? – ถ้าจิตเราหยาบคายขนาดนี้ เราจะอบรมอย่างไร ให้ดีได้? #ตอบ : ตอนจิตคิดด่าคนอื่นเกิดขึ้นในหัว ดูว่า.. ไอ้แว๊บแรกที่เกิดขึ้นมาเนี่ย มันเกิดขึ้นเอง เวลามันปรุงอะไรขึ้นมาเองเนี่ยนะ เวลามันผุดขึ้นมาเนี่ยนะ บางทีมันเป็นไปแบบเขาเรียกว่า ‘ด้วยสัญญาเก่า’ แล้วมันผุดขึ้นมา เราอาจจะเป็นคนที่เคยชิน หรือว่ามีอดีตก่อนหน้านี้เคยชินกับการที่ปากไว สะสมโทสะเอาไว้เยอะ มันก็เป็นไปได้ที่ว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีอะไรเด่นๆ เนี่ยนะ จิตก็ไปจับเอาอารมณ์เก่าๆ ผุดขึ้นมาใหม่ ไอ้ตอนที่ผุดขึ้นมาเนี่ย มันเป็นการทำงานของจิตที่เราบังคับไม่ได้ ถ้าเรารู้ทันไม่ไปปรุงต่อ เราได้ทำงานอย่างหนึ่งคือ เจริญสติ รู้ทันโทสะที่เกิดขึ้น หรือ รู้ทันความปรุงแต่งที่เป็นวจีสังขาร ที่มันปรุงขึ้นมา เห็นจิตมันทำงานเอง เราก็ได้เจริญวิปัสสนา ในแง่..เห็นจิตมันแสดง “ไตรลักษณ์ – ในข้ออนัตตา” ให้ดู ในขณะนั้นเราก็คล้ายๆ ลดความเคยชินของจิต ในการที่จะไปปรุงคำพูด ที่เป็นวจีทุจริตในใจ และมีการเพิ่มความเคยชินขึ้นมาใหม่ คือเคยชินที่จะ “รู้” จิตทำงาน ปรุงขึ้นมา เป็นคำด่าแว็บขึ้นมา เราก็รู้ ถ้าเผลอปรุงคำด่าต่อ มันจะไม่เหมือนกันแล้วนะ! เหมือนกับคนที่เขานึกท่อนเพลงขึ้นมา ไอ้ตอนนึกท่อนเพลงขึ้นมาเนี่ยนะ คนที่ฟังเพลงมากๆ ก็จะ “มีเพลงผุดขึ้นมา” กับตอนที่ “ปรุงร้องเพลงในใจ” ต่อ ..ก็ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกัน อย่างโยมเนี่ย บางทีจิตมันปรุงคำด่าขึ้นมาเอง ก็ให้แยกให้ชัดระหว่าง – ตอนที่มัน ‘ผุด’ ขึ้นมาคราวแรก – กับตอนที่เรา ‘จงใจ-เจตนา ปรุง’ คำด่าต่อ ไม่เหมือนกันแล้วนะ! ไปลองไปสังเกตดูดีๆ ตอนที่มันผุดขึ้นมา กับ ตอนที่เจตนาปรุงคำด่านั้นต่อ ถ้าเราเห็นว่าจิตมันปรุงขึ้นมา มีความ ‘ปรุง’ ขึ้นมา ‘เอง’ .. ใช้ได้ เห็นแสดงว่า เห็นจิตมันทำงานเอง จิตมันกำลังแสดง “อนัตตา” ให้ดู แต่ถ้ามัน ‘ปรุง’ ขึ้นมา แล้ว ‘ไม่รู้ทัน’ หลงกลไปปรุงคำด่าต่อไป ด้วยความสะใจ เมามันในอารมณ์ เราก็ไปสร้างความคุ้นชินเพิ่มขึ้น ตรงนี้ภาษาพระเรียกว่า ไปสะสม “อนุสัย” ให้มากขึ้น จริงๆ ไอ้ที่ผุดขึ้นมา ก็มาจากผลจากอนุสัยนั่นเอง เราไปทำความคุ้นชินกับการด่า ไม่ว่าจะด่าออกเสียง หรือด่าในใจนะ พอมันผุดขึ้นมาตามอนุสัย.. – ถ้าเรารู้ทัน.. เราจะลดความเข้มข้นของอนุสัยนั้นลง พร้อมกับทำความ ‘เคยชินที่จะรู้’ มากขึ้น ตรงนี้สำคัญ!! เขาเรียกว่าเป็นการ “บั่นทอนกำลังของอนุสัย” แถม “เพิ่มกำลังของตัวรู้” ขึ้นมา – แต่ถ้า ‘ไม่รู้’ แล้วไป ‘ปรุงต่อ’ ก็ไป “เพิ่มกำลังให้กับอนุสัย” ให้มันมากขึ้น ที่เราแก้กันยากมากเหลือเกิน.. ก็คือว่าไม่รู้ แล้วก็ไปปรุงต่อ ไปเพิ่มอนุสัยให้มากขึ้นนะ ถ้าจิตเราเคยชินกับความหยาบคาย มันก็เป็นปกติ ที่มันจะปรุงคำหยาบคายขึ้นมา ให้พิจารณาว่า.. อย่างน้อยๆ ถ้ามันยังไม่ขึ้นวิปัสสนาด้วยกำลังของมันเอง ก็พิจารณานำร่องมันสักหน่อยว่า ‘เนี่ย! จิตมันทำงานเอง ไม่ได้อยากด่าเลย! มันด่าเอง’ อย่างนี้ก็เรียกว่า “คิดนำร่อง” ให้จิตมันหัดมองในแง่ที่ว่า.. “มันเป็นไตรลักษณ์ – ในข้อที่ว่าเป็นอนัตตา” ลองไปทำดูนะ แล้วไม่ต้องไปคิดด่าตัวเอง ว่าไปด่าคนอื่นด้วย ‘ทำไมกูมันเลวอย่างนี้ ไปด่าเขาทำไม?’ อย่างนี้ก็เรียกว่า ไปโกรธจิตตัวเอง ที่มันไปทำอะไรที่มันไม่ถูกใจตัวเอง อย่างนี้ก็กลายเป็น มีโทสะกับการทำงานของจิต แล้วก็เลยไม่รู้ความจริงของจิตไปอีก ก็ควรไปรู้ทันต่อไปอีกทีหนึ่งว่า ‘มีโทสะเกิดขึ้น’ จิตนี่มันวิจิตรจริงๆ นะ มันทำงานหลากหลายมากเลย มันแล้วแต่ว่าเราจะไปเรียนรู้ในแง่มุมไหน ถ้ามันผุดคำด่าขึ้นมาเอง.. แล้วรู้ทัน เราก็จะได้ตัวกุศลสำคัญ.. คือได้เห็นจิตมันทำงานในลักษณะของ “อนัตตา” ให้ดู “แค่รู้เฉยๆ” เนี่ยนะ มันก็จะกลายเป็นว่า สิ่งที่ไม่ดีแท้ๆ เลย กลายเป็นประโยชน์ในแง่เกิดการเรียนรู้ แล้วพัฒนาจิตขึ้นมา ลองไปทำดูนะโยม.. พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบปัญหาธรรม รายการธรรมะสว่างใจ ออกอากาศวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ลิงค์รายการ https://www.youtube.com/watch?v=EPmTbFz10Xw (นาทีที่ 1.46.08-1.52.22)

อ่านต่อ