ถาม : ดูจิตไหลเพื่ออะไร?
ขออนุญาตค่ะ มีคำถามนะคะ แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าบางคนอาจจะ..
คือดิฉันไม่เข้าใจค่ะว่า..การที่พระอาจารย์หรือพระหลายองค์นี่ ที่พยายามที่จะสอนให้
โยมทั้งหลายนี้ ดูการเคลื่อนไหวของจิต เหมือนจิตไหล แต่วัตถุประสงค์จริงๆแล้วเนี่ย…
การดูจิตไหล กับการที่ทำให้จิตสะอาดหมดจดนี่นะคะ
คือดิฉันไม่เข้าใจค่ะ ว่าดูไปว่าจิตไหลเพื่อให้มันได้อะไร?
จากการที่เห็นจิตไหลนี่อ่ะค่ะ
ตอบ : จิตสะอาดสดใสหมดจดนี่เป็นเป้าหมายสูงสุด
แต่จะสะอาดหมดจดได้นี่ ต้องใช้จิตที่มีคุณภาพ
คุณภาพที่เราต้องการคือจิตที่ตั้งมั่น
จิตที่ตั้งมั่นนี่ คนที่ไม่เคยทำก็จะทำไม่เป็น
ฉะนั้นสิ่งที่เราทำเป็น กันอยู่นี่คือ..
มันเคลื่อนไป ไหลไปหาอารมณ์ต่างๆ
นี่ทำเป็น ทำง่าย แต่ทำแล้วนี่
เช่นสมมติว่าจะดูดอกไม้ ก็ไหลไปหาดอกไม้ได้ง่าย
จะดูพระพุทธรูป ก็ไหลไปหาพระพุทธรูปง่าย
แต่สิ่งนั้นไม่เอื้อต่อการให้เกิดปัญญา ไม่เอื้อต่อการให้จิตบริสุทธิ์ที่เป็นเป้าหมายของเรา
เพราะว่า ..จิตจะบริสุทธิ์มีปัญญาอย่างนั้นได้อ่ะ
ต้องเป็นจิตที่มีคุณภาพประกอบด้วย
กุศลธรรม ๓ ประการสำคัญๆ คือ
สติ สมาธิ และปัญญา
สติ จะมีได้จากการที่เราเห็นสภาวะ เช่น กิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นกับใจ เห็นราคะ
เห็นโทสะ เห็นโมหะ ที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่เห็นคนโน้น คนนี้ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ
สมาธิ มี ๒ แบบ คือ..
สมาธิที่ไหลไปเพ่งอารมณ์
กับ…สมาธิที่จิตตั้งมั่น
จิตตั้งมั่น หมายความว่ามันไม่ไหลไปหาอารมณ์
ที่ทำเป็นกันส่วนใหญ่ก็คือ..
ทำจิตให้ไหลไปหาที่ๆหนึ่งที่เราชอบ
ถ้าทำได้! ได้สมถะเป็นเรื่องดี เป็นกุศล
แต่ไม่พอ! ยังไม่เป็นจิตที่มีคุณภาพพอ ที่จะให้เกิดปัญญา ระดับที่ทำให้เกิดความเข้าใจและจิตบริสุทธิ์ เพราะว่าจิตจะเข้าใจเกิดปัญญา และเกิดความบริสุทธิ์ได้
ต้องเป็นปัญญาเห็นว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เมื่อจิตไหลไปอยู่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง มันจะเห็นว่าอารมณ์นั้นเที่ยง
แล้วถ้ามีกิเลสขึ้นมา แล้วไม่ยอมใช้สติปกติดู
แต่หาอะไรก็ตามไปกลบให้กิเลสตัวนั้นดับไป
เช่นมีความโกรธแล้วเจริญเมตตาให้โกรธดับ
หรือว่าเห็นคุณความดีคนนั้นให้โกรธดับ อย่างนี้เป็นการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เพื่อให้กิเลสนั้นดับไป มีการกระทำเกิดขึ้น การกระทำอย่างนั้นเป็นลักษณะของการทำ
สมถะกรรมฐาน คือ..เกิดกิเลสขึ้นมา
แล้วหาทางสงบกิเลสด้วยการกระทำของเรา อย่างนี้เราจะไม่เห็นความจริงของกิเลส
คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของกิเลส
เราจะรู้สึกว่ากิเลสเกิดขึ้นมา
เราสามารถทำให้กิเลสนั้นดับไปได้ หมายความว่า มันดับเพราะเราทำ มัน ไม่ใช่ว่ากิเลสนั้นดับเอง
ไม่สามารถที่จะเข้าใจความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของความปรุงแต่งที่ไม่ดีเมื่อกี้ที่เกิดขึ้นได้
กลับกลายเป็นว่ากูเก่งด้วยซ้ำไป
อนัตตาไม่เห็น เห็นแต่อัตตาที่ใหญ่ขึ้น อัตตาที่ใหญ่ขึ้นก็ไม่เห็น
อัตตาที่ใหญ่ขึ้นตรงนี้นะที่ว่า..กูเก่ง กูเก่งนี่ก็ไม่เห็น
เพราะฉะนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจึงไม่สามารถเข้าใจได้
จากการทำสมถะลำพังเพียงอย่างเดียว จึงต้องมีการทำสมาธิอีกแบบนึง ที่เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน
จิตไม่ไหลไปหาอารมณ์ จิตตั้งมั่นอยู่กับจิต แต่วิธีนี้บอกกันแล้วให้ทำนะ!
