ถาม : ถ้าพูดถึงในข้อของ “#ธัมมวิจยะ” น่ะครับ แล้วมันเหมือนกับว่า เราจะต้องไปคิดไปค้นคว้า ซึ่งมันมีความรู้สึกว่า.. มันไม่ใช่แล้ว อยากให้หลวงพ่อขยายความ “ธัมมวิจยะ” ครับ
ตอบ : “ธัมมวิจยะ” เนี่ย แรก ๆ อาจจะต้องคิดบ้าง คือต้องวิจัยใช่มั้ย ?
คือมันต้องเหมือนจะต้องวิจัยตัวเองว่า.. เราเหมาะกับอะไร ?
ธรรมะข้อไหนเหมาะกับเรา ?
หรือเราเหมาะกับธรรมะข้อไหน ?
เพราะว่าบุคคลต่าง ๆ ในโลกนี้ มีจริตต่างกัน
พระพุทธเจ้าก็แสดงวิธีปฏิบัติสำหรับคนที่จริตต่างกัน ด้วยธรรมะคนละชุด
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปปฏิบัติให้ครบทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น
ฉะนั้น วิธีใดวิธีหนึ่งที่เหมาะกับเรามีอยู่
บางทีแค่หัวข้อเล็กๆ เท่านั้นเอง
ในจำนวน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เนี่ย
เราก็ต้องมา “วิจัย”
“วิจัย” เนี่ย ไม่ต้องไปวิจัยทั้งหมดก็ได้
เอาแค่พระสูตรหลัก ๆ
พระสูตรหลักๆ ที่พระองค์แสดงเป็นหลักการใหญ่ๆ เช่น #สติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน ๔ เนี่ย พระองค์ก็ไม่ได้ให้เราไปทำทั้งหมด ให้เลือกเอาที่ตรงกับจริตของตัวเราเอง
จริตสำหรับผู้ที่จะมาเจริญสติปัฎฐาน
แบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ
๑. จริตของ ‘สมถยานิก’ คือพวกที่ทำสมถะได้ง่าย
กับ
๒. จริตของพวก ‘วิปัสสนายานิก’ คือพวกที่เจริญปัญญาได้ง่าย
พูดง่าย ๆ ก็คือ
๑. สมาธินำปัญญา
หรือ
๒. ปัญญานำสมาธิ
ถ้าเราเป็นพวก ‘ปัญญานำสมาธิ’ คือทำฌานไม่ค่อยได้ แต่เจริญปัญญาได้ง่าย
เห็นสภาวะเกิด – ดับได้ ก็ใช้วิธีดูจิต
คือใช้สติปัฏฐานข้อ “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน”
ดูว่ามีราคะเกิดขึ้น ราคะดับไป
โทสะเกิดขึ้น โทสะดับไป
โมหะเกิดขึ้น โมหะดับไป
ฟุ้งซ่านเกิดขึ้น หดหู่เกิดขึ้น
อย่างนี้นะ
เรามาวิจัยตัวเองว่าเราอยู่ในจริตแบบไหน?
แล้วปฏิบัติให้ตรงกับจริต อันนี้เรียกว่า “ธัมมวิจัย”
พอวิจัยได้แล้วว่า..
เราเหมาะกับธรรมะหมวดไหน ข้อไหน ก็เริ่มทำเลย!
ไม่ใช่มัวแต่คิด
ผ่านขั้นธัมมวิจัยไปแล้ว คือได้เลือกเฟ้นแล้วว่า จริตเราลงอยู่กับข้อนี้
ธรรมะข้อนี้เหมาะกับเรา .. ก็ลงมือทำเลย!
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
เรียบเรียงจากพระฟุ้งซ่าน (571026)_11.ถาม – ขอให้อธิบาย ธัมมวิจยะ