เราก็ทำกันไม่เป็นทำยาก เพราะไม่คุ้นเคย
และไม่รู้จัก เมื่อไม่คุ้นเคย ไม่รู้จัก บอกให้ทำก็ทำไม่เป็น
เพราะไม่เคยทำและไม่รู้จัก
เหมือนที่เคยให้นึกหน้าแม่ของประธานาธิบดี
ประเทศ .. ประเทศอะไรดี?
วานูอาตู หรือ ประเทศบูกินาฟาโซ ตอนนี้ต้องเอาบูกินาฟาโซเพราะมีรัฐประหาร
เพราะว่าไม่รู้จัก ให้นึก นึกตอนนี้ นึกไม่ได้เพราะว่า..จิตไม่คุ้นเคย
เพราะฉะนั้นเอาสิ่งที่จิตมันคุ้นเคยมาทำ
จิตมันเคยทำอะไร?
จิตมันเคยไหล พอรู้ว่า รู้ว่าจิตไหล
สมมติว่านิ้วเนี่ย เป็นจุดหมายที่จิตจะไหลไป
พอมันไหลไปหานิ้วแทนที่จะไปดูนิ้ว เห็นความไหลของจิต ตอนนี้เห็นจิตพอดีอยู่กับจิตพอดี
เพราะฉะนั้นการเห็นความไหลของจิต
มันจึงไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันอยู่กับจิตพอดี ตอนอยู่กับจิตพอดีเรียกว่า…’จิตตั้งมั่น’
จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแบบหนึ่ง ซึ่งที่เราต้องการก็คือสมาธิแบบลักขณูปนิชฌาน
มันไม่ไหลไปหาอารมณ์ มันตั้งมั่นอยู่กับจิต แล้วมันจะเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ที่มากระทบจิตนี่
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มันจะเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของสิ่งต่างๆที่ปรุงแต่งได้
ไม่ใช่ตอนที่จิตเพ่งอยู่กับอารมณ์
นิ่งๆ สงบๆ อย่างนั้นไม่ใช่
จิตที่นิ่งที่สงบเป็นจิตที่ดีก็จริง
แต่ว่า ดีแบบ..ดีแบบ.. ดีแบบอะไร?
ดีแบบโลกๆ ยังเป็นโลกียะ เป็นสมาธิที่อยู่ในโลก แต่จะให้พ้นโลกไป
ต้องใช้สมาธิที่เห็นความจริงของโลก
ไม่ใช่เห็นว่าโลกดี ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้สงบ
ไม่ใช่เห็นว่าโลกนี้เป็นสุข สุข สงบ ดี
กลายเป็นตัวล่อให้เราอยากอยู่ในโลกนี้ต่อ
เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นความจริงว่าสิ่งต่างๆ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จิตที่มันมีความตั้งมั่นอยู่กับจิตนี่ จะเห็นสิ่งต่างๆว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แม้แต่ตัวจิตเอง ตัวจิตเองก็เกิดดับ
เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป เดี๋ยวก็ตั้งมั่น เดี๋ยวก็ไหลไป
เพราะฉะนั้นเห็นว่ามันตั้งมั่นแวบนึงนี่ดีมาก!!
สำหรับที่จะเข้าใจได้ว่า..
จิตที่ตั้งมั่นเองก็เสื่อมได้
มันดับได้ เปลี่ยนไปได้ อย่างนี้นะ!
จิตที่มีความเข้าใจอย่างนี้จึงจะเกิดมรรคผลขึ้นมา
เข้าใจที่ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาเนี่ย
เป็นการเข้าใจระดับปัญญาที่เป็นวิปัสสนา ถ้าไม่มีวิปัสสนาเกิดขึ้นจะไม่เกิดมรรคผล
เพราะฉะนั้นเวลาเราฝึกอย่าพอใจเพียงแค่ สงบ
เพ่งอารมณ์อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
แล้วสงบพอใจแค่นั้น ได้…กุศลก็จริง แต่ไม่พอแล้วก็ไม่คุ้มกับการที่เกิดมาเป็นคนแล้วพบพระพุทธศาสนาแล้ว ทำได้แค่ที่ฤาษีเค้าทำกัน
อย่างที่พระสารีบุตรบอกว่า..
ท่านเคยเป็นฤาษีมา ๕๐๐ ชาติ ชำนาญวิธีนี้มามาก
แล้วไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เกิดมรรคผลถ้าเกิดมรรคผลได้ท่านสำเร็จตั้งแต่ชาติแรกที่ทำได้แล้ว
แต่ต้องมาเรียนกับพระพุทธเจ้า เพื่อมาเรียน ลักขณูปนิชฌาน..
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากตอบโจทย์ ณ บ้านจิตสบาย
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๘